รุ่งเช้าวันถัดมา หลังจากตื่นนอน ตงหลิงหวงก็คว้าเสื้อผ้าที่กองอยู่ข้างกายมาสวมใส่
ภาพตรงหน้ายังคงดำมืด ท่ามกลางความมืดมิด เสียงแผ่วเบาของบุรุษดังขึ้น ปฏิกิริยาแรกของตงหลิงหวงคือสกัดจุดของเขา ก่อนจะรีบสวมเสื้อผ้าและลุกขึ้นยืน
“หวงเอ๋อร์… ” มู่หรงฉีที่อยู่ด้านหลังรีบเอ่ยเรียก
ตงหลิงหวงหยุดชะงัก สายตาของนางปรากฏความหนักแน่น
“ท่านอ๋อง เมื่อคืนไม่มีอันใดเกิดขึ้น ข้าไม่เคยมาที่จวนฉีอ๋อง ต่อไป ท่านและข้า… เลิกราต่อกัน ไม่พบกันอีกเลยจะดีที่สุด”
พูดจบ ตงหลิงหวงก็ก้าวขาเดินออกจากห้องลับไปอย่างแน่วแน่
“ตงหลิงหวง… ตงหลิงหวง… ”
มู่หรงฉีเรียกชื่อของตงหลิงหวงอย่างร้อนรน ทว่าคนผู้นั้นไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ตงหลิงหวงออกจากห้องลับมาก็พบหลิงเซียวจวิ้นจู่ที่นอนหมดสติทั้งคืนกำลังคลานออกมาจากใต้เตียง
“เจ้า… ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ชี้นิ้วไปยังตงหลิงหวงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ทั้งยังมองตงหลิงหวงตั้งแต่หัวจรดเท้า
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่หลิงเซียวจวิ้นจู่จะตอบสนอง ตงหลิงหวงก็ผลักนางให้พ้นทางและเดินออกจากประตูไป เพียงชั่วพริบตาก็ไร้เงาของตงหลิงหวงแล้ว
หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่เพิ่งได้สติรีบวิ่งเข้าไปยังห้องลับ ไม่นานนัก ภายในห้องก็เกิดเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของหลิงเซียวจวิ้นจู่
เสียงนั้นแหลมสูงจนดังไปทั่วจวนฉีอ๋อง
หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดเรื่องทั้งหมดจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้?
ครั้งนี้ นางคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
เมื่อองครักษ์และองครักษ์เงาที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียง พวกเขาคิดว่ามีคนบุกรุกเข้าไปในห้องของมู่หรงฉี จึงรีบพุ่งตัวเข้าไป แต่กลับเห็นมู่หรงฉีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยกำลังเดินออกมาจากห้องลับ
แม้เสื้อผ้าบนร่างของเขาจะดูเรียบร้อย ทว่าผมเผ้ากลับยุ่งเหยิง บนใบหน้าและลำคอเต็มไปด้วยรอยนิ้วมือของสตรี
ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมเพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ละคนต่างเงยหน้ามองไปยังทิศทางของห้องลับ กระตือรือร้นต้องการเห็นบางอย่าง
เดิมที ใช่ว่ามีผู้อื่นทำอันใดท่านอ๋อง ท่านอ๋องต่างหากที่ทำอันใดผู้อื่น
โธ่! เหตุใดจึงมองไม่เห็นอันใดเลย!
