ความแตกต่างระหว่าง นาม กับ เพื่อนร่วมโต๊ะ นั้นเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ฉากแรก หนังเรื่องนี้นั้นถ่ายทำจากมุมมองบุคคลที่สาม ความแตกต่างระหว่างหนังสองเรื่องนั้นมากจนดูไม่เหมือนว่าเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกัน

เพื่อนร่วมโต๊ะนั้น ตอนเริ่มต้นนั้นเน้นไปที่ท้องฟ้าอันมืดครึ้ม บ้านที่เหมือนกรงขัง และสัตว์ประหลาดที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ นาม นั้นเริ่มต้นอย่างอบอุ่นมาก กาแฟถ้วยหนึ่งวางเอาไว้บนโต๊ะ และที่ข้างกันนั้นเป็นสมุดและอุปกรณ์การเรียนกองหนึ่ง

กล้องค่อย ๆ กวาดไปข้างหน้าและในที่สุดมันก็ไปจับอยู่ที่สมุดจดซึ่งเป็นไดอารี่เล่มหนึ่ง บนปกนั้นเขียนชื่อหนึ่งเอาไว้ด้วยปากกาสีแดง– ชิวเหมย

คราวนี้ตัวละครหลักเป็นชิวเหมย?

เฉินเกอรู้ว่าหนังสยองขวัญสองสามเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกันในสักทางหนึ่ง การคาดเดาก่อนหน้าของเขาว่าหนังแต่ละเรื่องบันทึกเรื่องราวของเหยื่อจากดวงตาข้างซ้าย แต่ความจริงดูเหมือนจะต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้

“เหวินอวี้! เหวินอวี้!” มีเสียงเคาะประตูไม่หยุด หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อเหวินอวี้ และเสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ต่างไปจากเสียงแม่ของเหวินอวี้ในเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างชัดเจน

“ถ้าคนที่อยู่ด้านนอกประตูไม่ใช่แม่ของเหวินอวี้ แล้วทำไมเธอถึงเรียกชื่อเหวินอวี้?”

กล้องหมุน เด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงกระโดดลงจากเตียง เธอวิ่งไปที่โต๊ะ ยัดไดอารี่เล่มนั้นลงไปในลิ้นชักและล็อกมันไว้ หลังจากจัดการทั้งหมดนี่แล้วเธอก็ไปเปิดประตู

“หนูกำลังทำอะไรอยู่ในห้องน่ะ? ตอนที่เรียกหนูตอบช้ามาก” กล้องขยับไปยังผู้หญิงที่นอกประตู  เธอมีรูปร่างใหญ่ อาจจะใหญ่กว่าเหวินอวี้สองคนรวมกันเสียอีก เธอแต่งหน้าหนาและมีกลิ่นควันติดตัว “ฉันได้ยินจากหัวหน้าว่าเธอจะออกจากงาน?”

“ค่ะพี่ฟาง ฉันมีเรื่องต้องไปทำ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองกล้อง นักแสดงนั้นหน้าตาน่ารักมาก และเธอยังดูคล้ายกับเหวินอวี้ในเพื่อนร่วมโต๊ะ เธอเหมือนดอกไม้ที่บริสุทธิ์ แต่หลังจากมองเธอนานเข้า ก็เหมือนมีบางอย่างแปลก ๆ

“ที่เธอบอกว่าจะกลับไปโรงเรียนน่ะเหรอ? ไปเรียนภาคค่ำ?” พี่ฟางเบียดตัวเข้าไปในห้องโดยไม่ขอ “เธอรู้ไหมว่าทุกวันนี้งานหายากแค่ไหน? เธอมีโอกาสดีขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่พอใจอีก?”

