[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 53 ลูกชายคนโต

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลังจากไล่ผู้หญิงทุกคนออกไปเพื่อไม่ให้พวกนางมีความทรงจำที่ไม่ดี อวิ๋นเยี่ยคิดว่าการทำเช่นนี้ค่อนข้างเหมาะสม เพื่อไม่ให้พวกนางกลัวการคลอดลูกในอนาคต

 

 

เสียงร้องของซินเย่วดังลั่น ทุกครั้งที่ร้อง เสียงร้องของนางค่อยๆ บีบรัดหัวใจของอวิ๋นเยี่ย ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว นางยังคงร้องอยู่ เห็นได้ชัดว่านางเริ่มหมดแรงแล้ว การที่เป็นสามีภรรยากันมานาน เขาดูออกว่าซินเย่วเหนื่อยมากแล้ว สามชั่วโมงมาแล้วดูเหมือนนางจะสูญเสียพลังงานอย่างมาก ใครๆ ก็บอกว่าท้องแรกคลอดยาก แต่ก็ไม่น่าจะยากถึงเพียงนี้

 

 

หมอตำแยเดินออกมา ตาอวิ๋นเยี่ยแดงไปหมด หากหมอตำแยกล้าถามเขาว่าจะเอาแม่ไว้หรือจะเอาลูกไว้ อวิ๋นเยี่ยคงจะฉีกหมอตำแยออกเป็นชิ้นๆ

 

 

“ท่านโหว ฮูหยินอยากพบท่าน” หมอตำแยบอกอวิ๋นเยี่ย แต่ไม่กล้ามองหน้าเขา

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องคลอด เห็นเพียงซินเย่วนอนชันขา ร้องครวญครางอย่างอิดโรย เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา พยายามอ้าปากพูดออกมาอย่างอ่อนแรง ไม่ต้องได้ยินเสียงอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่านางพูดออกมาสามคำว่า ‘ช่วยข้าด้วย’

 

 

ดั่งมีดกรีดแทงหัวใจ อวิ๋นเยี่ยบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง หยิบขวดลายครามใบเล็กออกมาจากเสื้อ ข้างในมีผงโสม นี่คือสารสกัดจากส่วนสำคัญของโสมที่ซุนซือเหมี่ยวสกัดออกมาจากโสมจำนวนมาก โสมไม่ได้เป็นที่ยอมรับในต้าถัง ตอนนี้ทำได้เพียงปลูกไว้ที่เขตเหลียวตง เมื่อได้โสมมา หลังจากตรวจสอบประสิทธิภาพของยาแล้ว ซุนซือเหมี่ยวก็ดีใจมาก นี่เป็นยาบำรุงชั้นดีที่ไม่มีพิษแฝงอยู่ เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรอันล้ำค่า

 

 

ใบหน้าพยายามฝืนยิ้ม ละลายผงโสมในถ้วยใบเล็กแล้วพูดกับซินเย่วว่า “แม่คนเขาเป็นกันง่ายๆ เสียที่ไหน การรับความทรมานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่ากังวลไปเลย มีข้ากับหมอเทวะซุนอยู่ เจ้าจะไม่มีอันตรายใดๆ ดูสิ นี่คือยาดีที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้ามาก่อนแล้ว ดื่มสิ เจ้าจะมีแรงขึ้นมา แม้แต่เสือเจ้าก็ฆ่าตายได้”

 

 

ซินเย่วอยากจะหัวเราะ แต่ว่าอาการปวดที่รุนแรงทำให้นางนิ่วหน้า พยายามจะอ้าปาก ให้สามีรีบป้อนยาให้นาง

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา บางทีอาจเป็นเพราะกำลังใจ เสียงของซินเย่วกลับมามีแรงอีกครั้ง

 

 

“ฮูหยิน ออกแรงอีก เห็นหัวเด็กแล้ว ผมบนหัวดกดำ ต้องเป็นเด็กผู้ชายแน่ๆ ท่านช่วยออกแรงอีก”

 

 