เสียงเมื่อครู่ ดูเหมือนจะเป็นเสียงของหลิงเซียวจวิ้นจู่
ขณะที่ใบหน้าขององครักษ์และองครักษ์เงาเต็มไปด้วยความสงสัย ใบหน้าของมู่หรงฉีพลันถมึงทึง เขาลูบรอยบนใบหน้าและลำคอ พลางเอ่ยเสียงเข้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ยังไม่ไล่ตามไปอีก! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ” องครักษ์และองครักษ์เงาขานรับพร้อมกัน ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ทว่าพวกเขาออกตัวได้เพียงสองก้าวก็หันกลับมาถามว่า “ท่านอ๋อง ไล่ตามผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด มู่หรงฉีที่อ่อนโยนมาโดยตลอด จู่ๆ อารมณ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวเช่นนี้ เขาชักสีหน้าใส่เหล่าองครักษ์ และเดินออกจากประตูไปโดยที่ยังไม่ได้จัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ
มู่หรงฉีเดินไปพลางสั่งให้คนไปเตรียมม้าด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มู่หรงฉีไล่ตามตงหลิงหวงด้วยตนเอง ทว่าตอนที่เขามาถึงศาลาพักม้า กลับไม่พบแม้แต่เงาของตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงไม่แม้แต่จะกล่าวลามู่หรงอวิ๋นไห่ หลังจากออกมาจากจวนฉีอ๋อง นางก็พาคนกลับแคว้นตงเฉินทันที
“น่ารังเกียจ! ”
มู่หรงฉีสบถเสียงต่ำ ก่อนจะพาคนออกจากเมืองเย่หลินไปยังทางเหนือ มุ่งสู่ชายแดนแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลี
หลังจากไล่ตามทั้งวันทั้งคืน เช้าวันถัดมา ในที่สุด มู่หรงฉีก็มาถึงชายแดนแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลี เขาไล่ตามตงหลิงหวงจนทัน
ทว่าน่าเสียดาย ตงหลิงหวงพาคนข้ามชายแดนระหว่างสองแคว้นไปแล้ว นางเข้าไปในแคว้นตงเฉินเรียบร้อย
ดวงตาของมู่หรงฉีมืดมนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากัดฟันแน่นและพูดว่า “สตรีเมื่อเสร็จกิจก็คิดหนี ไม่ผิดศีลธรรมไปหน่อยหรือ? ”
ตงหลิงหวงนั่งอยู่บนหลังม้า ท่วงท่างดงามหล่อเหล่ายิ่งกว่าบุรุษ นางเงยหน้าอย่างท้าทาย “อันใดคือผิดศีลธรรม? น่าขันเสียจริง ข้าโปรดปรานบุรุษที่ข้าชอบพอเท่านั้น ยังต้องคำนึงถึงศีลธรรมอันใดอีก? ”
มู่หรงฉีกำบังเหียนในมือแน่น ดวงตาของเขาถมึงทึงเล็กน้อย
เขาเป็นถึงฉีอ๋องผู้มีเกียรติแห่งแคว้นหนานหลี ทว่ากลับกลายเป็นบุรุษที่นางโปรดปราน
จริงๆ เลย… ไม่มีสตรีใดที่หยิ่งยโสไปกว่านางอีกแล้ว
องครักษ์และกลุ่มผู้ติดตามฟังบทสนทนาของนายท่านทั้งสองที่ถูกแบ่งกั้นด้วยเส้นแบ่งพรหมแดนด้วยสีหน้างุนงง
เมื่อคืน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“หวงเอ๋อร์ กลับไปกับข้า! ” มู่หรงฉีเอ่ยเสียงดัง
ตงหลิงหวงมีท่าทีไม่ยอมแพ้ “ฉีอ๋องอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ระหว่างเรา… หาได้คุ้นเคยกัน! ”
กินเสร็จแล้ว ยังไม่คุ้นเคยกันอีกหรือ?
กล้ามเนื้อมุมปากของมู่หรงฉีกระตุกอย่างแรง
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฉีหวดแซ้ม้าและมุ่งหน้าเข้าไปยังเขตแดนระหว่างสองแคว้นอย่างเชื่องช้า
ทันทีที่กีบเท้าม้าของมู่หรงฉีก้าวเข้าสู่เขตแดนระหว่างสองแคว้น ลูกธนูก็ถูกยิงไปที่ข้างเท้าม้าดัง ‘เฟี้ยว’
ม้าที่มู่หรงฉีนั่งอยู่พลันตกใจ มันยกขาหน้าทั้งสองขึ้น พลางร้องเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก
ความโกรธวาบผ่านดวงตาของมู่หรงฉี เขาจ้องตงหลิงหวงโดยไม่ละสายตา
ตงหลิงหวงวางคันธนูและลูกธนูในมือลง พลางเงยหน้ามองมู่หรงฉีอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะตะโกนออกคำสั่งองครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง
“ทุกคนฟังคำสั่ง หากกองทัพของศัตรูกล้าเหยียบย่างเข้ามาในดินแดนแคว้นตงเฉินของพวกเราแม้แต่ก้าวเดียว ยิงให้ตาย! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
พลธนูตอบรับอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาถือคันธนูพร้อมรบ และยืนเรียงแถวตรงอยู่เบื้องหน้าตงหลิงหวง
“ดี! ดีมาก! ”
มู่หรงฉีกัดฟันแน่น
“ทุกคนฟังคำสั่ง หากผู้ใดสามารถจับตัวรัชทายาทตงหลิงได้ ข้ามีรางวัลมอบให้หนี่งหมื่นตำลึง ทั้งยังแต่งตั้งเป็นพี่น้อง มอบศักดินาให้หมื่นครัวเรือน! ”
สำหรับเหล่าทหารแล้ว นับเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการแต่งตั้งเป็นพี่น้องกับฉีอ๋องนั้น มีค่ามากกว่าเงินรางวัลหมื่นตำลึงและศักดินาหมื่นครัวเรือนเสียอีก
เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังมู่หรงฉี แต่ละคนใบหน้าแดงซ่าน พวกเขาส่งเสียงตอบรับ พลางยกอาวุธที่ส่องประกายระยิบระยับในมือขึ้นมา และเดินไปยังเส้นเขตแดนทีละก้าว
‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว! ’
ทันทีที่พวกเขาเหยียบแนวชายแดน ลูกธนูปลายแหลมก็พุ่งเข้ามาดังห่าฝน
ท้ายที่สุด ดาบก็ไม่อาจต้านทานลูกธนูได้ แม้ชื่อเสียงและผลประโยชน์จะสำคัญ ทว่าต้องมีชีวิตเพื่อเสวยสุขด้วย เหล่าทหารของมู่หรงฉีต่างถอยกรูกลับมา
มู่หรงฉีมองไปยังเศษซากธนูและซากศพบนพื้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันแน่น
ไม่คิดว่าตงหลิงหวงจะให้คนยิงธนูจริงๆ
สตรีนางนี้ ช่าง… โหดเหี้ยมยิ่งนัก!
เขากัดฟันแน่น ทว่าใบหน้างดงามของตงหลิงหวงกลับเต็มไปด้วยความทะนงตนและความภาคภูมิใจ
ในฐานะบุรุษ จะพ่ายแพ้แก่สตรีได้อย่างไร? แม้อีกฝ่ายจะกลายเป็นสตรีของเขาแล้วก็ตาม ทว่าเขาไม่อาจละเว้น!
มู่หรงฉีสั่งให้ผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น เสียงกีบเท้าม้าก็ดังมาแต่ไกล ไม่นานนัก ฝุ่นก็ตลบอบอวลไปทั่วท้องฟ้า กำลังเสริมของตงหลิงหวงมาถึงแล้ว
บนพรมแดนระหว่างสองแคว้น หากสังหารผู้บุกรุก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นท่านอ๋อง ก็ไม่มีทางใจอ่อนเป็นแน่
องครักษ์ที่มู่หรงฉีนำทัพมา มีท่าทีเปลี่ยนไปในทันที “ท่านอ๋อง อีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่า พวกเรามีโอกาสชนะไม่มาก เช่นนั้น… ถอยทัพก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
หางคิ้วของมู่หรงฉีกระตุกอย่างแรง เขาขบกรามพลางมองตงหลิงหวงที่อยู่ห่างออกไป “แม่นาง ช้าเร็วข้าจะมาจับตัวเจ้ากลับไป! ”
พูดจบ มู่หรงฉีก็ตะโกนออกคำสั่ง “ถอย! ”
ตงหลิงหวงมองร่างของมู่หรงฉีที่ค่อยๆ จากไป แววตาพลันเผยให้เห็นความซับซ้อน จากนั้นจึงหันหลังกลับและพาเหล่าทหารจากไป
หลิงเซียวจวิ้นจู่คิดใช้ยากล่อมประสาทและยาปลุกกำหนัดกับมู่หรงฉี เพื่อเติมเต็มความต้องการของนางกับมู่หรงฉี
กลับไม่คิดว่าโชคชะตาจะพลิกผัน เป็นมู่หรงฉีกับตงหลิงหวงที่ถูกวางยา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องลับ หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็แทบเสียสติ นางวิ่งพรวดพราดออกมาจากห้องบรรทมของมู่หรงฉี และวิ่งออกไปจากจวนฉีอ๋อง
องครักษ์และองครักษ์เงาที่เฝ้าจวนคิดว่าเกิดเรื่องกับมู่หรงฉี พวกเขาจึงพุ่งตัวไปยังห้องบรรทมของมู่หรงฉีโดยไม่สนใจหลิงเซียวจวิ้นจู่
หลังจากหลิงเซียวจวิ้นจู่วิ่งออกมาจากจวนฉีอ๋อง นางก็ได้พบกับบุคคลที่น่ากลัวที่สุด
เป็นผู้ใดกัน?