บทที่ 428.3 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บุรุษไม่ได้ตบหน้าตัวเองเพื่อให้ดูเป็นคนอ้วน เขาถอนสายตากลับมาจากกระบี่โบราณเล่มนั้นแล้วเริ่มหันไปมองของล้ำค่าชิ้นอื่นๆ สุดท้ายก็มายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าภาพสตรีงดงามที่แขวนไว้บนผนัง สตรีที่อยู่ในภาพวาดนั่งหันข้าง ปิดหน้าร่ำไห้ หากเงี่ยหูตั้งใจฟังจะยังได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาดังออกมาจากภาพวาดด้วย

เถ้าแก่เฒ่าร้องโอ้โหขึ้นมาหนึ่งที “นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับคนที่ดูของออก ของสองชิ้นที่เจ้ามองนานที่สุดนับตั้งแต่เข้ามาในร้านของข้าล้วนเป็นของที่ดีที่สุดในร้าน เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลวเลย ในกระเป๋าไม่มีเงิน แต่สายตากลับไม่เลว ทำไม เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเกิดเป็นเศรษฐีร่ำรวย แต่ภายหลังตระกูลตกอับก็เลยออกมาท่องยุทธภพเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ? สะพายกระบี่ที่มีค่าแค่ไม่กี่แดง ห้อยกาเหล้าเก่าๆ ใบหนึ่งก็คิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธพเนจรแล้ว?”

บุรุษยังคงมองประเมินภาพวาดที่มหัศจรรย์นั้น เมื่อก่อนเคยได้ยินคนเล่าว่า บนโลกมีอักษรภาพของอดีตราชวงศ์ที่ล่มสลายอยู่มากมาย ซึ่งหากโชควาสนานำพา ตัวอักษรจะบ่มเพาะให้เกิดอารมณ์เศร้าสร้อยและโกรธขึ้ง และบุคคลบางส่วนในภาพวาดก็จะกลายมามีจิตวิญญาณ แสดงความโศกเศร้าเสียใจอยู่ในภาพวาดเพียงลำพัง

บุรุษหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธพเนจรไม่ได้ดูกันที่ว่ามีเงินมากหรือน้อยสักหน่อย”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คำพูดที่เหมือนผายลมแบบนี้ มีเพียงพวกคนทึ่มที่ท่องยุทธภพได้แค่สองสามปีเท่านั้นแหละที่จะพูด ข้าดูแล้วเจ้าก็อายุไม่ใช่น้อยๆ คาดว่ายุทธภพทั้งหลายที่ผ่านมาก็คงเสียเปล่าซะแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นก็แค่ไปท่องขอบบ่อน้ำมาแล้วคิดไปเองว่าเป็นแม่น้ำทะเลสาบที่แท้จริง”

บุรุษยังคงไม่โกรธ เขาชี้ไปที่ภาพแขวน ถามว่า “ภาพหญิงสาวผู้นี้ราคาเท่าไหร่?”

ผู้เฒ่าโบกมือ “ไอ้หนุ่ม อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยดีกว่า”

บุรุษยิ้มกล่าว “หากข้าซื้อไหว เถ้าแก่จะว่าอย่างไร มอบของเล็กๆ ที่ไม่มีราคาค่างวดให้ข้าเป็นของขวัญสักชิ้นสองชิ้น ดีไหมล่ะ?”

ผู้เฒ่าที่ต้องอยู่เฝ้าร้านซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษปีแล้วปีเล่าจนกลายเป็นความเบื่อหน่ายพลันนึกสนุก ชี้ไปยังชั้นวางสมบัติชั้นหนึ่งที่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ เลิกคิ้วพูดว่า “ได้สิ เห็นหรือไม่ ขอแค่เจ้าควักเงินเทพเซียนมาจ่ายได้ ของบนชั้นวางนั้นเจ้าเลือกไปได้เลยสามชิ้น ถึงเวลานั้นหากข้าขมวดคิ้วสักครั้งจะยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่ตามเจ้าเลย!”

บุรุษพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เถ้าแก่วัยชราลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “ประวัติความเป็นมาของภาพสตรีภาพนี้คงไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็มองข้อดีของมันออก สามเหรียญเงินร้อนน้อย หากจ่ายไหว เจ้าก็เอาไปเลย จ่ายไม่ไหวก็รีบไสหัวไปซะ”

บุรุษหันหน้าไปมองภาพแขวนบนผนังแวบหนึ่ง แล้วจึงหันหน้ากลับมามองเถ้าแก่ชราอีกครั้ง ถามว่าต่อรองราคาไม่ได้แล้วใช่ไหม เถ้าแก่ผู้เฒ่าพยักหน้ารับพลางหัวเราะหยัน บุรุษคนนั้นหันหน้าไปมองภาพวาดสตรีอีกครั้ง แล้วค่อยหันมามองร้านที่ตอนนี้โล่งว่างไม่มีลูกค้าสักคน และยังมองไปทางประตูใหญ่บานนั้น ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะคิดเงิน พลิกหมุนข้อมือ ตบเงินเทพเซียนสามเหรียญลงบนโต๊ะ ใช้ฝ่ามือปิดทับ ดันไปทางเถ้าแก่ร้าน เถ้าแก่วัยชราก็ชำเลืองมองไปทางประตูร้านเหมือนกัน วินาทีที่บุรุษยกมือขึ้น ผู้เฒ่าก็ใช้ฝ่ามือปิดทับเงิน รวบมาไว้ข้างกายตัวเอง แง้มฝ่ามือออกดู เมื่อแน่ใจว่าเป็นเงินร้อนน้อยสามเหรียญจริงๆ ก็กำไว้ในฝ่ามือ สอดเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ เงยหน้ายิ้มกล่าว “ครั้งนี้เป็นข้าที่มองพลาดไปเอง เจ้าหนุ่ม เจ้าใช้ได้เลยนี่นา พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ขนาดข้าที่ฝึกฝนตัวเองจนเหมือนมีเนตรทิพย์ก็ยังมองผิดไป”

บุรุษยิ้มอย่างระอาใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเลือกของที่ชอบสามชิ้นมาจากชั้นวางนั่นแล้วนะ”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไปเถอะ ทำการค้า ความซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ยังต้องมีอยู่บ้าง ข้าจะช่วยเก็บภาพวาดสตรีนี้ใส่กล่องให้เจ้า วางใจเถอะ ลำพังเพียงแค่กล่องผ้าแพรก็มีมูลค่าสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว ไม่มีทางเหยียบย่ำภาพเหมือนที่ล้ำค่าชิ้นนี้แน่นอน”

บุรุษไล่สายตาไปบนชั้นวางสมบัติหน้าประตู ส่วนเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ปลดเอาภาพเหมือนลงมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่บรรจุมันลงในกล่องผ้าแพรล้ำค่าก็คอยใช้หางตาลอบมองบุรุษผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา

มารดามันเถอะ หากรู้แต่แรกว่าไอ้หมอนี่กระเป๋าเงินตุงแน่น ใช้เงินมือเติบขนาดนี้ เขาจะกล้ารับปากยกของรางวัลอะไรให้ได้ยังไง? อีกทั้งยังยกให้ทีเดียวตั้งสามชิ้นรวด เวลานี้เขาเสียดายจะแย่แล้ว

พอบุรุษคนนั้นเลือกของมาสองชิ้น เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็พอจะโล่งใจได้บ้าง ขาดทุนไม่มาก แต่พอไอ้หมอนั่นเลือกของชิ้นสุดท้ายที่เป็นตราประทับหยกหมึกซึ่งยังไม่มีใครแกะสลักลงไป หนังตาของเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็กระตุกเบาๆ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ไอ้หนู เจ้าชื่อแซ่อะไร?”

เดิมทีบุรุษยังลังเลอยู่บ้าง แต่พอเถ้าแก่ผู้เฒ่าถามเช่นนั้น เขาก็หยิบมันมาไว้ในมืออย่างตัดสินใจเด็ดขาด หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “แซ่เฉิน”

เถ้าแก่วัยชรากล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าจะใช้แซ่เฉินตามเจ้า เจ้าวางตราประทับนั่นกลับไปได้ไหม?”

