[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 55 ถูกหลอกอีกแล้ว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ความคิดในหัวโลดแล่นเต็มไปหมด แต่ในความจริงกลับทำอย่างที่คิดไม่ได้ ไม่รู้ว่านี่เป็นคำพูดของใคร แต่มันสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชายหนุ่มสองคนที่พึ่งมีความคิดอยู่เต็มหัวไปหมด คนหนึ่งเปรียบดั่งเล่าปี่ อีกคนหนึ่งเป็นเหมือนกับขงเบ้ง ในหัวสมองมีแต่ภาพจินตนาการชีวิตในอนาคต 

 

เตรียมถืออาวุธชิ้นใหญ่ออกไปทำให้แม่ทัพในห้องตกใจ ให้อนาคตเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจตามจินตนาการของตัวเอง หลี่เฉิงเฉียนได้เตรียมพร้อมรับคำเชยชมจากทุกคนอยู่แล้ว แล้วยังปรึกษากับอวิ๋นเยี่ยว่าตัวเองควรแสดงออกมาอย่างมั่นใจ หรือว่าควรนอบน้อมถ่อมตน ทั้งสองคนต่างคิดว่าควรที่จะนอบน้อมถ่อมตนดีกว่า 

 

หยิบแผนที่ออกมา หลี่จิ้งเห็นแล้วรู้สึกโมโห หลี่เซี่ยวกงเองก็โมโหเช่นกัน หนิวจิ้นต๋าตาแทบจะลุกเป็นไฟ เฉิงเหย่าจิน โหวจวินจี๋กุมขมับอย่างไม่พอใจ อวี้ฉือกงดึงคอเสื้อของหลี่เฉิงเฉียนกับอวิ๋นเยี่ยมาด่าจนหมดเปลือก 

 

“มีของสิ่งนี้ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรก รู้หรือไม่ว่าข้าแทบจะเครียดจนหัวหงอกเพราะเรื่องลักษณะภูมิประเทศอยู่แล้ว หากอยู่ในกองทัพ ผู้ที่รู้เรื่องแล้วไม่นำมารายงาน อย่าคิดว่าจะหนีพ้นบทลงโทษ ถูกข้าตัดหัวเอาไปเสียบบนไม้ธงไปนานแล้ว” 

 

อวิ๋นเยี่ยเป็นแค่ท่านโหว ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนพวกนี้อยู่แล้ว แต่ว่ารัชทายาทที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกหาเรื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น 

 

“หลี่เฉิงเฉียน ออกรบครั้งนี้เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ข้าลงโทษเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตอนนี้เจ้ายังไม่ทันได้มารายงานตัวกับกองทัพ ก็ทำผิดกฎของกองทัพแล้ว ข้าเห็นเจ้าแล้วคันไม้คันมือ อยากจะเฆี่ยนเจ้าสักสามสิบที หรือกักบริเวณสักสี่วัน เจ้าเด็กน้อย เลือกได้แล้วก็ให้มาบอกข้า ถูกเฆี่ยนครั้งนี้ อำนาจก็ช่วยเจ้าไม่ได้” 

 

เสียงพูดอันเยือกเย็นของหนิวจิ้นต๋าดังมา ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย 

 

“อวิ๋นเยี่ย ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกดีกับข้า แต่รู้หรือไม่ว่าข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเจ้าเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะตอนนี้รัชทายาทซื่อสัตย์ต่อเจ้า เจ้าก็คงไม่ยอมนำแผนที่นี้ให้แก่เขา เพื่อผลประโยชน์เจ้าทำได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือว่าเจ้าเป็นถึงปรมาจารย์แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่า เพราะว่าไม่คุ้นต่อภูมิประเทศ กองทัพทหารของข้าจึงไม่สามารถเข้าโจมตีได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าไม่คุ้นต่อภูมิประเทศถึงได้ตกอยู่ในวงล้อมของเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน และ เกาชาง เจ้าเป็นถึงขุนนางของต้าถัง ไม่รับใช้ชาติอย่างซื่อสัตย์ แต่กลับมีนัยแอบแฝง เจ้ามีนัยแอบแฝงไม่เป็นไร สงสารก็แต่พวกบริวารของเจ้าที่ต้องเผชิญชะตากรรมเพราะความคิดที่คดเคี้ยวของเจ้า ความเมตตาของเจ้าถูกกลืนกินไปหมดแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าหมู่บ้านของเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกเขาไปเป็นหน่วยกล้าตายให้แก่ทหารของข้า ดูสิว่าเจ้าจะเจ็บปวดหรือไม่” 