“พี่ฟาง ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ สักวันฉันจะพาพี่ไปเลี้ยวข้าวสักมื้อ” เหวินอวี้ไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาในห้องของตัวเอง

“รอทำไมเล่า?” พี่ฟางกำรอบข้อมื้อเหวินอวี้เบา ๆ แต่ว่าแน่นหนา “ครั้งก่อนฉันแนะนำหลานให้เธอใช่ไหม? เธอคิดว่ายังไงบ้าง? เด็กนั่นชอบเธอมากเลย ฉันว่าเธอคงจะเรียกมันว่ารักแรกพบได้… อย่าผลักฉันสิ! เฮ้! เปิดประตูนะ!” ประตูกระแทกปิดและพี่ฟางก็บ่นพึมพำอยู่ข้างนอกประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมแพ้แล้วเดินจากไป

“หนวกหูชะมัด” เหวินอวี้แตะดวงตาข้างซ้ายอย่างไม่รู้ตัว และเธอก็หันไปทางโต๊ะ เธอวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็เก็บของและหนังสือทั้งหมดบนโต๊ะลงกระเป๋า ตอนที่เธอเก็บของ กล้องก็จับภาพไปที่โทรศัพท์ของเธอ และหน้าจอก็แสดงให้เห็นสิ่งที่กำลังดูอยู่ก่อนหน้านี้

“โรงเรียนที่สอนภาคค่ำที่จิ่วเจียงมีที่ไหนบ้าง? มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงที่จิ่วเจียงตะวันตกเป็นอย่างไรบ้าง?”

ข้างใต้คำถามของเธอมีคำตอบอยู่สองสามคน

บ้านเก่าฉันอยู่ที่นี่: “ขอบคุณที่เชิญ ฉันมาจากฟิลิปินส์ เพิ่งลงเครื่องที่สนามบิน ฉันเรียนจบจากวิทยาลัยการเดินเรือและการบินนานาชาติ ฉันขอแนะนำว่าอย่าเรียนภาคค่ำที่จิ่วเจียง มีปัญหาเยอะแยะเกินไป และยังไม่ได้มีประโยชน์นัก จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในซินไห่ดีกว่า”

เขตการศึกษาที่สามเฉิงเต๋อ “ถ้าเจ้าของโพสต์อยากรู้เกี่ยวกับเขตการศึกษาที่สามให้มากขึ้นให้คลิกที่โปรไฟล์ฉันได้เลยนะ เขตการศึกษาเฉิงเต๋อนั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมในจิ่วเจียง พวกเราสามารถช่วยให้คุณเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงได้ พวกเรายังมีระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม และช่วยให้นักศึกษาของพวกเรานั้นดึงศักยภาพของตนเองออกมาได้มากที่สุด…”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “โรงเรียนภาคค่ำในจิ่วเจียงมีอยู่หลายที่ และคุณสนใจที่ที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด ฉันแนะนำคุณฟรี ๆ อย่างหนึ่งนะ– สมัครเรียนภาคค่ำที่โรงเรียนที่คุณต้องการได้เลย แต่หลีกเลี่ยงมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง”

ภายใต้สามคำตอบนั้น มีบทสนทนาระหว่างเหวินอวี้กับคนที่ไม่มีอยู่จริง

เจ้าของโพสต์: “ทำไมฉันถึงไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงไม่ได้? ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัยหลอกลวงเหรอ?”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ที่นั่นไม่ได้หลอกลวงแบบนั้น คุณจะได้ใบรับรองการศึกษาตราบใดที่คุณมีชีวิตรอดมาเรียนจนจบได้ คุณไปได้ข้อมูลของที่นี่มาจากที่ไหน? เท่าที่ฉันรู้ มหาวิทยาลัยนี่น่าจะปิดตัวลงในไม่ช้าแล้ว”

เจ้าของโพสต์: “ฉันมีบัตรนักศึกษาของที่นี่ ชื่อของฉันเขียนอยู่บนนั้น ดังนั้นฉันน่าจะเป็นอดีตนักเรียนที่นั่น”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “เป็นไปไม่ได้”

เจ้าของโพสต์: “จริง ๆ ฉันไม่ได้โกหกคุณ ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเห็นอะไรที่นั่น แต่ตั้งแต่นั้นฉันก็ออกจากที่นั่นมา ดวงตาข้างซ้ายของฉันมองเห็นสิ่งที่ฉันลืมไม่ลง”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ฉันไม่มีเวลาฟังนิทานของเธอหรอก ไปก่อนนะ”

เจ้าของโพสต์: “ฉันไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นนะ!”

เจ้าของโพสต์: “นี่? คุณยังอยู่ไหม?”