บุรุษส่ายหน้ายิ้มๆ “ทำมาค้าขาย ต้องมีความซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าพูดเสียงขุ่น “ข้าว่าเจ้าอย่ามัวเป็นจอมยุทธพเนจรผายลมสุนัขอะไรนี่อยู่เลย มาเป็นพ่อค้าเถอะ ผ่านไปไม่กี่ปี เจ้าต้องร่ำรวยมีเงินมีทองเยอะแน่”

แม้ปากของผู้เฒ่าจะเอ่ยเช่นนี้ แต่อันที่จริงเขาเองก็ได้กำไรไปไม่น้อย จึงอารมณ์ดีมาก รินชาถ้วยหนึ่งให้ลูกค้าแซ่เฉินอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน

คนผู้นั้นก็ไม่ได้คิดจะจากไปทันที ด้านหนึ่งคิดว่าควรจะซื้อเลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้นไปดีหรือไม่ อีกด้านหนึ่งก็อยากได้ยินเรื่องราวของทะเลสาบเจี่ยนซูที่เจาะลึกมากขึ้นจากปากของผู้เฒ่า เขาจึงดื่มชาพลางพูดคุยกับอีกฝ่ายไปด้วย

บุรุษจึงได้รู้เรื่องวงในมากมายที่ไม่เคยได้ยินจากสารถีเฒ่ามาก่อน

ทะเลสาบเจี่ยนซูคือดินแดนสุขาวดีนอกโลกของผู้ฝึกตนอิสระ คนฉลาดจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข แต่คนโง่จะมีสภาพอเนจอนาถมากเป็นพิเศษ อยู่ที่นี่ผู้ฝึกตนไม่มีการแบ่งแยกดีเลว มีเพียงตบะสูงหรือต่ำที่นำมาแยกแยะความตื้นลึกหนาบาง

ธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ร้านค้าตั้งเรียงราย เต็มไปด้วยความพิเศษมหัศจรรย์

ไปอยู่ที่อื่นแล้วอับจนหนทางหรือตกระกำลำบาก แต่พอมาอยู่ที่นี่มักจะหาที่พักพิงกายได้ แน่นอนว่าไม่ต้องวาดหวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขสบายอุรา แต่ขอแค่ในมือมีหัวหมู เจอศาลถูก ชีวิตหลังจากนี้ก็จะไม่ยากลำบาก ส่วนจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของใครของมัน พึ่งพาภูเขาลูกใหญ่ ช่วยออกแรงออกเงินก็เป็นทางออกเส้นหนึ่งเหมือนกัน ในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบเจี่ยนซู ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้กล้าที่ต้องแบกรับความอัปยศมานานหลายปี แต่สุดท้ายกลับลุกผงาดกลายเป็นผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่งสักหน่อย

นอกประตูร้าน กาลเวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ

ในร้าน ผู้เฒ่าพูดคุยอย่างอารมณ์ดี

เคยมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งร่วมมือกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านหนึ่ง อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเมื่ออยู่ในแจกันสมบัติทวีปตัวเองจะเดินอาดๆ หรือทำตัวกร่างแค่ไหนก็ได้ พวกเขาจึงจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของทะเลสาบเจี่ยนซู แจกจ่ายเทียบเชิญไปให้กับเหล่าผู้กล้าทั้งหลาย เชื้อเชิญให้เซียนดินและผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรทั้งหมดของทะเลสาบเจี่ยนซูมาร่วมงาน ป่าวประกาศว่าจะยุติสถานการณ์วุ่นวายดั่งฝูงมังกรไร้หัวของทะเลสาบเจี่ยนซู จะตั้งตัวเป็นเจ้าแห่งยุทธภพที่ออกคำสั่งแก่กลุ่มผู้กล้า

ในงานเลี้ยง เจ้าเกาะของทะเลสาบเจี่ยนซูสามสิบกว่าคนที่มาร่วมงาน ไม่มีสักคนที่เสนอความเห็นต่าง หากไม่ได้ปรบมือร้องให้กำลังใจ พยายามเออออคล้อยตามอย่างสุดกำลัง ก็สรรหาถ้อยคำมาประจบเอาใจ พูดว่าทะเลสาบเจี่ยนซูควรจะมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถสยบผู้คนได้เช่นนี้มานานแล้ว จะได้มีกฎเกณฑ์ที่พอเป็นรูปเป็นร่างสักที แต่ก็มีเจ้าเกาะบางส่วนที่เก็บปากเก็บคำ ผลคือพองานเลี้ยงเลิกราก็มีคนแอบรั้งรออยู่บนเกาะต่อแล้วเริ่มลงนามสวามิภักดิ์ ช่วยกันวางแผนการ อธิบายรากฐานและที่พึ่งของภูเขาใหญ่แต่ละแห่งบนทะเลสาบเจี่ยนซูให้คนทั้งสองฟังอย่างละเอียด

เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อจากนั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนของทะเลสาบเจี่ยนซูในอีกกี่ร้อยปีให้หลัง ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็ล้วนรู้สึกสาสมใจเป็นอย่างยิ่ง

คืนนั้นมีผู้ฝึกตนสี่ร้อยกว่าคนจากเกาะแต่ละแห่งกรูกันมาล้อมเกาะแห่งนั้น

ใช้สมบัติอาคมเกือบเก้าร้อยชิ้น บวกกับนักรบเดนตายอีกสองร้อยกว่าคนที่แต่ละเกาะเลี้ยงดูเอาไว้ ร่วมใจกันสังหารผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองท่านที่ฝีมือล้ำโลกได้สำเร็จ

บังเอิญยิ่งนักที่คนที่มีปณิธานการสังหารเด็ดเดี่ยวที่สุดก็คือ ‘เจ้าเกาะหญ้ายอดกำแพงที่ยอมสวามิภักดิ์ก่อนผู้ใด’ กลุ่มนั้น

บุรุษผู้นั้นรับฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็ถือโอกาสถามถึงหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน

เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ่งเล่าก็ยิ่งสนุกปาก

บอกว่าตอนนี้สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นร้ายกาจนักล่ะ

เมื่อสองปีก่อนมีมารน้อยผู้หนึ่งได้กลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสกัดคงคาเจินจวิน สมกับคำว่าสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าครามจริงๆ ถึงขนาดสามารถควบคุมเจียวหลงที่น่ากลัวตัวหนึ่งได้ เปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในถิ่นของตัวเอง คนในจวนเค่อชิงใหญ่คนหนึ่ง แม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคน และคนอีกร้อยกว่าคนล้วนถูก ‘หนีชิวใหญ่’ ตัวนั้นสังหารจนสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนมีสภาพการตายอเนจอนาถ ตายตาไม่หลับ

หลังจากนั้นก็ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เปิดศึกนองเลือดอีกครั้ง สังหารศิษย์พี่ใหญ่ร่วมสำนักของตน ‘หนีชิวใหญ่’ ตัวนั้นได้เผยนิสัยดุร้ายอำมหิตออกมาอย่างเต็มที่ หลายครั้งที่ลงมือล้วนไม่ใช่เพื่อสังหารคน แต่เพื่อตอบสนองความสนุกในการได้เข่นฆ่าของตัวเองเท่านั้น ผ่านไปที่ใด บนพื้นก็เต็มไปด้วยเศษซากโครงกระดูก

หลังจากนั้นมาสองอาจารย์และศิษย์บุกไปที่ใดก็พังราบเป็นหน้ากลอง ยึดครองเกาะบริเวณใกล้เคียงที่กองกำลังของตระกูลอื่นสร้างรากฐานไว้อย่างแน่นหนาไปแล้วไม่น้อย

ผู้ใดที่โอนอ่อนเจริญรุ่งเรือง ผู้ใดที่ขัดขืนต้องตาย ว่ากันว่าหญิงสาวหน้าตางดงามหลายคนถูกมารน้อยที่ขนยังขึ้นไม่ครบผู้นั้นชิงตัวกลับไป และดูเหมือนว่าภายใต้การอบรมสั่งสอนของศิษย์พี่หญิงรองของมารน้อย พวกนางก็ได้กลายเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อรุ่นใหม่

หลังจากนั้นทะเลสาบเจี่ยนซูก็ไม่เคยมีวันเวลาที่สงบสุขอีกเลย ยังดีที่นั่นเป็นเพียงการตีกันของเทพเซียน ไม่ได้เดือดร้อนมาถึงนครน้ำบ่อที่ห่างไกลแห่งนี้

หลังจากจบเรื่องมารน้อยแซ่กู้ก็เคยถูกศัตรูคู่แค้นลอบสังหารอยู่หลายครั้ง แต่เขากลับไม่ตาย กลับกันยังยิ่งกำเริบเสิบสานและโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงความดุร้ายเป็นที่เลื่องลือ ผู้ฝึกตนที่เป็นหญ้าบนยอดกำแพงกลุ่มใหญ่รอบกายเขาต่างก็ตั้งฉายาอันสูงส่งให้มารน้อยว่า ‘รัชทายาทแห่งทะเลสาบ’ เข้าฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ มารน้อยยังเคยมาที่นครน้ำบ่อครั้งหนึ่ง ขบวนของเขาเอิกเกริกไม่แพ้ให้กับองค์รัชทายาทของราชวงศ์ในโลกมนุษย์คนใดเลย

เถ้าแก่เฒ่าพูดคุยอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ทว่าบุรุษคนนั้นกลับไม่ได้เอ่ยอะไร เอาแต่ฟังเงียบๆ

ท่ามกลางแสงสนธยา ผู้เฒ่าส่งตัวบุรุษออกไปนอกประตูร้าน บอกว่ายินดีต้อนรับหากเขาจะมาอีก ไม่ต้องซื้อของก็ได้

บุรุษวัยกลางคนพยักหน้ารับ ตอนที่ลุกขึ้นยืน เขาสอดของเล็กๆ สามชิ้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หนีบกล่องผ้าแพรใบนั้นไว้ใต้รักแร้แล้วจากไป

ผู้เฒ่ารู้สึกสงสัยเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนที่บุรุษผู้นี้จากไป คล้ายจะ…ตกใจจนขวัญหาย? แปลกจริง ทั้งๆ ที่เป็นคนในยุทธภพที่มีเงิน ไยต้องเป็นเช่นนี้?

ผู้เฒ่าไม่คิดมากอีก โคลงศีรษะเดินกลับเข้ามาในร้าน

การค้าใหญ่ของวันนี้ สมกับคำว่าสามปีไม่ค้าขาย ค้าขายทีกินได้นานสามปีจริงๆ เขาอยากจะรู้นักว่าวันหน้าเจ้าพวกตะพาบเฒ่าจิตใจชั่วช้าร้านใกล้เคียง ยังจะมีใครกล้าพูดว่าตนไม่ใช่คนที่สมควรทำการค้าอีกบ้าง

ส่วนหลังจากที่บุรุษผู้นั้นจากไปแล้วจะกลับมาซื้อเลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้นอีกหรือไม่ แล้วทำไมฟังเรื่องเล่าไปแล้ว จากที่พอจะฝืนใจยิ้มได้บ้าง สุดท้ายถึงไม่เหลือรอยยิ้มเลย มีเพียงความเงียบงัน เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับไม่ได้ใส่ใจนัก

เทพเซียนตีกันบนทะเลสาบเจี่ยนซู มารน้อยกู้ บุญคุณความแค้น ความเป็นความตายอะไรนั่น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนอื่น พวกเราฟังแล้วเอามาเล่าต่อก็จบเรื่องกันไป

ส่วนลูกค้าคนนั้นที่พอออกมาจากร้านแล้วก็เดินไปอย่างเชื่องช้า

ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องเล่าในตำรา รักชอบเกลียดเศร้า พบพรากจากลา ล้วนมีอยู่ในหน้าหนังสือ พลิกเปิดหน้าหนังสือนั้นง่าย ทว่าใจคนกลับยากที่จะซ่อมแซมแก้ไข

ใครเป็นคนพูดกันนะ ชุยตงซาน? ลู่ไถ? จูเหลี่ยน?

จำไม่ได้แล้ว

หลังจากที่บุรุษวัยกลางคนเดินไปได้สิบกว่าก้าวก็หยุดเดิน เขานั่งลงบนขั้นบันไดที่อยู่ระหว่างสองร้าน

คล้ายสุนัขข้างทางตัวหนึ่ง

—–