หมอตำแยเห็นซินเย่วมีแรง ก็รีบช่วยเชียร์นางทันที ซินเย่วบีบมืออวิ๋นเยี่ยแน่น เล็บจิกลงไปที่หลังมือของเขา แต่อวิ๋นเยี่ยยังคงยิ้มให้กำลังใจซินเย่ว ราวกับว่ามือนั้นไม่ใช่ของตัวเอง

 

 

“หัวออกมาแล้ว ซินเย่ว เจ้าทำได้ดีมาก อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวลูกของเราก็จะออกมาแล้ว”

 

 

แม้ในตอนอลหม่าน ซินเย่วก็ไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยแปดเปื้อนความโชคร้าย นางเคยได้ยินว่า คนคลอดลูกไม่สะอาด จะนำความโชคร้ายมาให้ผู้ชาย ดังนั้นจึงบีบมืออวิ๋นเยี่ยไว้แน่นไม่ให้ไปดูคราบเลือด

 

 

อวิ๋นเยี่ยใช้มือเดียวป้อนโสมให้ซินเย่ว เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นาง เขาไม่มีความคิดเรื่องกลัวแปดเปื้อนความโชคร้ายอะไร ผู้ชายยุคหลังดูภรรยาตัวเองคลอดลูกถือเป็นความทันสมัยอย่างหนึ่ง พอมาราชวงค์ถังก็เปลี่ยนเรื่องน่ายินดีให้กลายเป็นความโชคร้ายไปเสียแล้ว?

 

 

หมอตำแยสามคนกำลังวุ่นวายบริเวณช่องคลอดของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยเห็นผ้าที่เปื้อนเลือดเยอะมากมาย หัวใจเริ่มเต้นเร็ว กำลังจะถาม ก็ได้ยินหมอตำแยสามคนตะโกนด้วยความดีใจว่า “คลอดแล้ว!”

 

 

เห็นเพียงหมอตำแยอุ้มเนื้อนุ่มอ่อนสีแดง อีกคนเอากรรไกรที่ต้มฆ่าเชื้อด้วยเหล้าตัดสายสะดือ หมอตำแยอีกคนผูกสายสะดือที่เชื่อมต่อกับเด็กด้วยเชือกป่านชั้นดีอย่างแน่นหนา หมอที่อุ้มลูกของอวิ๋นเยี่ยคว่ำเด็กน้อยลง แล้วตบลงไปที่ตูดเด็กหนึ่งที

 

 

เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมาก็รู้สึกใจชื้น ในปากของเด็กยังมีน้ำคร่ำไหลออกมาไม่หยุด ที่แท้วิธีอุ้มเด็กคว่ำลงแล้วตบตูดใช้ได้ผล ความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นมาเมื่อกี้ได้หายไปในทันที

 

 

อย่าเพิ่งสนใจความดีใจของคนในบ้าน ซินเย่วยกหัวขึ้นถามอวิ๋นเยี่ยด้วยความอยากรู้ว่า “เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

 

 

หมอตำแยตอบด้วยใบหนายิ้มแย้มว่า “ยินดีด้วยฮูหยิน ท่านให้กำเนิดลูกชายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านดูเจ้านกเขาน้อยสิ แข็งแรงมากแค่ไหน”

 

 

ซินเย่วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก มองดูก้อนเนื้อสีแดงๆ เบะปากแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ขี้เหร่มาก”

 

 

“ฮูหยินไม่รู้อะไรเสียแล้ว เด็กคลอดใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ผ่านไปไม่กี่วันก็ดีขึ้น”

 

 

ซินเย่วปากบอกว่าขี้เหร่ แต่กลับอ้าแขนอุ้มลูกตัวเอง ไม่สนใจช่วงล่างที่ยังเจ็บอยู่

 

 

“ท่านโหว พวกข้าจะทำความสะอาดให้ฮูหยิน ท่านออกไปก่อนเถิด เด็กคลอดออกมาอย่างราบรื่น พวกข้าก็มีความมั่นใจขึ้นมามากแล้ว”

 

 

อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ ลูบหน้าซินเย่วเบาๆ แล้วผลักประตูออกไป

