การบริหารครอบครัวกับบริหารประเทศแตกต่างกันมากเพียงใด คำกล่าวที่ว่าการบริหารประเทศก็เหมือนกับการปรุงอาหาร เพราะว่ามันไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป แนวคิดมหภาคอาจจะไม่เหมาะกับสังคมขนาดเล็ก ทุกคนมีความเห็นต่างกัน ดังนั้นการปรับแก้สำนวนคำกล่าวที่เราสร้างขึ้นมาจึงถือเป็นการยาก
ในประวัติศาสตร์จีนมีแนวคิดที่ขัดแย้งกันหลายแนวคิด เราหยิบยกแนวคิดที่มีชื่อเสียงออกมาแนวคิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือการโค่นล้มเขา บางคนบอกว่านี่คือการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า แต่เราได้นำไปปฏิบัติจริงๆ แล้วหรือ
นิทานชายชราขายน้ำมันสอนให้เรารู้ว่า ชำนาญการแล้วถึงจะทำเรื่องมหัศจรรย์ได้ จากแนวคิดของคนรุ่นหลังที่ไม่ได้รับการยอมรับ ถูกปฏิเสธ อวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของประชาชนในต้าถัง แต่ที่แท้เป็นความผิดของเขาเอง
เราทุกคนต่างก็แสวงหาความรู้สึกของการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาตั้งแต่เกิด อยากจะแสวงหาจุดยืนที่เหมาะสมของตัวเองในกลุ่มผู้คน จุดยืนนี้เป็นแค่ตัวแทนที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด จิตใจที่มีความสุขคือสิ่งสำคัญที่สุด นี่ก็คือสาเหตุที่คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นตีให้ตายก็ไม่ยอมถูกปลดจากการเป็นทาส
ในความคิดของพวกเขา คนข้างนอกที่เป็นอิสระ แม้แต่กินข้าวยังไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวเองกินข้าวสามมื้อต่อวัน แถมยังมีเนื้ออีกต่างหาก เจ้านายก็ไม่ได้ขืนใจภรรยาและลูกสาว ไม่ได้เอาเงินค่าจ้างของตัวเองไปสํามะเลเทเมา ไม่ได้ให้ทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง ถึงแม้ว่าท่านโหวจะนิสัยไม่ดี เป็นจอมล้างผลาญ แต่ตอนที่ท่านโหวโมโหมากที่สุด เขาก็แค่ลุกขึ้นมาเตะสองสามที ใช่ว่าไม่เคยถูกเตะ
อวิ๋นซือปาหน้าโง่กวาดพื้นในห้องพระตอนที่ท่านย่ากำลังบูชาบรรพบุรุษ เขาก็กวาดพื้นไปตามลม ทำให้ฝุ่นกระจัดกระจายไปทั่ว ป้ายชื่อของบรรพบุรุษถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นที่หนาแน่น
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถูกเฆี่ยนตายไปแล้ว ท่านย่าสวดมนต์สองสามคำ ให้สาวใช้ที่บ้านสอนอวิ๋นซือปากวาดพื้น แล้วยังห่อเครื่องเซ่นและของว่างให้เขา
คนที่มีความสามารถต่างพากันวิ่งออกไปข้างนอกกับผู้ดูแล ออกไปหาเงินให้ที่บ้าน เหลือพวกซื่อบื้อทำงานบ้านอยู่ที่บ้าน ถ้ามีคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ ก็จะถูกท่านโหวส่งไปรับใช้ที่สำนักศึกษา นอกจากต้องทำงานนิดหน่อย ก็ไม่ต่างอะไรจากบรรดาศิษย์ชนชั้นสูงพวกนั้น ถูกสอนมาเหมือนกัน อวิ๋นจิ่วก็มีชื่อเสียงในสำนักศึกษา แม้แต่ปรมาจารย์เก่าแก่ของสำนักศึกษายังชมเขาไม่หยุด
ชายหนุ่มรูปงามที่มีอนาคตสดใสเช่นนี้ ท่านโหวต้องการให้เขาปลดออกจากการเป็นทาส เขาจะได้ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ นี่คือบุญคุณ บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่รุ่นลูกรุ่นหลานก็ยังตอบแทนไม่หมด แต่เขากลับไม่ทำ คุกเข่าอยู่หน้าห้องของท่านย่า ไม่ยอมปลดออกจากการเป็นทาส ทำเอาท่านโหวโมโหเตะที่หลังเขาตั้งหลายที บอกว่าเขามันไม่เอาไหน ชี้หน้าเขาแล้วบอกว่าถ้าชอบเป็นคนใช้นักก็ไปเลี้ยงหมู ถ้าเลี้ยงหมูได้ไม่อ้วนพอจนก้นมีน้ำมันไหลออกมาก็ไม่ต้องคิดที่จะไปทำอย่างอื่น
