ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเลย ขณะที่คนอื่นจะดื่มเหล้าแสดงความยินดีก็ต่อเมื่อเด็กน้อยมีอายุครบหนึ่งร้อยวันไปแล้ว ตามธรรมเนียมแล้วเมื่อมีทารกเกิดใหม่จะแสดงความยินดีด้วยการส่งของขวัญมาให้ แล้วรอให้ครบร้อยวันถึงค่อยมาดื่มเหล้าแสดงความยินดีด้วย
เห็นได้ชัดว่าธรรมเนียมนี้ไม่มีผลต่อเหล่าอาจารย์อย่างเหล่าเฉิง เหล่าหนิว ฉินฉยง และอวี้ฉือกง งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เหล่าเฉิงก็ไปห้องเก็บเหล้านำเหล้าออกมาสองไห หาห้องที่อบอุ่นหน่อย ลากพวกหลี่จิ้งเข้าไป ปิดประตูแล้วพากันดื่มเหล้าเอง แม้แต่กับแกล้มก็ไม่เอา หน้าประตูยังมีชายหนุ่มเฝ้าอยู่สองคน ไม่ให้คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นเข้าไป
หลังจากกลับไปที่ห้องเห็นซินเย่วกำลังหลับสนิท ก็ยืนอยู่ข้างๆ เพ่งพิศมองดูลูกชายตัวเองอย่างละเอียดอ่อน ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อ เด็กน้อยมีเพียงชื่อเล่นไปก่อนก็ได้ ท่านย่าเอาแต่เรียกว่าหลานรักแล้วเปิดผ้าอ้อมที่ห่อไว้ออก เห็นนกเขาน้อยยิ้มไม่หยุด จึงหยอกล้อด้วยอย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยเอาผ้าอ้อมปิดไว้เหมือนเดิม นั่งอยู่บนเก้าอี้พูดพึมพำอยู่คนเดียว สายลูกประคำที่เคยเป็นดั่งชีวิตของท่านย่านถูกลืมทิ้งไว้กระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ไม่ได้เก็บรวบรวมอย่างเรียบร้อยด้วยซ้ำไป
ไม่รบกวนช่วงเวลาแห่งความสุขของท่านย่า อวิ๋นเยี่ยกลับไปที่ห้องหนังสือของตัวเอง หลี่เฉิงเฉียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ดื่มอยู่คนเดียว หลี่ฉุนเฟิงกำลังรื้อชั้นวางหนังสือของอวิ๋นเยี่ย หยวนเทียนกังได้เมาหมดสติไปแล้ว เหล้าของตระกูลอวิ๋นนั้นแรงเกินไปสำหรับเขา
หยิบหนังสือคณิตศาสตร์เบื้องต้นออกมาจากชั้นบนสุดให้แก่หลี่ฉุนเฟิง เมื่อได้หนังสือ เขาก็ถูกหนังสือดึงดูดความสนใจทันที เขาเห็นด้วยกับหลักการของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก ไม่รู้สึกว่าเลขอารบิกนั้นแปลกประหลาดอะไร หลายปีมานี้ต้าถังก็ได้ส่งเสริมเรื่องพวกนี้อย่างมาก เพราะการทำกิจการเป็นกำลังหลักที่ขาดไม่ได้
เมื่อดึงหลี่เฉิงเฉียนมาที่ห้องพระของตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเยี่ยเอามือลูบที่ป้าย ทันใดนั้นช่องลับก็ได้ถูกเปิดออก หยิบภาพม้วนหนึ่งออกมาจากด้านใน แล้วปิดช่องลับ ไม่จำเป็นต้องปิดบังหลี่เฉิงเฉียน ตระกูลอวิ๋นมีความลับมากพออยู่แล้ว หากมีเรื่องที่คนอื่นไม่ควรรู้มากกว่านี้จะยิ่งผิดปกติ
ลึกลับกับประหลาดแบ่งเป็นสองแนวคิด อันหนึ่งทำให้คนอยากค้นหา อีกอันหนึ่งทำให้คนสงสัย ใจคนก็แปลกเช่นนี้ คำต่างกันเพียงนิดเดียว ก็ราวกับว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
“นี่คืออะไร” หลี่เฉิงเฉียนอยากรู้ว่าของที่อวิ๋นเยี่ยหยิบออกมาจากช่องลับคืออะไรกันแน่
“อย่าถามอะไรเยอะ อีกสักครู่ไปพบเหล่าแม่ทัพ เอาหูกับตาไปด้วยก็พอ ไม่ต้องถาม ไม่ต้องตอบ ช้าเร็วเจ้าก็ต้องเข้าร่วมทำสงคราม ต้าถังบุกโจมตีดินแดนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีที่เจ้าจะได้แสดงฝีมือและสร้างอำนาจ จำไว้ว่าอย่ารุกล้ำคำสั่งของพวกแม่ทัพ เจ้าเพียงแค่เชื่อฟังก็พอ ให้เจ้าไปซ้ายเจ้าต้องไม่ไปขวา เจ้าไปเดินรอบๆ สนามรบก็พอ”
หลี่เฉิงเฉียนมีความฮึกเหิมเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตัวเองควรถืออาวุธควบม้า เป็นผู้นำสามทัพ แต่เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ ก็ไม่ค่อยพอใจ
ยืดคอขึ้นถามว่า “แล้วข้าจะไปทำอะไรในกองทัพ แค่เป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่ง แล้วจะให้ข้าไปร่วมรบทำไม”
อวิ๋นเยี่ยดึงคอเสื้อของหลี่เฉิงเฉียนแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจศาสตร์การรบเสียที่ไหน ในกองทัพสิ่งที่น่ากลัวคือการออกคำสั่งที่ไม่เห็นพ้องต้องกัน รัชทายาทอย่างเจ้า ก็เหมือนกับทหารใหม่ที่ไม่เคยเห็นเลือด เจ้าเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์นำทัพ พ่อของเจ้าถือว่าเป็นคนมีความสามารถ ก็ยังต้องอยู่ใต้การบังคับบัญชาของอวิ๋นติ้งซิ่งอยู่หลายปีไม่ใช่หรือ
วันนี้พาเจ้าไปที่ห้องนั้น นอกจากแม่ทัพโหวที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้า ที่เหลือก็ไม่มีใครพอใจเจ้าเลย ไม่มีอะไรจะคัดค้านได้ พ่อของเจ้าอำนาจรุ่งเรือง เป็นโอกาสดีที่จะขยายดินแดน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจเจ้า หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัยเรื่องการโค่นล้มอำนาจ สองก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัยเรื่องการโค่นล้มอำนาจ สามก็เพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัยเรื่องการโค่นล้มอำนาจ
ดังนั้นตอนนี้เจ้าต้องเตรียมพร้อมเพื่ออนาคตของเจ้า อนาคตของเจ้าได้กำหนดให้เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ แม่ทัพพวกนี้เป็นแขนซ้ายไหล่ขวาของฝ่าบาท อนาคตจะเป็นกำลังสำคัญของเจ้า ทำให้พวกเขาประทับใจในความนอบน้อมของเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ
เจ้าอยากร่วมทำศึกอย่างนั้นหรือ นี่เป็นวิธีที่คนโง่เท่านั้นที่ทำกัน ถึงแม้เจ้าจะฆ่าศัตรูตายไปหนึ่งร้อย หนึ่งพันคน ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพียงแค่เขาฆ่าเจ้าได้ก็ถือว่าเป็นชัยชนะ”