 

ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย พวกเรามาเพื่อรับคำเชยชม ทำไมถึงกลายเป็นคนใจดำไปเสียได้ นอกจากจะไม่ชมแล้วยังจะลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีและกักบริเวณอีกด้วย 

 

ข้าเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือทั้งวันทั้งคืนเพื่อวาดแผนที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ภรรยาข้าก็พยุงท้องใหญ่ๆ ช่วยเฝ้าประตูให้ข้า โทรศัพท์ใช้มากๆ ก็เปลืองแบตเตอรี่ พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ทั้งบ้านเฝ้าเครื่องชาร์จแบตพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อรอชาร์จแบตเตอรี่ เจ้าคิดว่ามันง่ายนักหรือ เพื่อปกปิดเป็นความลับ เหล่าเจียงแทบจะควักลูกตาสองข้างของตัวเองออกมา เกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าเขาจะล้มเลิกวิธีคิดนี้ เพื่อแผนที่ผืนนั้นแล้วคนในบ้านข้าเลือดตาแทบกระเด็น 

 

อวิ๋นเยี่ยคิดที่จะหาเหตุผลมาหักล้าง แต่เห็นหลี่เฉิงเฉียนที่อยู่ข้างๆ ทำท่าทางอับอายราวกับว่าทำเรื่องราวที่ไม่ดีไว้จริงๆ หน้าตาเตรียมพร้อมที่จะฆ่าตัวตายเพื่อรับโทษอยู่ตลอดเวลา 

 

ประตูถูกเปิดออก อวิ๋นเยี่ยกับหลี่เฉิงเฉียนถูกโยนเข้ามาตามด้วยเสียงปิดประตูดังลั่น หลี่เซี่ยวกงต้องการให้สองคนนี้ทบทวนความผิดของตัวเอง รอว่าราชการทหารเสร็จก่อนค่อยคิดบัญชีกับสองคนนี้ 

 

นอนอยู่กับพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมา ก้นถูกกระแทกจนรู้สึกเจ็บ คาดว่าหลี่เฉิงเฉียนก็เป็นเหมือนกัน อวี้ฉือกงโหดร้ายมาก 

 

ใบไม้ในฤดูหนาวยังร่วงไม่หมด บางครั้งก็ยังเหลือสองใบร่วงลงมา ต้นพลับในบ้านยังเหลืออยู่ไม่กี่ลูกที่ไม่ได้ถูกน่ารื่อมู่เด็ดมากิน พวกมันเริ่มเ**่ยวแล้ว 

 

แบบนี้ไม่ถูกต้อง อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกว่ากำลังถูกหลอก ลูกชายของตัวเองก็พึ่งเกิดได้ไม่กี่วัน ตระกูลอวิ๋นยังไม่ได้ให้ขุนนางชั้นสูงมาร่วมแสดงความยินดีเลย อย่างเช่นฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย พวกเขายังไม่ได้มา เพียงแค่ให้คนส่งของขวัญมาให้ บรรดาผู้อาวุโสของสำนักศึกษาก็มาเยี่ยมเพียงครู่เดียวแล้วก็กลับ ไม่แน่อาจเป็นเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์อวี้ซัน 

 

