บทที่ 429.1 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง เชิญท่านลงโอ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย ปูใหญ่อวบอ้วน เวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินปูเสื้อทองของนครน้ำบ่อ เมื่อถึงช่วงเวลาของมื้ออาหาร ทั่วทั้งเมืองจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่มีเฉพาะตัว

 

ถึงขั้นที่ว่าจะมีพวกนักกินที่เดินทางไกลเป็นพันลี้มาเยือนราชวงศ์จูอิ๋ง ผลัดกันชนจอกเหล้าอยู่ในเหลาสุราและจวนริมน้ำร่วมกับสหายสนิทของตัวเอง แต่ปีนี้แคว้นสือหาวที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยนมากที่สุดกลับแทบไม่มีใครมาเสพสุขกับลาภปากที่นี่ เพราะถึงอย่างไรชีวิตก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว

 

ยังเหลืออีกสิบวันก่อนที่งานชุมนุมเจ้าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยนจะถูกจัดขึ้น ถึงเวลานั้นเจ้าเกาะร้อยกว่าแห่งจะพากันขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่วที่เจ้าของเกาะไม่อยู่มานานหลายปี เพื่อคัดเลือกเจ้าแห่งยุทธภพคนถัดไป

 

หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินย่อมต้องเป็นตัวเลือกที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน

 

แต่ที่นี่คือทะเลสาบซูเจี่ยน คือทะเลสาบซูเจี่ยนที่ในงานเลี้ยงสีสันอาหารตระการตา เสียงชนจอกเหล้าเคล้าเสียงหัวเราะพูดคุยเพิ่งจะจางหายไปก็มีผู้ฝึกตนอิสระสี่ร้อยกว่าคนร่วมมือกันมาสังหารก่อกำเนิดและผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง

 

สองวันมานี้ในเมืองน้ำบ่อมีข่าวลือแพร่ออกมา บอกว่ามารน้อยกู้ผู้นั้นจะมากินปูที่เมือง ฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อได้เริ่มทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อหาซื้อปูเสื้อทองที่อวบอ้วนที่สุดของทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้ว คือ ‘กิ่งไผ่’ ที่หายากที่สุดในบรรดาปูเสื้อทอง ตัวโตอย่างมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยแก่นแห่งโชคชะตาน้ำ ชั่วชีวิตของชาวประมงธรรมดาอย่าได้หวังว่าจะจับมาได้สักตัว ขนาดพบเห็นยังยาก นั่นคือของล้ำค่าที่มีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้นถึงจะพอโชคดีจับมาได้

 

เกาะชิงเสียที่เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาในทุกวันนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมาหลิวจื้อเม่าเริ่มหยุดการขยับขยาย ก็เหมือนกับคนผู้หนึ่งที่สวาปามกินอาหารเข้าไปอย่างบ้าคลั่งจนอิ่มแปล้ จึงต้องค่อยๆ ย่อยส่วนที่กินเข้าไปก่อน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ที่มองดูเหมือนจะดี แท้จริงแล้วกลับจะกลายเป็นเม็ดทรายหนึ่งถาดที่กระจัดกระจายเพราะจิตใจคนไม่มั่นคง สำหรับในข้อนี้ หลิวจื้อเม่ามีสติแจ่มชัดมาโดยตลอด ในส่วนของผู้ฝึกตนอิสระที่เลือกมาสวามิภักดิ์ต่อเกาะชิงเสียก็จะยิ่งคัดเลือกอย่างเข้มงวด ส่วนการลงมืออย่างเป็นรูปธรรมนั้นก็ล้วนยกให้ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของเขาซึ่งมีนามว่าเถียนหูจวินเป็นผู้จัดการ

 

ช่วงแรกเริ่มสุดนางคือศิษย์พี่หญิงรองของกู้ช่าน แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างสมเหตุสมผล ศิษย์พี่ใหญ่ถูกศิษย์น้องเล็กอย่างกู้ช่านฆ่าตายไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยตำแหน่งเว้นว่างเอาไว้ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย หากแพร่ออกไปจะไม่น่าฟังแค่ไหน

 

