ยุนเองก็ไม่ง่ายเช่นกัน ยอนผู้กลายเป็นสาเหตุของการทะเลาะถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อมองดูทั้งสองคน
“หากมาในฐานะแขกก็ควรจะมีมารยาทหน่อย”
“ข้าไม่ใช่แขกธรรมดา แต่เป็นถึงแขกบ้านแขกเมือง ท่านนั่นแหละควรจะมีมารยาทต่อข้าไม่ใช่หรือ”
“จะให้มีมารยาทกับแขกบ้านแขกเมืองที่ไม่รู้จักมารยาทน่ะหรือ”
“เจ้า!”
“ตายแล้ว ฝ่าบาท! โปรดทรงสงบสติอารมณ์ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีผู้ดูแลหน้าซีดและพุ่งเข้ามาทันทีเมื่อเห็นยุนยกหมัดขึ้น ทว่าขณะนั้นกลับเกิดเสียงดังปั่ก! ยอนเตะหน้าแข้งของยุนเข้าจังๆ หลังผลักชินออก
“โอ๊ย!”
“ตายจริง องค์หญิง!”
ซังกุงย่ำเท้าไปมาด้วยสีหน้าคล้ายจะเป็นลม แต่พี่น้องคู่นี้หาได้มีความกลัวไม่ เพราะพวกเขาคือองค์ชายใหญ่และองค์หญิงแห่งแทซากุกซึ่งไม่มีอาณาจักรใดล้มล้างได้ รวมถึงยังเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของพระราชาและพระมเหสีอีกด้วย
“นี่ เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าเหวี่ยงหมัดใส่ชิน ฟังให้ดีนะ คนตีท่านพี่ได้มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น เข้าใจหรือไม่”
ยอนตะโกนใส่คนกุมหน้าแข้งด้วยสีหน้าบึ้งตึง เนื่องจากเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ยุนจึงไม่สามารถตั้งสติได้ เจ็บหน้าแข็งก็เจ็บ แต่ศักดิ์ศรีที่โดยทำลายป่นปี้นั้นยิ่งกว่า เขาเป็นถึงราชโอรสเพียงพระองค์เดียวของฮเยกุก ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่สามารถเทียบเท่ากับแทซากุกได้ แต่กลับถูกองค์หญิงที่ตัวเล็กกว่าเตะเนี่ยนะ แต่ท้ายที่สุดก็เรียกสติคืนมาได้ ทว่าสองพี่น้องก็จับมือกันเดินออกไปไกลเกินกว่าสิบก้าวแล้ว
“นี่! พวกเจ้าจะไปไหน องค์หญิง!”
หึ ยอนหัวเราะเยาะ ส่วนชินก็หันกลับไปมองข้างหลังและแลบลิ้นใส่ ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่ ยุนขบฟันด้วยความโกรธเกรี้ยวและมองรอบๆ ด้วยสายตาดุดันกว่าปกติ
ซวยแล้ว เหล่าข้าราชบริพารต่างพร้อมใจโค้งคำนับลงไปอีกเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาขององค์รัชทายาท
“ที่เห็นและได้ยินเมื่อสักครู่ อย่าได้แพร่งพรายออกจากปากเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ทุกคนตะโกนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน แต่ยุนก็ยังไม่ไว้วางใจและย้ำเหมือนเดิมอีกหลายรอบ หากข่าวลือที่โดนเด็กสาวเตะแพร่กระจายออกไปล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องน่าอายเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามวันถัดมาขันทีของวังจานยองก็มาหาและโค้งถวายการคำนับหลังจากเสวยสำรับเช้าเสร็จ
“องค์รัชทายาท พระมเหสีทรงเรียกหาพ่ะย่ะค่ะ”
ลางสังหรณ์ไม่ดีแวบผ่านเข้าหัว ซึ่งมักจะแม่นยำเสมอ ยุนเดินตามขันทีเข้ามาที่วังจานยอง เขาพยายามอย่างมากเพื่อควบคุมสีหน้าบูดบึ้งหลังจากเผชิญหน้ากับพี่น้องคู่นั้นอีกครั้ง
“ปิดประตูแล้วถอยออกไปให้หมด ผู้ที่มาจากฮเยกุกเองก็ถอยออกด้วย”
“แต่ว่าพระมเหสี…”
“เร็วสิ หากมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ ข้าจะรับผิดชอบเอง”