หลี่เฉิงเฉียนฟังที่อวิ๋นเยี่ยพูดจนสับสนไปหมด เขาคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเยี่ยจะใช้คำพูดที่โหดร้ายมาวิจารณ์ความฮึกเหิมของเขา อยู่ๆ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าอยากจะนำทัพทหารม้าหนึ่งหมื่นคนแสดงความยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเสียงกึกก้องในยุคนี้ ข้าอยากจะชมพระอาทิตย์ในที่ที่พระอาทิตย์ขึ้น ข้าจะไปจับงูหลามยักษ์ในดินแดนที่มีหมอกควันทางตอนใต้ ข้าจะทำสัญลักษณ์ลงบนเสาเหล็กในดินแดนทิศตะวันตก ข้าอยากจะโบยบินไปทางเหนืออย่างนกอินทรีย์ เจ้าอย่าคิดที่จะทำให้ข้ากลายเป็นคนที่น่าสงสารที่อยู่ภายใต้การปกป้องของท่านพ่อ”
แปะ แปะ แปะ แปะ อวิ๋นเยี่ยหัวเราะพร้อมกับปรบมือ เป็นครั้งแรกที่หลี่เฉิงเฉียนพูดถึงความกล้าหาญของตัวเอง ตระกูลหลี่มีความทะเยอทะยานอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว
เห็นอวิ๋นเยี่ยปรบมือ ความโมโหของหลี่เฉิงเฉียนถึงได้สงบลงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าความคิดข้าเป็นเช่นไร”
“ไม่เลวเลยทีเดียว ในฐานะฮ่องเต้ในอนาคต เจ้าควรมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ดีมาก เพียงแต่ว่าคำพูดดูโง่ไปหน่อย ข้าจะให้เจ้าดูอะไรบางอย่าง เพื่อที่เจ้าจะได้รู้ว่าความคิดของเจ้านั้นโง่แค่ใหน”
หลี่เฉิงเฉียนเริ่มจะโมโหอีกครั้ง แต่กลับพบว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังกางแผนที่ปูลงบนพื้น ชี้ไปที่รูปภาพแล้วพูดว่า “นี่คือโลกของพวกเราในตอนนี้ มีบางที่ที่ข้าเคยไป และมีบางที่ที่ข้าแค่เคยได้ยิน แต่ว่าข้ามีแผนที่ เช่นนั้นให้ข้าชี้แผนที่แสดงให้เจ้ารู้ว่าความคิดของเจ้านั้นโง่เช่นไร”
หลี่เฉิงเฉียนเห็นว่าตัวเองโมโหอวิ๋นเยี่ยไม่ลง ถึงแม้จะมีโมโหบ้าง แต่มันก็หายไปเอง ฟังเขาพูดแบบนี้ก็เลยคุกเข่าลงดูแผนที่กับอวิ๋นเยี่ย
ดูมานานเขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับพื้นที่เล็กๆ ทางด้านตะวันออกจึงถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ต้าถังของข้าใหญ่แค่นี้เองหรือ ต้าถังมีสิบเขตปกครอง มีด่านทหารชายแดนสามร้อยหกสิบจุด มีอาณาเขตถึงหนึ่งพันห้าร้อยห้าสิบสี่มณฑลที่ห่างออกไปอีกหลายหมื่นลี้ แต่กลับใหญ่แค่นี้เองหรือ”
หลี่เฉิงเฉียนมองดูแผนที่โลก ไม่พอใจที่ต้าถังมีพื้นที่ที่เล็ก ในสายตาเขาต้าถังควรเป็นพื้นที่ส่วนที่ใหญ่ที่สุด
“พวกอินเดียใหญ่กว่าต้าถังเช่นนั้นหรือ พวกโรมันในเมืองยังมีทะเลสาบ ดินแดนของพวกเขาใหญ่ขนาดนั้นจริงๆ หรือ”
ในฐานะผู้นำอย่างหลี่เฉิงเฉียนไม่พอใจต่อการแบ่งดินแดนเป็นอย่างมาก คำถามหลั่งไหลมาจากปากเขาไม่หยุด ทุกประโยคเต็มไปด้วยความอิจฉา