ตอนนี้คนที่ล้อมวนเวียนอยู่รอบกายกู้ช่านมีผู้ฝึกตนหนุ่มสาวที่ตัวตนไม่ธรรมดาและลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์กลุ่มใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเยี่ยนเจ้านครน้อยของนครน้ำบ่อที่กำลังจะจัดงานเลี้ยงรับรอง ‘พี่ใหญ่กู้’ ที่เป็นบุตรชายโทนของเจ้านคร ถูกฮูหยินเลี้ยงดูอย่างตามใจจนไม่กลัวแม้แต่เทพเทวดา ป่าวประกาศว่าชีวิตนี้ตนจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้แก่เทพเซียนพสุธาอะไรทั้งนั้น จะยอมศิโรราบให้กับวีรบุรุษชายชาตรีเท่านั้น

 

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคนประเภทไร้สมอง

 

คนอายุเกือบสามสิบปีแล้วยังชอบเรียกกู้ช่านว่าพี่ใหญ่กู้ คนของนครน้ำบ่อต่างก็ชอบมองเจ้านครน้อยผู้นี้เป็นตัวตลก

 

นอกจากนี้ยังมีศิษย์พี่สี่แห่งเกาะชิงเสีย ฉินเจวี๋ย ศิษย์พี่หกเฉาเจ๋อ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษของทะเลสาบซูเจี่ยน พรสวรรค์ดีเยี่ยม สังหารใครไม่เคยใจอ่อน คือขุนพลคนสนิทของสกัดคงคาเจินจวินที่ออกกรีฑาทัพไปทั่วสี่ทิศ

 

และยังมีศิษย์น้องเล็กของเจ้าของเกาะหวงหลี ลวี่ไช่ซาง อายุต่างจากศิษย์พี่ที่เป็นเจ้าของเกาะอยู่หลายร้อยปี เนื่องจากเป็นลูกศิษย์ที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งรับตัวมาก่อนจะปิดด่าน ฐานะจึงสูงมากเป็นพิเศษ

 

ก่อนที่เกาะชิงเสียจะเจริญรุ่งเรือง เกาะหวงหลีคือเกาะขนาดใหญ่ในจำนวนน้อยนิดที่สามารถงัดข้อกับเกาะชิงเสียได้ แน่นอนว่าทุกวันนี้พลังอำนาจย่อมเทียบกับเกาะชิงเสียไม่ได้

 

นายน้อยแห่งเกาะกู่หมิง หยวนหยวน (元袁) มีชื่อเล่นว่าหยวนหยวน (圆圆) พ่อแม่คือคู่บำเพ็ญตนคู่หนึ่งของเกาะกู่หมิง เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองทั้งสองคน สตรีแซ่หยวน (元) บุรุษแซ่หยวน (袁) เป็นคู่ที่แต่งงานกันแล้วบุรุษย้ายเข้ามาอยู่บ้านภรรยา มารดาของหยวนหยวนเป็นสตรีดุร้ายป่าเถื่อนที่ทำให้หลิวจื้อเม่าปวดหัว ประเด็นสำคัญคือผู้ฝึกตนหญิงคนนี้มีภูมิหลังที่ใหญ่มาก ในอดีตเคยเป็นอนุภรรยาซึ่งเป็นที่โปรดปรานของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง

 

หันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาว หวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่

 

กู้ช่าน ฟ่านเยี่ยนคุณชายเสเพล ฉินเจวี๋ย เฉาเจ๋อ ลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน หันจิ้งหลิง หวงเฮ้อ บวกกับเถียนหูจวินศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ไม่ชอบปรากฏตัว แต่กลับเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติตามคำสั่งของกู้ช่านอย่างไม่รีรอ

 

นอกจากเถียนหูจวินที่ถูกกู้ช่านบังคับลากตัวมาร่วมด้วยแล้ว คนอื่นๆ อีกแปดคนล้วนสวามิภักดิ์ด้วยความสมัครใจ ว่ากันว่าภายใต้คำแนะนำของกู้ช่าน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปจับไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งมาจากไหน เอามากรีดเลือดไก่สาบานเป็นพี่เป็นน้องกัน เรียกตัวเองว่าสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน

 

ไม่พูดถึงคนของทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงแม้แต่คนทั้งแปดก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีกันเก้าคน แต่เหตุใดถึงป่าวประกาศแก่คนนอกว่าสิบวีรบุรุษ?