สีหน้าของรยูฮาไร้ความอ่อนโยนเหมือนยามเจอครั้งแรกเมื่อวาน เพราะอย่างนี้เสด็จพ่อถึงบอกให้ระวังความอารมณ์ร้อนของพระมเหสีสินะ ยุเริ่มรู้สึกประหม่าโดยไม่รู้ตัวพลางใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก
“อียอน ไหนลองบอกมาสิว่าทำไมเจ้าถึงเตะองค์รัชทายาทแห่งฮเยกุก”
รยูฮาเล็งลูกสาวตนก่อนเป็นคนแรก ยอนได้เตรียมการแก้ต่างให้ตนเองมาแล้วจึงทำสีหน้าน่าเห็นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากได้เห็นเช่นนั้น ยุนก็รู้สึกประหลาดใจจนต้องแสร้งยิ้ม คนอารมณ์ร้อนที่เอาแต่คอยขัดทุกคำพูด และทำแม้กระทั่งเตะหน้าแข้งคนนั้นถูกแอบซ่อนไว้ที่ใดกัน
“องค์รัชทายาทจะชกชินก่อนหนิเพคะ เสด็จแม่ทรงบอกให้หม่อมฉันปกป้องท่านพี่เสมอไม่ใช่หรือ”
“ใช่ นั่นก็ถูกต้อง”
จบแค่นี้หรือ นี่ข้าถูกเตะนะ จากนั้นน้ำเสียงเข้มงวดก็ลอยมาหายุน
“ยูยุน”
ยูยุน ชื่อที่ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกตามอำเภอใจ ข้าได้ยินผิดไปหรือเปล่า
“ทรง ทรงเรียกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หลังทำตัวก้าวร้าวไม่สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว ยังหวังจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์อยู่อีกหรือ ไหนลองบอกมาสิว่าเหตุใดถึงจะชกชิน”
ตอนนี้ยุนรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในถ้ำเสือด้วยตัวเอง หากเป็นฮเยกุก เมื่อทำหน้าที่ที่ได้รับในฐานะองค์รัชทายาทเสร็จเรียบร้อยแล้วจะทำอะไรก็ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว แต่บรรยากาศที่นี่ต่างกับฮเยกุกโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมเหสีแห่งแทซากุกตรงหน้าเขาตอนนี้ นางน่ากลัวยิ่งกว่าเสด็จพ่อซึ่งเป็นผู้เดียวที่เขายอมเชื่อฟังเสียอีก
“สองคนนั้นหาเรื่องกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ และอ้างอีกว่าแขกควรต้องรักษามารยาท”
“อีชิน ทำไมถึงพูดจาเช่นนั้นออกมา”
“องค์รัชทายาทพูดจาพล่อยๆ ก่อนพ่ะย่ะค่ะ ยอนบอกว่าจะพาชมวัง แต่เขากลับพูดว่า อา น่ารำคาญจริงเชียว”
รยูฮาทอดสายตามองเด็กสามคนตรงหน้าแล้วครุ่นคิดสักพัก แปดขวบ เก้าขวบ ถ้าดูจากอายุแล้วก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น แต่ในเมื่อเป็นถึงเชื้อพระวงศ์จึงไม่มีการยกเว้นโทษ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จากความเป็นเด็กก็ตาม
อำนาจยิ่งใหญ่ตามมาด้วยความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง นั่นคือคำกล่าวที่รยูฮาได้ยินจากพ่อจนติดหูตั้งแต่ก่อนจะรู้เรื่องรู้ราว ซึ่งมันถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าทั้งสามรู้ใช่หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป”
น้ำเสียงของรยูฮาแผ่วเบาแต่เฉียบขาด ศีรษะของเด็กๆ ที่เคยยืนยันว่าตัวเองทำถูกจึงหดลงราวกับเต่า
“ยูยุน เจ้าดูหมิ่นองค์หญิง อีชิน เจ้าเองก็ทำเช่นนั้นกับองค์รัชทายาทของประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน ส่วนอียอน ความผิดของเจ้าร้ายแรงที่สุด เตะองค์รัชทายาทของประเทศเพื่อนบ้านเนี่ยนะ ไม่รู้หรือไรว่าหากผิดพลาด อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ จนนำไปสู่สาเหตุของสงคราม! พวกเจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าเป็นราชวงศ์ผู้ปกป้องราษฎรได้อยู่อีกหรือ!”
ไหล่เล็กๆ สะดุ้งโหยงทุกครั้งที่ชื่อตัวเองถูกเรียก รยูฮาหยุดพูดสักพักก่อนจะตัดสินโทษด้วยน้ำเสียงสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการสอนหนังสือ เพราะสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเจ้าไม่ใช่หนังสือ นับแต่นี้ข้าจะให้อาจารย์ทั้งสามท่านกลับและส่งให้พวกเจ้าไปยังถิ่นทุรกันดารแทน แล้วจงรู้ไว้ด้วยว่าข้าจะส่งพวกเจ้าไปโดยไม่ให้ข้าราชบริพารคอยดูแลรับใช้ติดตามแม้แต่คนเดียว”
“เสด็จแม่!”
“พระมเหสี!”
ทุรกันดารงั้นหรือ แถมยังไม่มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ด้วย เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากของเด็กน้อยทั้งสามโดยพร้อมเพรียงกันหลังจากได้ยินบทลงโทษน่าสะเทือนใจ แต่รยูฮาไม่สนใจและลุกขึ้นเปิดประตูออกกว้างพร้อมกับตะโกนเรียกข้างนอกเสียงดัง
“ไปตามขันทีของฮเยกุกมา!”
* * *
“นี่มันอะไรกัน โอ๊ย”
ยุนทำหน้าบูดบึ้งและพร่ำบ่นในขณะเดินขึ้นเขา ข้างหน้ามีคู่พี่น้องเดินจับมือกันอยู่อย่างขยันขันแข็ง ทุรกันดารที่ว่าคือกระท่อมในภูเขาหลังพระราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ฮอนกับรยูฮามักจะใช้เวลาออกจากวังมาล่าสัตว์เป็นประจำ สำหรับผู้ใหญ่แล้วมันมีระยะทางประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆ แต่สำหรับเด็กทั้งสามมันเกินกว่านั้น และยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่เมื่อต้องสะพายเสบียงที่ได้รับแจกจ่ายบนหลัง
“องค์ชาย เอาแผนที่มาดูหน่อย ทางนี้ถูกหรือไม่”
ยุนบ่นพึมพำพลางเตะกิ่งไม้เล็กๆ เขาเป็นทั้งราชโอรสเพียงคนเดียวของฮเยกุกและองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง สาเหตุที่ทำให้ร่างกายอันล้ำค่านี้ต้องมาลำบากลำบนก็เพราะคู่พี่น้องเฮงซวยนั่น จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องพูดจาสุภาพด้วย
“ข้าชื่อชิน ไม่ใช่องค์ชาย ทางนี้ถูกแล้วตามมาเถอะน่า”
“ปกติเจ้าน่ารำคาญแบบนี้อยู่แล้วหรือ เหมือนเด็กสาวไม่มีผิด”
“หลังจากโดนเด็กสาวเตะก็พูดมากจังนะ”
“แล้วคนซ่อนอยู่ข้างหลังเด็กสาวผู้นั้นคือใครกันล่ะ”
“ทั้งสองคนส่งเสียงหนวกหูมากเลย อารมณ์ของเด็กสาวอย่างข้าเริ่มจะไม่ดีแล้ว ดังนั้นช่วยเงียบปากหน่อย”
เมื่อยอนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดสักคำตักเตือนเสียงดัง ชินจึงปิดปากสนิท แต่ยุนก็ยังคงบ่นอะไรก็ไม่รู้ต่อไป แต่เพราะเป็นเสียงเบาๆ จนไม่ค่อยได้ยินนัก นางจึงไม่สนใจ
หลังจากเดินมานาน ในที่สุดเด็กทั้งสามก็มาถึงกระท่อมที่มีครัวเล็กๆ กับห้องนอนสองห้อง มุงหลังคาด้วยไม้ ตั้งอยู่อย่างเวิ้งว้างไร้ประตูรั้วและกำแพง มันคือสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดเล็กและซอมซ่อที่สุดเท่าที่เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา
“ให้นอนที่นี่เนี่ยนะ”