“เฮ้อ ตอนนี้โรมันล่มสลายไปแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้ได้ถูกแบ่งเป็นโรมันตะวันออกและโรมันตะวันตก โรมันตะวันตกได้ล่มสลายแล้ว แต่โรมันตะวันออกยังคงอยู่ และแข็งแกร่งมาก ชาวเปอร์เซียมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก จักรวรรดิซาเซเนียนในปัจจุบันก็คือเปอร์เซีย ได้ทำสงครามกับโรมันตะวันออกอยู่ตลอดไม่เคยหยุดพัก แต่ว่าที่ข้าอยากให้เจ้าดูคือพื้นที่ตรงนี้”
อวิ๋นเยี่ยชี้นิ้วไปที่พื้นที่ของเยรูซาเล็มแล้วพูดว่า “คนที่แข็งแกร่งถือดาบด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นคนรวบรวมพื้นที่แห่งนี้ ไม่นานก็ถูกขนานนามไปทั่ว พวกเขามีทักษะในการรุกราน พวกเขามีคำพูดที่ขึ้นชื่อก็คือ ‘หากไม่เหลืออะไรให้แย่งแล้วจะมาแย่งพี่น้องของข้า ข้าก็ไม่ถือสาอะไร’ คนพวกนี้เลือกโจมตีเปอร์เซียก่อน หลังจากนั้นก็เป็นจักรวรรดิซาเซเนียน หลังจากนั้นก็ถึงตาของพวกเรา แต่ว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ เจ้ายังมีเวลาเตรียมตัว ยังมีพื้นที่นี้อีก”
อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ทิเบตแล้วพูดว่า “มีคนหนึ่งคือพระเจ้าซรอนซันกัมโป ได้รวบรวมดินแดนพื้นที่แห่งนี้ พวกเขากล้าหาญในการทำศึกสงครามและมีดินแดนที่ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โจมตีจากบนลงล่าง ย่อมง่ายกว่าโจมตีจากล่างขึ้นบน และพวกเขายังจ้องเล่นงานอาณาจักรน่านเจ้า สงครามในหลายปีนี้จะเป็นสนามให้เจ้าได้ฝึกรบ ไม่ต้องแสดงฝีมือมาก อนาคตของเจ้ายังต้องเจอปัญหาอีกเยอะ ในภายภาคหน้าเจ้าจะได้รบจนเบื่อ ตอนนี้ไม่เห็นต้องรีบเลย”
หลี่เฉิงเฉียนมองอวิ๋นเยี่ยด้วยสายตาไร้เดียงสาแล้วพูดว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร ทำไมต้าถังของข้าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพูดถึงพวกเขามากนัก และสิ่งที่เจ้าพูดดูเหมือนจะเป็นความจริง อย่างน้อยข้าก็เชื่อเจ้า เพราะเจ้าไม่เคยหลอกข้า”
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง ข้าผจญภัยมาแล้วสิบสี่ปี อาจารย์ของข้าก็เป็นผู้มีวิชาความรู้ หากไม่รู้นี้สิถึงแปลก สถานที่แปลกๆ เหล่านั้นต้องใช้เวลาอย่างยาวนานถึงจะค่อยๆ มองออกว่าโลกใบใหญ่ของเราเป็นอย่างไร ดังนั้นแผนที่นี้ข้าให้เจ้า ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์มากแต่ว่าข้อมูลโดยประมาณไม่มีผิดพลาดแน่นอน”
แผนที่ม้วนนี้อวิ๋นเยี่ยใช้เวลานานในการคัดลอกจากโทรศัพท์ของตัวเอง เพียงแค่อัตราส่วนของโลกก็ทำเอาอวิ๋นเยี่ยปวดหัว มีบางพื้นที่ที่ลักษณะไม่ตรงกับตอนนี้ อย่างเช่น ปากทางสู่ทะเลของแม่น้ำฮวงโห ปากทางสู่ทะเลของแม่น้ำแยงซีเกียง นำแผนที่สี่ด้านของเมืองต้าถังมาเปรียบเทียบ บวกกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของโลกอย่างคร่าวๆ จึงได้แผนที่ลักษณะเช่นนี้