 

ตอนนั้นมารน้อยกู้ช่านแค่เปลือยเท้ายืนอยู่บนเก้าอี้ใหญ่อันดับสอง กระโดดโลดเต้นชี้ไปยังเก้าอี้อันดับหนึ่งที่ว่างเปล่า คลี่ยิ้มกว้างพูดว่าตำแหน่งนี้เก็บไว้ก่อน

 

กู้ช่านผู้นี้อายุไม่มาก แต่พอมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ส่วนสูงของเขากลับเหมือนหน่อไม้ที่ผุดขึ้นหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ ปีหนึ่งก็สูงขึ้นคืบใหญ่ เด็กอายุสิบกว่าขวบกลับตัวสูงพอๆ กับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว

 

มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าเจียวหลงที่ชอบจับผู้ฝึกลมปราณกินเป็นอาหารตัวนั้นสามารถนำพลังกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายของกู้ช่านได้ บนเกาะชิงเสีย การลอบฆ่าครั้งเดียวที่ขยับใกล้ความสำเร็จมากที่สุดก็คือนักฆ่าคนหนึ่งที่ตวัดดาบฟันลงบนกระดูกสันหลังของมารน้อยกู้อย่างแรง หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปต้องตายคาที่แน่นอน ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากไม่ได้พักฟื้นรักษาตัวสักสองสามปีก็อย่าหวังว่าจะลงจากเตียงมาได้ ทว่าเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน มารน้อยผู้นั้นกลับออกจากภูเขามาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มมานั่งอยู่บนหัวของเจียวหลงที่ถูกเขาเรียกว่า ‘หนีชิวน้อย’ ตัวนั้น ให้มันพาแหวกว่ายธาราของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างมีความสุขอีกครั้ง

 

วันนี้มองจากหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนก็จะสามารถมองเห็นเรือหอเรือนขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งขับเคลื่อนตรงมาช้าๆ ความใหญ่โตของเรือนั้นทำให้มันมีระดับสูงเทียบเท่ากับความสูงของกำแพงนครน้ำบ่อ

 

รอบด้านของเรือหอเรือน นอกจากคลื่นน้ำที่ถูกตัวเรือแหวกทะยานออกมาแล้ว บนผิวน้ำของทะเลสาบที่ห่างจากเรือหอเรือนไปร้อยกว่าจั้งก็มีริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงเบาๆ ซึ่งสังเกตเห็นได้ไม่ง่ายนัก

 

มีคนผู้หนึ่งที่ลักษณะคล้ายเด็กหนุ่มสวมชุดหม่างสีหมึกกระชับรับกับรูปร่าง นั่งเท้าเปล่าอยู่บนราวรั้วของหัวเรือ เขาแกว่งเท้าทั้งสองข้าง ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะสูดจมูกด้วยความเคยชิน ดูเหมือนว่ากาลเวลายาวนาน ตัวก็สูงขึ้นแล้ว ทว่าบนใบหน้ายังคงมีน้ำมูกสองเส้น จึงต้องสูดมังกรเขียวตัวน้อยสองตัวกลับถ้ำไป

 

ด้านหลังของเขามีคนยืนอยู่สามคน ศิษย์พี่หญิงใหญ่เถียนหูจวิน ทุกวันนี้นางเป็นผู้ดูและเกาะชิงเสียและมีอำนาจใหญ่ในการตัดสินความเป็นความตายของคนเกือบหมื่นที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงใต้อาณัติ จึงเริ่มมีบารมีอำนาจที่คล้ายคลึงกับสกัดคงคาเจินจวินอยู่หลายส่วนแล้ว คนที่ยืนขนาบซ้ายและขวาของนางคือศิษย์น้องสองคนอย่างฉินเจวี๋ยและเฉาเจ๋อ

 

ขยับไปเบื้องหลังก็คือแม่นางเปิดสาบเสื้อหน้าตางดงาม บุคลิกท่าทางแตกต่างกันออกไปหลายสิบคนที่ยืนเป็นแถวเรียงราย เพียงแต่ว่าเมื่อออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกจึงเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ที่สุภาพถูกกาลเทศะ

 

และเบื้องใต้น้ำของทะเลสาบที่อยู่รอบเรือหอเรือน

 