 

 

ในบ้านรื่นเริงครึกครื้น ท่านย่านั่งพิงกรอบประตูอยู่รอไม่ไหวที่จะเห็นหลานชายตัวน้อยของนาง เมื่อเสี่ยวชิวได้ยินเสียงร้องครั้งแรกของเด็กน้อย ก็รีบกระจายข่าวว่าบ้านอวิ๋นเยี่ยมีนายน้อยกำเนิดขึ้นแล้ว

 

 

อาจารย์อวี้ซันยอมรับการแสดงความยินดีของเหล่าหนิวและเหล่าเฉิงด้วยความภาคภูมิใจ เฉิงฉู่มั่วถือของขวัญชิ้นใหญ่ ยิ้มแสดงความยินดีให้กับอวิ๋นเยี่ย ด้านหลังหนิวเจี้ยนหู่ยังมีของขวัญกองกันเป็นภูเขาเล็กๆเหมือนกัน

 

 

เฉิงฉู่มั่วทิ้งของขวัญในมือแล้ววิ่งเข้าไปกอดอวิ๋นเยี่ย พูดเสียงดังว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าทำได้ดีมาก ในฐานะพี่ชาย ข้ายินด้วยที่ตระกูลอวิ๋นมีลูกหลานสืบสกุลแล้ว ขอให้ตระกูลเจ้าเจริญรุ่งเรือง”

 

 

พูดจบก็หันไปพูดกับหนิวเจี้ยนหู่ว่า “เจี้ยนหู่ ภรรยาของพวกเจ้าตั้งท้องในช่วงเวลาเดียวกัน อวิ๋นเยี่ยถือธงเข้าเส้นชัยได้ลูกชายไปก่อน ที่เหลือก็รอดูเจ้าแล้ว”

 

 

เมื่อหนิวเจี้ยนหู่ยินดีกับอวิ๋นเยี่ยแล้วก็หันกลับมาพูดกับเฉิงฉู่มั่วว่า “แน่นอนว่าข้าต้องได้ลูกชาย แต่หากเป็นลูกสาว เช่นนั้นก็ถือว่าเสมอกันกับเจ้า แล้วอีกอย่าง ภรรยาเจ้าปีนี้อายุสิบสี่ปี อวิ๋นเยี่ยบอกว่าอายุเท่านี้คลอดลูก ไม่ใช่แค่การคลอดลูก แต่อาจถึงชีวิตได้ ในบรรดาพวกเราสามพี่น้อง ลูกชายของเจ้าเกิดคนสุดท้าย”

 

 

ประโยคนี้ทำเอาเฉิงฉู่มั่วพูดไม่ออก เพราะเป็นอย่างว่าจริงๆ

 

 

อาจารย์จากสำนักศึกษาค่อยๆ ทยอยกันมา กงซูมู่ทำรถเด็กทารกด้วยมือของเขาเองเพื่อให้เป็นของขวัญ สวยงามเป็นที่สุด ดูมีหน้ามีตา

 

 

หม่าหลีสือพาท่านอาที่ท้องใหญ่มาร่วมยินดีด้วย ท่านอาดูอวบอั๋นขึ้น พอถึงบ้านก็รีบเข้าไปดูหลานตัวเองที่ห้องคลอด หลายวันมานี้ หากที่บ้านไม่ได้มีเรื่องอะไร นางก็จะไม่ออกจากบ้าน

 

 

อี้เหนียงและสามีไม่ชอบอาศัยอยู่ที่ฉางอัน นางเป็นคนเงียบๆ จึงรับสภาพแวดล้อมที่อึกทึกครึกโครมไม่ได้เป็นที่สุด แล้วไม่กี่ปีนี้ใต้เท้าตระกูลเผยเลื่อนตำแหน่งแต่งภรรยาเข้ามาอีก ตอนนี้จำนวนคนในบ้านมีแนวโน้มว่าจะเต็มแล้ว

 

 