ให้แผนที่หลี่เฉิงเฉียนไปเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สร้อยไข่มุกพระจันทร์ในวันนี้ได้เป็นเชือกผูกตระกูลอวิ๋นและรัชทายาทไว้ด้วยกันแล้ว อยากหนีก็ไม่มีที่ให้หนี ดีที่หลี่เฉิงเฉียนไม่ใช่คนเลวร้ายในประวัติศาสตร์ ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงได้นำสิ่งของที่ใช้ในการปกป้องชีวิตออกมา
หลี่เฉิงเฉียนม้วนแผนที่เก็บอย่างระมัดระวัง ดึงผ้ารัดผมจากหัวเอามามัดไว้อย่างดี เงยหน้าถาม “เจ้าให้มันแก่ข้า ข้าจะใช้ประโยชน์จากมันเช่นไร”
“แน่นอนว่าเอาไว้ใช้หลอกพวกอาจารย์ที่มีความทะเยอทะยานสูง พวกเขามักจะกังวลว่าเมื่อสงครามจบลงแล้ว จะต้องรับชะตากรรมถูกฆ่าหลังจากสงครามจบลง ดังนั้นบอกกับพวกเขาว่ายังคงมีสงครามอยู่ ชีวิตนี้อย่าคิดว่าจะได้ห่างจากสงคราม ให้พวกเขาคิดว่าวันที่จะโดนฆ่าปิดปากไม่มีวันมาถึง หลังจากนั้นก็ถือเข้าวังไปให้ท่านพ่อของเจ้าดู บอกเขาเกี่ยวกับความคิดของเจ้า เหมือนกับที่บอกข้าเมื่อครู่นี้ นี่เป็นแผนการเริ่มต้นที่ดี รอเจ้าทำสงครามจนพอใจ ฝ่าบาทก็แก่ลงแล้ว ก็จะถึงตาที่เจ้าจะเข้ามาควบคุมโลกใบนี้แล้ว คนทั้งเมืองจะไว้ใจเจ้า นี่เป็นจุดเริ่มของทุกอย่าง อย่างมากภายในราชสำนักก็เกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถให้ความเท่าเทียมกันกับทุกๆ แคว้นได้”
พอคิดถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ของหลี่เฉิงเฉียน อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกประทับใจ คนยุคหลังที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรตอนนี้ได้เป็นคนชี้แนะแนวทางให้รัชทายาทว่าควรจะเดินไปทางใด
“อวิ๋นเยี่ย นี่เจ้ากำลังให้ ‘หลงจงตุ้ย’ กับข้าเช่นนั้นหรือ ไม่ต้องออกไปนอกบ้านแต่กลับรู้เรื่องราวทุกอย่าง เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก”
“ฝันไปเถอะ ข้าไม่ได้อยากเป็นขงเบ้งเสียหน่อย ข้อแรกข้าไม่ได้ฉลาดเหมือนกับเขา ข้อที่สองข้าค่อนข้างขี้เกียจ เจ้าต้องไปจัดการเรื่องทุกอย่างเอง ข้าจะคอยอวยพรอยู่ข้างหลัง งานเหนื่อยขนาดนี้ไม่ต้องมาหาข้า แค่ทุกวันนี้ข้าสอนหนังสือก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว รออนาคตเจ้าสำเร็จแล้ว ค่อยแต่งตั้งตำแหน่งสูงๆ ให้ข้า ตำแหน่งที่ได้เงินโดยไม่ต้องทำอะไร ให้พวกที่รังแกข้า พอเห็นข้าก็ต้องโค้งคำนับ ให้ทุกวันที่ออกจากบ้านไม่ใช่เพื่อไปทำงานแต่เพื่อไปแกล้งคนก็พอ นี่คือความฝันของข้า จำไว้ว่าต้องทำความฝันของข้าให้เป็นจริง”
หลี่เฉิงเฉียนหัวเราะเสียงดัง ดึงมือของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “พวกเรามาสัญญากัน ข้าจะไปเอาใจคนทั่วทุกทิศ ส่วนเจ้าก็รังแกคนอยู่ที่เมืองหลวง พวกเราจะมีความสุขไปตลอดชีวิต”