ก็คือ ‘หนีชิวน้อย’ ตัวหนึ่งที่ยาวหลายร้อยจั้ง

 

ท่าเรือตรงริมฝั่งถูกเจ้านครน้อยอย่างฟ่านเยี่ยนยึดครองอยู่นานแล้ว เขาขับไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป หยวนหยวนเจ้าเกาะน้อยแห่งเกาะกู่หมิง ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะหวงหลีที่ผู้ฝึกตนเฒ่าผมขาวโพลนกลุ่มใหญ่พากันเรียกขานว่าบรรพจารย์น้อย และยังมีหันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาวที่มาหลบเลี่ยงหายนะอยู่ที่นี่เกือบครึ่งปีแล้ว พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินอยู่ริมชายฝั่ง มีเพียงหวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่แคว้นสือหาวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มาอยู่ด้วย ช่วยไม่ได้ บิดาที่ในมือกุมอำนาจปกครองทหารชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ฝีมือดีหกหมื่นนายของแคว้นสือหาวผู้นั้น ว่ากันว่าเพิ่งจะแทงข้างหลังฮ่องเต้แคว้นสือหาวไปหนึ่งมีดด้วยการสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลี อีกทั้งยังคิดจะสนับสนุนให้องค์ชายหันจิ้งหลิงขึ้นเป็นฮ่องเต้คนใหม่ ช่วงนี้จึงยุ่งมาก หวงเฮ้อจึงปลีกตัวมาไม่ได้ ได้แต่สั่งให้คนนำจดหมายลับมาส่งที่นครน้ำบ่อบอกว่า ให้พี่น้องหันจิ้งหลิงรอฟังข่าวดี

 

เค้าโครงของกำแพงเมืองนครน้ำบ่อชัดเจนขึ้นทุกที

 

เถียนหูจวินเดินมาหยุดอยู่ข้างราวรั้ว พูดเสียงเบาว่า “จะเปลี่ยนเส้นทางเข้าเมือง จงใจเปิดโอกาสให้นักฆ่ากลุ่มนั้นจริงๆ หรือ?”

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นยกสองมือกอดอก แสยะปากยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากกินปูจริงๆ น่ะหรือ? กินจนแม่งจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว แถมเวลากินยังร้อนในไม่สบายตัวด้วย อร่อยสู้ปูทอดในลำธารเล็กของบ้านเกิดไม่ได้เลย กรุบกรอบทุกคำ ไม่ต้องใช้ตะเกียบเลยด้วยซ้ำ รสชาติแบบนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าอร่อย พวกบ้านนอกที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนเช่นพวกเจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร! ในกระเป๋ามีเงินเหม็นๆ แค่ไม่กี่แดงก็อวดเก่งซะไม่มี เจ้าเห็นว่าข้าต้องพกเงินไหม? ต้องพาผู้ติดตามมาเป็นโขยงไหม?”

 

เถียนหูจวินคลี่ยิ้ม “ศิษย์น้องเล็กคือมังกรในกลุ่มคน คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราย่อมเทียบด้วยไม่ได้อยู่แล้ว”

 

เด็กหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง เบี่ยงหน้ามาหัวเราะหึหึ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่อให้เจ้าพูดจาน่าฟังก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหรอกนะ หน้าตาอัปลักษณ์เกินไป หน้าอกก็เล็กเกินไป น่าสงสารจริงๆ ลองไปหยิบกระจกธรรมดาสักบานมาส่องดูสิ สำหรับสตรีที่หน้าตาธรรมดาอย่างพวกเจ้า นั่นจะกลายเป็นกระจกส่องมารเลยนะ”

 

เถียนหูจวินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ลึกๆ ในใจของนางไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องร้าย

 

บนทางเส้นเล็กเงียบสงัดริมทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากท่าเรือไปไกล ใบของต้นหลิ่วเริ่มกลายเป็นสีเหลือง บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างต้นหลิ่ว ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังเรือหอเรือนของทะเลสาบซูเจี่ยนลำนั้น ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา ยกขึ้นแล้วก็วางลง วางลงแล้วก็ยกขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้ดื่มเหล้าเสียที

 

……

 