ผู้หญิงพวกนั้นอยู่ด้วยกันยิ่งทำให้คนปวดหัว สถานะของอี้เหนียงค่อนข้างสูง พวกเหล่าภรรยาจึงไม่กล้าหาเรื่อง แต่เมื่อเห็นว่าเห็นอี้เหนียงมีสินสอดที่กองเท่าภูเขา ก็ไปร้องห่มร้องไห้ว่าตัวเองยากจน ร้องขอเครื่องประดับ อยากจะเอาเปรียบอี้เหนียงบ้าง แน่นอนว่าอี้เหนียงไม่ปฏิเสธ มองดูเครื่องประดับของตัวเอง ก็รีบถอดออกมาให้ผู้อื่น อย่างไรชุดเครื่องประดับที่ชอบมากที่สุดก็เป็นชุดที่พี่ชายซื้อให้ เก็บไว้ใน**บ ไม่ให้ใครเห็น ส่วนที่มอบให้แก่ผู้อื่น ความจริงก็เตรียมไว้ให้พวกนางอยู่แล้ว

 

 

ใต้เท้าเผยเห็นว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่ทางที่ดี ขายหน้าให้คนในบ้านยังพอทน แต่หากเล็ดลอดออกไปสู่หูตระกูลอื่นเข้า ตัวเองจะกล้าไปราชสำนักได้เช่นไร ดังนั้นจึงกัดฟันหาที่อยู่ให้สองสามีภรรยาที่ภูเขาอวี้ซัน ออกคำสั่งห้ามภรรยารองทั้งหลายเข้าไป มีเพียงแม่ของเผยอวี้ที่เข้าไปพักบ่อยๆ ทั้งสองใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสงบสุข

 

 

ตอนนี้หลานตัวน้อยได้คลอดออกมาแล้ว ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา เมื่อได้ยินข่าวก็เฝ้าอยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้สมาชิกผู้หญิงคนอื่นๆ ในครอบครัวออกไปรับแขกแทนน่ารื่อมู่ งานใหญ่ขนาดนี้ น่ารื่อมู่ยังไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่นัก

 

 

วันนี้อาจเป็นวันที่เหล่าเฉียนมีหน้ามีตาที่สุด กั๋วกงตระกูลนั้นมา กั๋วกงตระกูลนี้มา ยุ่งตัวเป็นเกลียว ต้องเข้าไปทักทายทุกคน มิเช่นนั้นจะเป็นการเสียมารยาท

 

 

ภรรยาหลวงตระกูลอวิ๋นให้กำเนิดลูกชาย แน่นอนว่าทำให้ตระกูลอวิ๋นมีหน้ามีตาสูงสุด ไม่ว่าปกติจะทำเรื่องสกปรกอะไรไว้ ในตอนนี้มีแต่เสียงแสดงความยินดี หากพูดจาว่าร้ายในตอนนี้ จะทำให้เกิดความคับแค้นต่อกันเสียเปล่า ไม่มีใครอยากมีความแค้นกับตระกูลอวิ๋นที่หาแต่ผลประโยชน์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องความเห็นต่างทางการเมือง การมาแสดงความยินดีไม่ได้เสียหายอะไร เหตุใดจะทำไม่ได้

 

 

เหอเซ่าที่อยู่ชุมชนเดียวกันกับตระกูลอวิ๋นได้รับข่าวก็ดีใจจนน้ำตาไหล ดีใจยิ่งกว่าลูกตัวเองคลอดเสียอีก เมื่อไม่กี่วันก่อนภรรยารองของเขาได้คลอดลูกชาย ตอนนี้เขามีลูกชายเจ็ดคน ลูกสาวสามคน ลูกสาวที่คลอดจากภรรยาหลวงเพิ่งได้หนึ่งขวบ จะให้ลูกสาวคนโตจากภรรยาหลวงแต่งเป็นภรรยาหลวงของอวิ๋นเยี่ยก็คุณสมบัติยังไม่พร้อม หากให้เป็นภรรยารองนางก็ไม่ยอม ในใจสับสนไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่ว่าเช่นไร ตระกูลอวิ๋นมีผู้สืบทอด ก็แสดงว่าตระกูลเหอยังมีหวังให้ตระกูลอวิ๋นช่วยคุ้มกันไปหลายสิบปี เรื่องน่ายินดีถึงเพียงนี้ ต้องจัดงานใหญ่ รู้ว่าตอนนี้ตระกูลอวิ๋นมีคนรับใช้ไม่มากนัก ดังนั้นจึงขนกำลังคนจำนวนมากและของใช้ในครัว เดินเข้าไปในตระกูลอวิ๋น