เจ้าของโพสต์: “เอาละ ดูเหมือนคุณจะไปแล้ว ฉันกำลังบอกความจริงคุณ ตั้งแต่ที่ฉันออกจากที่นั่นมา ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ที่นั่นเปลี่ยนชีวิตฉันไป และตอนนี้ฉันก็อยากกลับไปที่นั่นเพื่อหาความจริง”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ความจริงนั่นสำคัญเหรอ?”

เจ้าของโพสต์: “โอ้ คุณยังอยู่”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “ถ้าคุณไม่ได้โกหก อย่างนั้นก็มีอีกเหตุผลที่คุณไม่ควรไปที่นั่น”

เจ้าของโพสต์: “ทำไม?”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “คุณรู้ไหมว่ามหาวิทยาลัยนี่ยังมีอีกชื่อหนึ่ง?”

เจ้าของโพสต์: “ชื่อไหน?”

คนที่ไม่มีอยู่จริง: “มันยังถูกเรียกว่า โรงเรียนแห่งปรโลก”

เห็นแล้วเฉินเกอก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ม่านตาของเขาหดแคบลงขณะเพ่งมองบนจอ

โรงเรียนแห่งปรโลก!

ข้อความบนโทรศัพท์สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา เฉินเกอไม่คิดว่าจะมาเจอเข้ากับเงื่อนงำของโรงเรียนแห่งปรโลกระหว่างทำภารกิจดวงตาข้างซ้าย เขาเข้าใจว่าคำนั้นหมายถึงอะไร โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นฉากระดับสี่ดาว– มันหมายถึงอย่างน้อยที่สุดต้องมีวิญญาณสีเลือดระดับสูง!

ฉางเหวินอวี้นำดวงตาข้างซ้ายออกมาจากโรงเรียนแห่งปรโลก? ทำไมเธอถึงได้มีบัตรนักเรียนของที่นั่นได้?

ดวงตาข้างซ้ายนั้นอาศัยอยู่ในร่างของฉางเหวินอวี้ แต่ว่าดวงวิญญาณที่ควบคุมร่างกายนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ฉางเหวินอวี้ตัวจริงนั้นหายตัวไปแล้ว– บางทีดวงวิญญาณของเธออาจจะสลายไปแล้ว

ตามบทนำของหนัง โรงเรียนแห่งปรโลกนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ตอนที่เหวินอวี้ได้รับดวงตาข้างซ้ายมา เธอน่าจะยังอายุไม่ถึง แล้วเธอไปที่มหาวิทยาลัยนั่นได้ยังไง? ถ้าเธอไปปรากฏตัวที่นั่นโดยบังเอิญ อย่างนั้นเธอหนีออกมาได้ยังไง?

เดิมที เฉินเกอนั้นดูหนังเพราะว่าโทรศัพท์เครื่องดำบอกให้เขาดู แต่หลังจากที่มีการพูดถึงโรงเรียนแห่งปรโลก ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป

นี่น่าจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ– แค่การเปลี่ยนแปลงดวงตาข้างซ้ายนั้นก็ทำให้เกิดฉากระดับสองดาวแล้ว แล้วโรงเรียนแห่งปรโลกทั้งโรงเรียนจะน่ากลัวแค่ไหน?

เฉินเกอคิดกลับไปถึงคำแนะนำของโรงเรียนแห่งปรโลกบนโทรศัพท์เครื่องดำ มีภารกิจก่อนหน้าเก้าภารกิจ รวมทั้งจางหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

เวลาอันจำกัดของภารกิจนี้นั้นกำลังจะหมดแล้ว บางทีหนังเรื่องนี้อาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่ฉันควรต้องรู้

เฉินเกอดูหนังต่อ บนจอ โทรศัพท์ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะจู่ ๆ ก็สั่น มีสายเรียกเข้า และหมายเลขผู้โทรเข้ามานั้นก็ประหลาดมาก– คนที่ไม่มีอยู่จริง

 

 

TL note: ในต้นฉบับใช้คำว่า มหาวิทยาลัย สลับไปมากับคำว่า โรงเรียน ทั้งที่พูดถึงสถานที่เดียวกัน จึงมีคำนี้สลับกันไปมาเรื่อย ๆ พยายามปรับให้คงที่แล้วแต่อาจจะมีหลุดบ้างต้องขออภัยผู้อ่านล่วงหน้าด้วย