เมื่อชาวบ้านในท้องถิ่นของเขตการปกครองหลงเฉวียนคุ้นเคยกับเทพเซียนบนภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนใคร่ครวญบางอย่างออก รู้ว่าที่แท้ก็ไม่ใช่หมอทุกคนในใต้หล้าที่สามารถทำยาที่ทำให้คนไร้ความเจ็บปวด สามารถปิดตาลงอย่างสงบท่ามกลางโรคร้ายทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อมีคนถูกรับเข้าไปในสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในกลุ่มของนักโทษราชวงศ์สกุลหลูก็ยังมีเด็กสองคนที่ได้เดินขึ้นฟ้า กลายเป็นเทพเซียนน้อยบนภูเขาเสินซิ่วในก้าวเดียว

 

ร้านยาตระกูลหยางจึงคึกคักขึ้นมา ป้าๆ น้าๆ หลายคนพากันจับจูงเด็กรุ่นหลังในตระกูลของตัวเองมาเยี่ยมเยือนร้านยา แต่ละคนล้วนฉลาดเฉลียว เมื่อต้องการมาเยี่ยมเยือนเทพเซียน แน่นอนว่าหยางเหล่าโถวที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในเรือนด้านหลังร้านยาย่อมต้องเป็นคนที่ ‘น่าสงสัย’ มากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ร้านยาตระกูลหยางเกือบจะต้องปิดร้าน ประมุขสกุลหยางรุ่นปัจจุบันที่ได้รับคำสั่งสอนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลายรุ่นละอายใจจนเกือบจะคุกเข่าโขกหัวขออภัยหยางเหล่าโถว

 

ล้วนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หรือไม่ก็คือคนในเมืองเล็กที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี พวกเขาใช้สารพัดวิธี แต่สรุปแล้วก็คือพยายามจะตีสนิทหาเส้นสาย สกุลหยางไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่แซ่สิบตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก เป็นเพียงแค่ตระกูลที่พอมีอันจะกินทั่วไป ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสั่งให้ลูกจ้างร้านขับไล่คนไปได้ นอกจากนี้เว้นเสียแต่ว่าจะตัดสินใจเด็ดขาดให้เลือดตกยางออกกันไปข้าง ก็ไม่มีทางไล่คนเหล่านั้นไปได้จริงๆ

 

เมื่อรับมือไม่ไหวจริงๆ ทางร้านยาก็ได้แต่หาคนมายืนเฝ้าหน้าประตู พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดีว่า หยางเหล่าโถวไม่ใช่เทพเซียนผู้เฒ่าอะไร เป็นแค่คนแก่ที่มีสูตรลับซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษติดตัวไม่กี่สูตรเท่านั้น

 

คำพูดผายลมที่หลอกผีแบบนี้ ใครจะเชื่อ ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนเกิดความสงสัย ยิ่งรู้สึกว่าหยางเหล่าโถวที่ชอบพ่นควันโขมงคนนั้นก็คือยอดฝีมือที่มาซ่อนตัวอยู่ในโลก

 

โชคดีที่ดูเหมือนหยางเหล่าโถวจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่ได้บอกให้เจ้าประมุขสกุลหยางปิดร้านด้วย กลับยังบอกให้ทางร้านยาบอกต่อๆ ไปว่า เขาเป็นวิชาดูโหงวเฮ้งและจับกระดูกชั่งน้ำหนัก แต่ทุกครั้งที่ช่วยทดสอบให้แก่เด็กๆ ว่ามีคุณสมบัติในการเป็นเทพเซียนหรือไม่จะต้องเก็บเงิน อีกทั้งยังไม่ใช่ถูกๆ ราคาคือหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

 

ถึงอย่างไรชาวบ้านของเมืองเล็กก็ยากจนกันจนชินแล้ว ต่อให้เป็นครอบครัวที่จู่ๆ ก็มีเงินขึ้นมา ซึ่งอยากจะวางแผนปูทางบนภูเขาให้แก่ลูกหลาน ก็ไม่มีทางเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นเงินอยู่ในสายตา บางคนยอมทุบหม้อขายเหล็ก เก็บสะสมเงินได้หนึ่งพันตำลึงเงิน บางคนอาศัยหยิบยืมจากสหายที่จู่ๆ ก็เป็นเศรษฐีภายในชั่วข้ามคืนเพราะขายสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ ยังดีที่มีคนไม่น้อยเลือกจะรอดูไปก่อน วันแรกคนที่พกเงินไปร้านยาจึงมีไม่มาก หยางเหล่าโถวพูดจาภาษาเทพเซียนที่คนฟังรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในดงเมฆหมอก สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหยางเหล่าโถวเอาแต่ส่ายหน้าท่าเดียว ไม่ถูกใจใครทั้งนั้น