แต่เหตุใดพวกขุนพลชั้นสูงจึงมาทั้งหมดไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว จะมาก็ไม่เป็นไร ตรงนั้นไม่เหมาะแก่การหารือเรื่องการทหาร ก็ยังจะไปหารือในบ้านของตระกูลอวิ๋น แล้วก็ให้ตัวเองกับรัชทายาทอยู่ด้านนอก มันใช่เรื่องเสียที่ไหน  

 

อวิ๋นเยี่ยพยุงตัวเองขึ้นมามองรัชทายาทที่กำลังสำนึกผิดแล้วถามว่า “เจ้าตั้งใจให้สร้อยไข่มุกพระจันทร์แก่ลูกข้าหรือว่าเป็นการตัดสินใจกะทันหัน ใครเป็นคนให้ความคิดนี้แก่เจ้า” 

 

หลี่เฉิงเฉียนพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ข้าเตรียมหยกที่ดีที่สุดไว้ให้ก่อนแล้ว ข้างบนสลักดอกไม้มงคล ภรรยาข้าเลือกอยู่นานถึงเลือกได้ สร้อยไข่มุกพระจันทร์เป็นทรัพย์สินที่ติดตัวข้าตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่มีราคาเท่าหยก แต่เป็นสิ่งของที่ข้ารัก ต่อให้เจ้าเอาหยกสิบอันมาแลกข้าก็ไม่ยอม พอถึงบ้านเจ้า ท่านลุงหวังถามข้าว่าเตรียมของขวัญอะไรมา ข้าเลยบอกไปว่าเป็นหยกอย่างดี ท่านลุงหวังบอกว่าข้าเป็นคนมีความสามารถ อยากให้ข้าเปลี่ยนของขวัญที่จะให้เป็นสิ่งของที่ข้าเคยใช้ แบบนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราก็จะกระชับมากยิ่งขึ้น เป็นตระกูลที่มีสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน ข้าก็คิดว่าสำหรับความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว หากให้หยกไปจะดูไม่มีค่า จึงให้ไข่มุกพระจันทร์ไป” 

 

เข้าใจแล้ว นี่เป็นกับดัก เมื่อไม่กี่วันมานี้ตัวเองได้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับภูมิประเทศของดินแดนตะวันตกโดยเฉพาะ แล้วยังลงมือวาดแผนที่อย่างง่ายๆ สองแผ่น ให้ลูกศิษย์ดูเข้าใจง่าย ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกศิษย์นำวิชาความรู้กลับบ้านไปปรึกษากับพ่อ ความลับที่ว่าตัวเองรู้ภูมิประเทศของดินแดนตะวันตกจึงรั่วไหล ดังนั้นพวกคนเหล่านี้กลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ให้แผนที่ จึงได้วางกับดักเช่นนี้ ให้อวิ๋นเยี่ยติดกับเอง หลี่เฉิงเฉียนเจ้าเด็กโง่ถูกหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก แถมตอนนี้ยังรู้สึกผิดจนอยากตาย 

 

“ลุกขึ้นมา เราสองคนไปหาเหล้าดื่มกันเถอะ” ลากหลี่เฉิงเฉียนให้ลุกขึ้นมา เห็นหน้าตาอันเศร้าสร้อยของเขา อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้งแล้วพูดว่า 

 

“ไม่ต้องเสียใจไป เราสองคนสู้พวกคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้หรอก ถูกหลอกแล้วยังเสียใจอยู่ตรงนี้ คราวนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าคนเหล่านั้นไม่มีคนดีเลยสักคน” 

 

“ติดกับ? ติดกับอะไร ตอนที่ข้าได้แผนที่มาก็มีความคิดอยากจะซ่อนเอาไว้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผลมันจะน่ากลัวก็แค่นั้น ครั้งนี้แม้ได้รับโทษข้าก็จะไม่ค้านอะไร” 

 