 

 

หลี่เฉิงเฉียนพาองครักษ์สิบกว่าคนขี่ม้ามาครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านตระกูลอวิ๋น เห็นอวิ๋นเยี่ยเข้าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งผ้าไหมสีเหลืองร้อยด้วยมุกขนาดเท่าเม็ดลำไยสองเส้นให้อวิ๋นเยี่ย สิ่งนี้ทำอวิ๋นเยี่ยที่เห็นไข่มุกมามากมายถึงกับตะลึง รีบปฏิเสธ

 

 

“องค์รัชทายาท สิ่งนี้เป็นของติดตัวมาตั้งแต่ท่านยังเล็ก จะให้ข้าได้อย่างไร ลูกข้ายังเล็ก รับไว้ไม่ได้จริงๆ”

 

 

“เหตุใดจึงรับไว้ไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะตระกูลเจ้าไม่ยอมรับพ่อบุญธรรม ไม่เช่นนั้นข้าก็รับเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรมไปนานแล้ว เพียงแค่สร้อยไข่มุกพระจันทร์ ไม่เห็นต้องเกรงใจ เพียงแต่หวังว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นจะสืบต่อแนวทางของเจ้า เพิ่มอิฐและกระเบื้องมากขึ้นให้ต้าถังในยุคอันรุ่งเรืองของข้า”

 

 

“สร้อยไข่มุกพระจันทร์เป็นสมบัติมงคล ในเมื่อองค์รัชทายาทบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ตอนนี้มอบให้แก่ลูกชายของอวิ๋นโหว ถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุด”

 

 

เสียงดังมาจากข้างๆ ที่แท้ก็เป็นหยวนเทียนกังที่เพิ่งหายดีจากอาการป่วย ข้างหลังยังมีนักบวชเต๋าหนุ่มรูปงามมาด้วย เพียงแต่ดูเหมือนว่าตาจะมีปัญหา กวาดสายตามองซ้ายมองขวาไม่หยุด ไม่ต้องขโมยของก็ดูเหมือนโจร ไม่บอกก็รู้ นอกจากหลี่ฉุนเฟิงก็ไม่มีใครแล้ว เจ้าคนผู้นี้มีความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์เกินความต้องการของลัทธิเต๋า มักจะพูดว่าตัวเองเตรียมพร้อมที่จะควบคุมการทำนายเรื่องที่ไม่คาดคิด พร้อมที่จะแหกคอก ใช้กฎคณิตศาสตร์มาทำนายการเป็นไปของเรื่องราว แต่น่าเสียดายที่มักจะต้องแพ้ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย

 

 

ดังนั้นที่เขามาบ้านตระกูลอวิ๋นมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ ห้องหนังสือของอวิ๋นเยี่ย

 

 

“เจ้าโจรลัทธิเต๋ากลับมาขโมยของที่บ้านอีกแล้ว วันนี้เจ้าจะไม่ให้คำอวยพรแก่ลูกข้าไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

“ทั่วทั้งต้าถัง เรียกข้าว่าโจรลัทธิเต๋าก็เห็นจะมีเจ้าเพียงคนเดียว เมื่อไม่กี่วันมานี้ใครกันแน่ที่ขโมย ‘คัมภีร์หวงถิง’ ของลัทธิเต๋าไป คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย เจ้ากลับเรียกข้าโจรลัทธิเต๋า ในโลกนี้เพราะมีคนอย่างเจ้า ดังนั้นทุกอย่างจึงเปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากขาวเป็นดำ ไม่มีสัจพจน์ เอาเหล้ามา วันนี้ไม่เมาข้าไม่กลับ”