 

รอจนคนที่มาเยือนน้อยลงแล้ว ทางร้านยาก็มีคำพูดประกาศออกมาอีกว่าจะไม่รับเงินเกล็ดหิมะแล้ว ขอแค่ซื้อยาหนึ่งห่อจากร้านยาตระกูลหยางก็พอ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนบ้านกัน หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะออกจะแพงเกินไปจริงๆ

 

เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่มาเยือนจึงลดฮวบลงทันที

 

นี่ร้านยาตระกูลหยางอยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง

 

แต่จากนั้นก็มีคนทยอยกันเปลี่ยนใจ ไปขอทวงเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นคืนจากร้านยาตระกูลหยาง โวยวายตีโพยตีพาย ใช้ทุกวิธีการ หากไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

 

สำหรับเรื่องนี้ร้านยายืนกรานเด็ดขาดอย่างผิดปกติ ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญเลย แม้แต่เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญก็อย่าได้หวัง การค้าขายที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจในใต้หล้านี้ มีหลักการให้คืนเงินที่ไหน? คิดว่าร้านยาตระกูลหยางทำการกุศลจริงๆ หรือไง?

 

ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนชนกำแพง ทว่าจู่ๆ กลับมีวันหนึ่ง คนผู้หนึ่งที่สนิทสนมกับร้านยาตระกูลหยางดื่มเหล้าเมามายก็หลุดปากเล่าว่าตัวเองอาศัยความสัมพันธ์ที่สนิทสนมไปขอเงินเทพเซียนเหรียญนั้นกลับคืนมาได้ อีกทั้งร้านยาตระกูลหยางยังพูดเองว่า แท้จริงแล้วหยางเหล่าโถวผู้นั้นก็คือนักต้มตุ๋นที่อาศัยตำราการดูใบหน้าคนที่ผุพังเล่มหนึ่ง แม้แต่ข่าวลือก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นร้านยาตระกูลหยางที่จงใจปล่อยออกไป เป้าหมายก็เพื่อหาเงินเข้าร้านยา

 

ผู้คนเดือดดาลทันใด

 

เพียงชั่วข้ามคืนชื่อเสียงของร้านยาตระกูลหยางก็ฉาวโฉ่เละเทะ ลูกหลานสกุลหยางแต่ละคนเหมือนหนูข้ามถนนที่ถูกคนวิ่งไล่ทุบตี พากันตำหนิพร่ำบ่น เรียกร้องให้เจ้าประมุขสกุลหยางไปบอกให้ตาเฒ่าที่ไม่มีความสามารถแต่ยังกล้าเล่นผีหลอกเจ้าเก็บผ้าหอบเสื่อไสหัวออกไปจากร้านยา

 

เจ้าประมุขสกุลหยางพูดจนปากเปื่อยกว่าจะปลอบใจผู้คนในตระกูลให้สงบลงได้

 

หลังจากนั้นมาร้านยาก็กลับสู่ความสงบในที่สุด

 

 คาดว่าต่อให้ร้านยาและหยางเหล่าโถวอ้อนวอนว่าจะไปจับกระดูกดูโหงวเฮ้งให้ก็คงไม่มีใครยินดี ไม่เก็บเงินยังคร้านจะสนใจ เว้นเสียจากว่าจะมอบเงินให้ด้วย

 

เป็นเหตุให้ทางร้านยาต้องเปลี่ยนลูกจ้างร้านมาใหม่สองคน คนหนึ่งคือเด็กสาวที่ทำงานเผาเครื่องปั้นจากตรอกฉีหลง อีกคนหนึ่งคือเด็กที่มาจากตรอกเถาเย่ แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจแล้ว

 

เรื่องหยุมหยิมไร้สาระพวกนี้ คนนอกมองเห็นแค่ความสนุก คนในกลับมองเห็นหนทาง คนที่มีโชควาสนามองเห็นมหามรรคา

 

—–