หลี่เฉิงเฉียนยังเป็นเด็กที่มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เสียแรงที่อวิ๋นเยี่ยดูแลมาหลายปี รู้จักเสียใจแทนคนอื่น รู้จักเสียใจที่เห็นพวกทหารต้องตาย แต่ยังไม่รู้จักทำจิตใจให้โหดเ**้ยม 

 

“เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าตอนที่เราเดินเข้าประตูมาพวกเขาไม่ได้มีท่าทางหารือเรื่องการทหารเลย พวกเขากำลังดื่มเหล้า รอให้พวกเรามาติดกับ แผนที่ถูกหลอกเอาไปแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดคือกับดัก พ่อตาของเจ้า ท่านอาเฉิง ท่านอาหนิว ผู้มีจิตใจเมตตาของข้า เป็นหัวโจกกันทั้งนั้น สร้างเรื่องมาหลอกคนโง่อย่างเราสองคน ตอนนี้ความจริงปรากฏ หากพวกเราไม่ดื่มเหล้าคลายทุกข์แล้วจะทำเช่นไรได้อีก” 

 

หลี่เฉิงเฉียนจ้องตาโต เขาก็ไม่ได้โง่ เพียงแค่ครู่เดียวก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมเจ้าจึงบอกว่าข้ายังอ่อนหัดในเรื่องการทำสงคราม เจ้าพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หากข้าต่อกรกับพวกเขา แน่นอนว่าแม้แต่จะตายก็ยังไม่รู้เลยจะตายเช่นไร” 

 

ลากหลี่เฉิงเฉียนออกไปข้างนอก อวิ๋นเยี่ยเดินไปพูดไป “ตอนนี้รู้ถึงความโหดร้ายของคนพวกนั้นแล้วใช่ไหม ถูกหลอกครั้งนี้ ไม่แน่พ่อเจ้าก็อาจจะรู้อยู่แล้ว รอหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ แฃ้งค่อยช่วยเจ้าลงโทษพวกเขาทีหลัง เมื่อถึงค่ายทหารก็จะควบคุมได้ง่ายขึ้น พวกคนเหล่านี้อย่างไรก็ต้องยอมให้ความเคารพ มองดูแล้วหากเจ้าต้องการจะเป็นใหญ่ทั่วสี่ทิศ ข้าอยากจะรังแกคนทั้งฉางอัน อย่างไรเราสองคนก็ต้องร่วมมือกันก่อน เช่นนี้จึงจะลงมือได้สะดวก” 

 

กลับมาที่ห้องหนังสือ หลี่ฉุนเฟิงไม่อยู่แล้ว อาจารย์จอมขี้เมาของเขาก็ไม่อยู่ และแน่นอนว่าหนังสือคณิตศาสตร์เบื้องตนที่อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเขียนก็หายไปด้วยเช่นกัน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นโจรก็ยังจะเชิญเข้าบ้าน ดังนั้นการที่หนังสือถูกขโมยก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว 

 

จัดการเตรียมตัวหลี่เฉิงเฉียนที่โดนพวกกลุ่มคนไม่ดีเล่นงานจนขวัญหนีดีฝ่อให้ดี อวิ๋นเยี่ยหันไปมองลูกชายตัวเอง ดีเลยสองแม่ลูกหลับไปแล้ว ท่านย่ายังคงจมอยู่กับความสุขอันยิ่งใหญ่และไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ มองหลานชายตัวเองแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู วันนี้คงเป็นแบบนี้ทั้งวัน 

 

ที่ต้าถังมีไม่กี่คนที่กินเผ็ดได้ อวิ๋นเยี่ยบอกคนรับใช้ว่าให้แจ้งกับเหล่าอาจารย์ว่าอาหารจานไหนบ้างที่มีพริกน้อยกว่าสองเม็ด แต่รสชาติยังคงต้องสมบูรณ์แบบ ให้พวกเขาหยุดกินไม่ได้ ทำให้พวกเขารู้ว่าอาหารของตระกูลอวิ๋นนั้นอร่อยมากเพียงใด 