คนฉลาดก็คือคนฉลาด ไม่ถึงสองวันอวิ๋นจิ่วก็ลากหมูของเสี่ยวยาไปให้ท่านโหวดู ชี้ไปที่น้ำมันที่ไหลอยู่ตรงก้นหมู บอกว่าเขาทำได้แล้ว อยากให้ท่านโหวมอบหมายงานอื่นให้เขา เช่นเดินทางไปฉ่าวหยวนกับฮูหยินที่สองก็เป็นงานที่เหมาะสม
ถ้วยน้ำชาในมือของท่านโหวเกือบจะตกลงพื้น ก้นของหมูก็มีน้ำไหลออกมาจริงๆ เขาเลี้ยงหมูได้ถึงขั้นนี้จริงๆ งั้นเหรอ
ไม่มีทางเลือก ตระกูลอวิ๋นให้ความสำคัญเรื่องการรักษาคำพูด ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีไหน แต่นี่คือเรื่องจริง ท่านโหวไม่คิดที่จะส่งอวิ๋นจิ่วไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาอีกต่อไป ทำเช่นไรถึงจะเลวร้ายมากขึ้น นี่คือบทลงโทษที่ท่านโหวให้กับอวิ๋นจิ่ว
“ท่านพี่ อวิ๋นจิ่วเลี้ยงหมูจนมีน้ำมันไหลออกมาจริงๆ เหรอ”
ซินเย่วสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก หมูของเสี่ยวยาที่เลี้ยงมาตั้งสามปี ดูแล้วก็น่าจะหนักห้าหกร้อยจิน แต่ถึงจะหนักแค่ไหน ก็คงไม่หนักจนมีน้ำมันไหลออกมาหรือเปล่า
น่ารื่อมู่ก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ นางเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงแกะ รู้ว่านี่เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล นางประคองซินเย่วที่ลุกยืนลำบากขึ้นมา คิดว่าสามีของตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว
“เป็นผู้หญิงเอาแต่พูดเรื่องก้นๆ ตูดๆ ทั้งวันไม่รู้สึกอับอายเลยหรือ อวิ๋นจิ่วก็แค่ฉลาดแกมโกง ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกวิธี แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล ทำเรื่องไม่ดี ให้เขาได้เรียนรู้เรื่องไม่ดีมาจากสวี่จิ้งจงบ้าง ไม่ได้เลวร้ายอะไรต่อตระกูลเรา ในบ้านต้องมีคนดีแล้วก็ต้องมีคนเลว เมื่อก่อนที่บ้านของเราเสียเปรียบก็เพราะว่าล้วนแต่เป็นคนดี ให้เขาได้ช่วยงานที่ฉ่าวหยวนสักสองสามปีแล้วค่อยกลับมาฉางอัน ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้เจ้านี่จะกลายเป็นคนเช่นไร”
ซินเย่วหยิบผ้าเช็ดหน้าสะบัดใส่หน้าอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโหแล้วพูดว่า “ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าเขาทำเช่นไร เหตุใดถึงมีน้ำมันไหลออกมา”
“ไอ้เจ้านี้สาดน้ำมันใส่ก้นของฮันฮัน คิดว่าข้าดูไม่ออกเหรอ วิธีไร้คุณธรรมเช่นนี้ก็คิดออกมาได้ ถ่ายทอดมาจากสวี่จิ้งจงแท้ๆ ไม่ตั้งใจสั่งสอนคงจะน่าเสียดาย”
พูดเสร็จ ซินเย่วก็ไม่ไหวแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียก น่ารื่อมู่ประคองนางไม่ไหว อวิ๋นเยี่ยรีบมาอุ้มนางเอาไว้ ยังไม่เคยเห็นใครหัวเราะจนเป็นขนาดนี้
จับที่ขาของซินเย่ว กำลังจะอุ้มผู้หญิงที่หัวเราะจนเป็นอัมพาตคนนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นมือของเขาก็รู้สึกเปียก อวิ๋นเยี่ยตกใจ ถุงน้ำคร่ำแตก
“ไปไหนกันหมด ฮูหยินจะคลอดแล้ว รีบไปตามหมอตำแยมา เร็วเข้า!” อวิ๋นเยี่ยพาซิวเย่วนอนบนเตียงที่เตรียมไว้ในห้องอย่างเบามือ น่ารื่อมู่เงยหน้าขึ้น เขาก็เงยหน้าขึ้น จะพาซินเย่วไปที่ห้องคลอดเดี๋ยวนี้แหละ
ห้องคลอดอยู่ทางทิศเหนือ เป็นห้องที่ดูดซับพลังงานของแสงอาทิตย์ได้มากที่สุด ทั้งห้องถูกเช็ดทำความสะอาดเป็นอย่างดีกว่าสี่ห้าครั้ง ผ้าปูที่นอนทำจากผ้าลินินผืนใหม่ ต้มในน้ำเดือดมาแล้ว ตากแห้งภายใต้แสงอาทิตย์ เชิญหมอตำแยที่ดีที่สุดภายในระยะร้อยลี้นี้มาทำคลอด ไม่เชิญคนที่โชคดี แต่เชิญคนที่มีฝีมือ ผู้ดูแลมีรายชื่ออยู่แล้ว อวิ๋นเยี่ยกับซินเย่วพลิกหารายชื่อจนจะเละ พึ่งหาได้สามคน ทำคลอดให้ตระกูลเศรษฐีโดยเฉพาะ บางครั้งก็ไปช่วยทำคลอดในพระราชวัง
ตอนแรกนางไม่ยอมมา ดูถูกว่าตระกูลอวิ๋นไม่ใหญ่ไม่โต รู้สึกด้อยราคา ฉายาอวิ๋นเยี่ยสามอันตรายในฉางอันมีเอาไว้เรียกเฉยๆ หรอกหรือ
องครักษ์สองสามคนไปจับตัวหมอทำคลอดมา ส่วนที่เหลือก็เก็บเครื่องมือของนางมาด้วย ยัดเข้าไปในรถม้าแล้วเดินทางกลับบ้านของตระกูลอวิ๋น ลูกชายคนโตที่ทำงานอยู่กรมอาญาของนางกำลังจะเข้ามาขวาง ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยฟาดแส้เข้าไปที่หัวแล้วบอกว่า “หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ค่าตอบแทนให้ตามที่เจ้าพอใจ หากเกิดอะไรขึ้นมา เจ้าก็เตรียมเก็บศพได้เลย”
ซินเย่วเข้ามาที่ห้องคลอด ผ่านไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร อวิ๋นเยี่ยกังวลเดินไปเดินมา ท่านย่าก็นั่งไม่ติด เดินสวนกันไปมากับอวิ๋นเยี่ยด้วยความกังวล คนทั้งบ้านพากันมาอยู่ตรงลาน ยืดคอมองเข้าไปข้างในห้อง มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หน้าต่างถูกม่านปิดอย่างแน่นหนา กระวนกระวายไปหมด
ให้ม้าเร็วไปรายงานท่านอาจารย์อวี้ซัน ตระกูลเฉิงและตระกูลหนิวเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเยี่ยออกไปไหนไม่ได้ เฉียนทงรีบขี่ม้าไปหาซุนซือเหมี่ยว ไม่มีเขามาคุมงาน ไม่มีความมั่นใจจริงๆ
เสี่ยวชิวเปิดม่านออกมา นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของซินเย่ว ถึงแม้ว่าจะแต่งงานไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ขาดนางไปไม่ได้ นางรู้จักนิสัยของซินเย่วเป็นอย่างดี
ทั้งบ้านมาล้อมถามนาง ดูเหมือนว่าเสี่ยวชิวจะค่อนข้างเขินอาย บอกกับท่านย่าว่า “ตอนนี้ฮูหยินยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเพคะ หมอตำแยบอกว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย ฮูหยินบอกว่านางอยากทานอ้อยหวานๆ”
“ไม่ตั้งใจคลอดลูก จะมาอยากทานอะไรอ้อยหวานๆ คลอดเสร็จ ย่าจะซื้ออ้อยทั้งฉางอันมาให้ทานอย่างสมใจ”
พูดออกไปเช่นนั้น แต่ทันใดนั้นก็บอกคนรับใช้ให้รีบออกไปซื้ออ้อยมาให้ซินเย่ว กลัวว่าพวกเด็กจะทานจนฟันพุ ที่บ้านเลยไม่เคยเตรียมไว้
อาจารย์อวี้ซันมาถึงอย่างรวดเร็ว เข้าประตูมาก็ถามว่าคลอดแล้วหรือยัง
“อาจารย์ซุนบอกว่าอีกยี่สิบวันถึงจะคลอดมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้คลอดเร็วเช่นนี้”
อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า บอกเขาว่าวันนี้ซินเย่วหัวเราะแรงเกินไป ไม่รู้ว่าทำไมถุงน้ำคร่ำถึงแตก ตอนนี้ก็จะคลอดแล้ว
เขานั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง ผู้หญิงที่จะคลอดลูกมักจะต้องเจอกับเรื่องอันตราย หมอตำแยอวยตัวเอง บอกว่าตัวเองทำคลอดมาแล้วเป็นร้อย ไม่สำเร็จมีแค่ห้าหกคน ฝีมือช่างยอดเยี่ยม
ได้ยินเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะเอามีดฟันหมอตำแยให้ตาย ถ้าเป็นในยุคหลัง ทำคลอดเป็นร้อย ไม่สำเร็จห้าหกคน คงถูกโรงพยาบาลทำคลอดหั่นเนื้อเป็นชิ้นไปแล้ว ยังจะมีหน้ามาอวยตัวเอง
แต่นี่คือความจริง ฝีมือของนางไม่ธรรมดา มีประวัติไว้หมดแล้ว สองสามปีมานี้เรื่องของการคลอดลูกเป็นเรื่องใหญ่ คนมีเงินก็หาหมอตำแยที่ฝีมือดี คนไม่มีเงินก็ให้ผู้ดูแลไปหาหมอตำแยมาเอง หมอตำแยจะปฏิเสธไม่ได้ เด็กที่เกิดมาทุกคนจะถูกบันทึกไว้อย่างเคร่งครัด หากเกิดการแท้ง ก็จะต้องบันทึกไว้ด้วย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแอบอ้าง เพราะการเพิ่มขึ้นของประชากรเป็นตัวบ่งชี้การเลื่อนตำแหน่งของขุนนาง
ถ้ามีการทำแท้งเด็กตามความอำเภอใจเหมือนยุคหลัง จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเหมือนโทษของการฆาตกรรม โดยเฉพาะในช่วงแรกของต้าถัง ประชากรมีจำนวนน้อย หลี่ซื่อหมินเกลียดชังเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะบอกว่าคลอดเด็กไม่สำเร็จ ไม่ถือว่าเป็นชีวิตของคนๆ หนึ่ง แต่หลี่ซื่อหมินก็เข้มงวดและไม่ยอมผ่อนปรน
ตัดอ้อยแล้วส่งเข้าไปข้างใน แม้จะยืนอยู่ที่ลานก็ยังได้ยินเสียงเคี้ยวอ้อยของนาง ช่างมีพลัง มันทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจมากขึ้น ตั้งแต่ซินเย่วตั้งครรภ์ นางก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก หลังจากท้องป่องนางก็ไม่ค่อยจะขยับตัวไปไหน การทานอาหารเสริมมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสำหรับซินเย่ว ความสมดุลของอาหารเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่ก็กลัวว่าจะมีโภชนาการมากเกินไป ทำให้ทารกเจริญเติบโตมากเกินไป มันจะเป็นอันตรายต่อแม่และลูก
เหล่าซุนอยู่ไม่ไกล เขามาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถขัดขวางอะไรเขาได้ เขาเดินเข้าไปในห้องคลอดแล้วก็เดินออกมาในไม่ช้า
พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ซินเย่วสุขภาพร่างกายแข็งแรง ถึงแม้ว่าจะคลอดเร็วไปหน่อย แต่ไม่ต้องกังวล ชีพจรยังแข็งแรง เดี๋ยวก็คลอด จะรีบร้อนทำไม”
การรอคอยเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุดในโลก ลานกว้างที่เงียบสงบ เสี่ยวยาที่ซุกซนนอนอยู่ในอ้อมแขนของท่านป้าอย่างรู้ความ รอคนรุ่นหลังคนแรกของตัวเองคลอดออกมา
อวิ๋นเยี่ยที่เคยภูมิใจในความอดทนของตัวเอง แต่ตอนนี้ความอดทนของเขากลับหายไปหมดแล้ว นั่งไม่ติดกระสับกระส่าย เขาอยากได้บุหรี่สักมวนมาบรรเทาอาการประสาทของเขา กัดฟางที่แห้งเ**่ยวอยู่ในปาก มันทำให้เขาสงบสติอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป
เสียงครวญครางของซินเย่วดังออกมาจากห้องคลอด มันช่างบีบหัวใจของอวิ๋นเยี่ย ท่านย่าบอกว่า “รุ่นเหนียง พาพวกเด็กๆ กลับเข้าไปในบ้านก่อน เสี่ยวอู่กับซือซือก็กลับเข้าไปด้วย เด็กยังไม่คลอดไม่อนุญาตให้มาที่นี่”