 

เอาขาหมูให้หลี่เฉิงเฉียนเพื่อเป็นการปลอบขวัญ ตอนนี้ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยชอบกินอะไร หลี่เฉิงเฉียนก็ไม่พลาดที่จะกินสิ่งนั้นด้วย ถึงแม้ว่าเนื้อหมูจะเป็นเนื้อที่ราคาถูก แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยกินเนื้อแพะแล้ว เขาจะกินแต่เนื้อหมูโดยเฉพาะ เมืองฉางอันก็เป็นเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสูตรอาหารของตระกูลอวิ๋นถูกเผยแพร่ออกไป 

 

ไม่ได้พิถีพิถันอะไร สองคนฉันท์พี่น้องต่อขาหมูหนึ่งจานเป็นขาหน้าทั้งหมด อย่างไรตระกูลอวิ๋นก็เตรียมขาหมูไว้หนึ่งคันรถให้ซินเย่วกินเพื่อขับน้ำนมอยู่แล้ว เตรียมเหล้าหนึ่งไหต่อหนึ่งคน ต่างคนต่างดื่ม เพื่อไม่ให้โศกเศร้า จึงเปลี่ยนความโศกเศร้าและความโมโหเป็นความหิวกระหายแทน 

 

ทั้งสองคนต่างคนต่างไม่พูดอะไร เอาแต่แทะขาหมูอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังเคี้ยวเหยื่อของตัวเอง กินไปกินมา หลี่เฉิงเฉียนก็วางขาหมูที่แทะไปแล้วครึ่งหนึ่งลงบนจาน แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย คนพวกนั้นรับมือยากถึงเพียงนี้ เจ้าว่าพ่อข้าจะควบคุมพวกเขาได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้วข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะต่อกรกับเขาได้” 

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ค่อยไปที่เมืองหลวงฉางอัน” อวิ๋นเยี่ยวางขาหมูลง ยกไหเหล้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วถึงถามหลี่เฉิงเฉียน 

 

“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็แปลกใจอยู่มาก บ้านหลังสวยงามที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกเจ้าปล่อยทิ้งว่างไว้ตลอด เป็นเพราะเหตุใดกัน” 

 

“เป็นเพราะว่าที่เมืองฉางอันมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย ข้ารับไม่ไหวจริงๆ สภาพข้าแบบนี้ หากไม่หลบไปไกลๆ ตอนนี้น่ะหรือ หึๆ คงจะกลายเป็นเถ้ากระดูก หรือไม่ก็ถูกถลกหนังมาขึงกลองไปแล้ว” 

 

พ่อเจ้าเป็นคนที่ข้ากลัว ถ้าต้องเจอกับเขา ข้าก็คงไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แม่เจ้าเป็นคนที่ข้ากลัวที่สุด เมื่อได้อยู่ต่อหน้านางข้ามักจะหาวิธีปฏิเสธคำขอของนางไม่ได้ ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม 

 

สำหรับคนอื่นๆ ข้ายังพอมีวิธีรับมือได้ เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าข้ามักจะหาวิธีแก้แค้นอยู่เสมอ ช่วยไม่ได้ที่ทุกครั้งจะโดนเล่นงานก่อนแล้วถึงค่อยตามไปเอาคืนได้ในภายหลัง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพ่อของเจ้า เขาต่างหากที่เป็นคนที่เก่งที่สุด คนมีความสามารถมักจะเล่นกับนกอินทรีย์ ส่วนคนไร้ความสามารถมักจะเล่นกับนกกระจอก เราสองคนอย่างมากก็เล่นนกฮูก ส่วนพ่อของเจ้าถึงจะเป็นคนที่เล่นกับเสือ การไม่เชื่อฟังเขาไม่มีผลดีต่อพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว