กล้องจับนิ่งอยู่บนกระจกตรงหน้าตัวละครหลัก– มันเหมือนตัวละครหลักนั้นกำลังพิจารณาตัวเองที่ในกระจกอยู่เหมือนกัน บทจบเริ่มต้นขึ้น และกล้องที่หมายถึงมุมมองของตัวละครหลักก็หยุดอยู่ที่หน้ากระจก

ผู้หญิงที่ในกระจกเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าที่ในกระจกช้า ๆ ขณะที่ร่างของเธอค่อย ๆ เอนเข้าไปหากระจก ทั้งจอฉายภาพผู้หญิงที่ในกระจก และดังนั้นผู้ชมจึงมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ตอนที่เส้นผมของตัวละครหลักแหวกออก ผู้หญิงที่ในกระจกก็เผยดวงตาข้างซ้ายของเธอออกมา

ตอนนี้ดวงตาข้างซ้ายของเธอค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้นช้า ๆ แล้วจู่ ๆ กล้องก็ถูกดึงถอยหลัง!

กล้องดูเหมือนจะละทิ้งมุมมองของตัวละครหลัก กล้องยังถอยออกไปเรื่อย ๆ มันจับภาพแผ่นหลังของตัวละครหลักและผู้หญิงที่ในกระจกเอาไว้

ตอนที่กล้องถอยออกไป ตัวละครหลักที่ยืนอยู่ที่หน้ากระจกก็หันร่างกลับมาแล้วมองเข้าไปในกล้อง ใบหน้าของเธอนั้นซีดขาวราวกับกระดาษและต่างไปจากเงาสะท้อนของเธอที่ในกระจกโดยสิ้นเชิง

ในตอนนี้เอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น

ตอนที่ตัวละครหลังหันกลับมา ผู้หญิงที่ในกระจกยังอยู่ในท่าเดิม เธอไม่ได้ขยับ!

เธอกับตัวละครหลักมองไปทางกล้องและเผยสีหน้าที่แปลกประหลาดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

เสียงดนตรีจู่ ๆ ก็ถูกตัดทิ้ง และจอก็มืดไป อาจจะเพราะโรงละครส่วนตัวนี้ไม่ถูกใช้งานมานานแล้ว กระทั่งหลังจากหนังจบแล้ว แสงไฟในโรงละครก็ไม่ได้กลับมาเปิดอัตโนมัติ และรอบด้านก็ยังคงถูกความมืดโอบล้อม

ความมืดทำให้เกิดความกระวนกระวาย เฉินเกอยังอยู่ในที่นั่งของตัวเองและไม่ได้ขยับตัวไปไหน เขาจับจ้องอยู่ที่จอ เขาพอจะมีความคิดคร่าว ๆ แล้วเกี่ยวกับหนังที่เขาเพิ่งดู ผู้กำกับใช้วิธีการย้อนอดีตในตอนกลางเรื่องเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทรงจำของตัวละครหลัก

‘ดวงตาข้างซ้าย’ นั้นเป็นของเด็กหญิงที่ชื่อว่าเหวินอวี้ แต่สิ่งที่ควบคุมร่างของเธอนั้นไม่ใช่ตัวเหวินอวี้เอง ผู้กำกับนั้นเลือกที่จะเน้นเพียงส่วนเดียว ตอนเริ่มต้นของหนัง ผีผู้หญิงเอาแต่เรียกตัวละครหลักว่าชิวเหมย ซึ่งหมายความตั้งแต่นั้นมา ดวงวิญญาณในร่างของตัวละครหลักนั้นเปลี่ยนไปเป็นชิวเหมยแล้ว

พ่อกับแม่และหมอที่ปรากฏขึ้นทีหลังล้วนเป็นผี หรือบางทีพวกเขาอาจจะอยู่ในโลกที่มองเห็นได้เฉพาะผ่านดวงตาข้างซ้าย นั่นสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเหวินอวี้ถึงทำตัวห่างเหินกับพ่อและแม่อย่างนั้น ในความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ แต่ว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีของครอบครัวเหวินอวี้

ที่กลางเรื่องนั้นน่าจะเป็นความทรงจำของชิวเหมย มันอธิบายว่าชิวเหมยเปลี่ยนไปเป็นเหวินอวี้ได้อย่างไร หลังจากความทรงจำจบลง หนังก็กลับสู่ความเป็นจริง ชิวเหมยนั้นนัดกับเพื่อน หลังจากดูหนังคืนนั้น เธอก็เชิญ ‘เพื่อน’ ของเธอไปที่ ‘บ้าน’ ของเธอ และวงจรก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ฝันร้ายยังไม่ถูกทำลาย และเด็กสาวคนถัดไปที่ถูกลิขิตให้ต้องสืบทอดดวงตาข้างซ้ายก็คงจะเป็นเพื่อนของชิวเหมย

ผีที่น่ากลัวที่สุดและน่าสยองที่สุดในหนังนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกไปจากตัวละครหลัก นี่ยังเป็นหนังเรื่องแรกที่เฉินเกอได้ดูที่ถ่ายทำจากมุมมองของผี

นอกจากนั้น ยังมีส่วนหนึ่งในหนังที่สะดุดความสนใจของเฉินเกอ ตอนที่หนังกำลังจะจบลง วิธีการถ่ายทำจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากมุมมองบุคคลที่หนึ่งไปเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ในตอนนั้น ยังไม่มีคนอื่นอยู่ในห้อง เป็นไปได้ไหมว่ากล้องตัวสุดท้ายนั้นถ่ายจากมุมมองของผู้ชม?

ทั้งตัวละครหลักและผีที่ในกระจกหันมามองผู้ชมที่นอกจอ เฉินเกอจำได้ชัดาเจนว่าดวงตาข้างซ้ายของพวกเธอเปิดขึ้น

มันเหมือนพวกเธออาจจะคลานออกมาจากจอตอนไหนก็ได้

กระทั่งเฉินเกอเองก็ยังหัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยหลังจากดูหนังจบ มันอาจจะเกินไปหากจะพูดว่าเขากลัว– เขาก็แค่รู้สึกขนลุกเล็กน้อยเท่านั้น เปิดกระเป๋าสะพายหลังแล้วเฉินเกอก็ปล่อยเจ้าแมวขาวออกมา เขาเกาหัวมันแล้วใจก็สงบลงช้า ๆ

ความสยองขวัญในหนังนั้นสร้างขึ้นจากผู้กำกับ นี่ต่างไปจากเรื่องผีในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง หากมีโอกาส ฉันก็อยากจะนั่งคุยกับผู้กำกับคนนี้

จอมืดไปสามนาทีได้แล้ว แต่ว่าโทรศัพท์เครื่องดำไม่ได้มีข้อความแจ้งว่าภารกิจสำเร็จ อันที่จริง เฉินเกอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรผิดไปตรงไหน

หรือเป็นเพราะว่าหนังสั้นเกินไป ดังนั้นโทรศัพท์เครื่องดำก็เลยไม่ให้ผ่าน?

เขาลุกขึ้นมองไปยังจอมืดสนิท จากนั้นก็มีความเป็นไปได้อื่นปรากฏขึ้นในใจเขา

หรือเป็นเพราะว่าหนังยังไม่จบ?

หนังนั้นยาวแค่ยี่สิบนาที แต่ถ้าผีหนีออกมาจากหนังอย่างนั้นหนังก็ยังไม่จบจริง ๆ กลิ่นราจาง ๆ อวลอยู่ในโรงละครส่วนตัว มองไปรอบ ๆ แถวของที่นั่งนั้นก็คล้ายกับป้ายหลุมศพที่ตั้งเอาไว้ ยิ่งเขามอง มันก็ยิ่งน่ากลัว

เด็กสาวกับ ‘ดวงตาข้างซ้าย’ น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงละครนี้

เฉินเกอนั้นมาที่นี่เพื่อทำภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำมอบให้ให้สำเร็จ และหากหนังไม่จบ อย่างนั้นภารกิจของเขาก็ไม่มีทางสำเร็จ

ฉันควรจะรอจนพระอาทิตย์ขึ้นไหม?

เฉินเกอนั้นเป็นคนใจเย็นและมีสติ เขารู้จักจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง จางหยายังจำศีลอยู่ และก็ไม่รู้ว่าเธอจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ซู่อินนั้นถูกทิ้งเอาไว้ในบ้านผีสิงให้รองเท้าส้นสูงสีแดงรักษา ตอนนี้ พนักงานที่แข็งแกร่งที่สุดที่เฉินเกอมีอยู่กับตัวก็คือไป๋ชิวหลิน

ด้วยความช่วยเหลือของซู่อิน ไป๋ชิวหลินได้กินหัวใจของซยงฉิงและพัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด แต่ว่า เนื้อแท้แล้วเขาก็ยังเป็นวิญญาณที่ถูกผลักดันจนกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด ในการต่อสู้ของจริงนั้น เขาย่อมไม่สามารถเอาชนะกึ่งวิญญาณสีเลือดของแท้ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นได้

ดวงตาข้างซ้ายดูเหมือนจะทรงพลังทีเดียว ถ้าเธอจู่ ๆ ตัดสินใจปรากฏตัวขึ้น เจ้าแมวขาวกับฉันคงไม่สามารถรับมือกับมันได้

เฉินเกอนั้นระมัดระวังอยู่เสมอ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง

ชายตาบอดเงยหน้าขึ้นถามเฉินเกอ “พี่ชาย มันเงียบนานแล้วนะ ผมว่าหนังน่าจะจบแล้วใช่ไหม? ผมไปได้แล้วหรือยัง?”

“ในเมื่อคุณเรียกผมว่าพี่ อย่างนั้นผมก็ไม่อ้อมค้อมและบอกความจริงกับคุณ ผีผู้หญิงที่ในหนังที่พวกเราเพิ่งดูไปน่ะหนีออกมาสู่โลกจริง”

“ผีหนีออกมาจากหนัง?” ปฏิกริยาของชายตาบอดนั้นดูกระวนกระวายมากขึ้นมาก

“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ผมมีข่าวดีกับข่าวร้ายบอกคุณด้วย” เฉินเกอยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังและพลิกเปิดหนังสือการ์ตูน

“คุณยังมีอารมณ์พูดเล่นอีกได้ยังไงเนี่ย?” ชายตาบอดขดตัวอยู่ในที่นั่งของตัวเอง– เห็นได้ชัดเจนว่าเขากลัวจริง ๆ “งั้นบอกข่าวร้ายผมก่อน”

“ข่าวร้ายก็คือผีผู้หญิงตนนั้นดูอันตรายมาก และเธอก็ดูเหมือนกำลังมองหาตัวตายตัวแทน พวกเราก็โชคร้ายพอที่จะมาเจอเธอเข้าพอดี” เฉินเกอบอกสิ่งที่เขาวิเคราะห์ได้ออกไปอย่างสงบ

“โชคร้ายคือผมถูกบังคับต่างหากเล่า? พี่ชาย อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย รีบออกไปกันเถอะนะ?” ถ้าเขาไม่รู้ว่าเขาไม่มีทางสู้ชนะ ชายตาบอดก็คงใช้ไม้เท้าของเขาสู้ตายกับเฉินเกอไปแล้ว

“หนีตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว ดวงตานั่นมองเห็นพวกเราสองคนแล้ว ดังนั้นเธอคงไม่ปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ”

“ดีจริง” ชายตาบอดทิ้งตัวกลับลงไปกับที่นั่งของตนเองอย่างอ่อนแรง “อย่างนั้นสิ่งที่เรียกว่าข่าวดีของคุณล่ะ?”

“ข่าวดีก็คือผมเรียกเพื่อนของผมหลายคนมาร่วมวงกับพวกเรา และพวกเราก็ได้เปรียบในด้านจำนวนอย่างเห็นได้ชัด” เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเข้าหูชายตาบอด และเฉินเกอก็ขานชื่อทีละชื่อ

กลิ่นเน่าเปื่อยจาง ๆ อวลเต็มโรงละคร อันที่จริง กลิ่นนั่นแรงพอที่จะกลบกลิ่นราจาง ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้าด้วย

“คุณได้กลิ่นอะไรไหม? มีบางอย่างกำลังมา!” ชายตาบอดอ้าปากค้างอย่างตกใจ

“นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วอย่าตื่นตระหนกไป พยายามอย่าไปล้มใส่ใคร” เฉินเกอนั้นพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว

“พวกนั้นคือเพื่อนของคุณเหรอ? พวกเขามาถึงตอนไหนน่ะ? พวกเขาอยู่ในห้องนี้แล้วเหรอ? ทำไมผมถึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยล่ะ?” ไม่มีใครตอบทำถามของชายตาบอด ถ้าเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็อาจจะหมดสติไปตรงนั้นเลย ความเงียบและว่างเปล่าในโรงละครนั้นตอนนี้กลายเป็นอึกทึกไปหมดแล้ว

เด็กชายที่มีกลิ่นเหม็นเน่าถูกชายแขวนคอผลักไปที่มุมห้องและเขาก็ลูบท้องพร้อมกับสีหน้าเศร้าสร้อย พวกนักเรียนจากห้องเรียนปิดตายโรงเรียนมัธยมมู่หยางวิ่งไปทั่วอย่างสนุกสนาน เหล่าโจวใช้สีหน้าจริงจัง ‘หลอก’ ให้ต้วนเยว่นั่งเก้าอี้เดียวกับเขาที่ด้านหลังโรงละคร พวกเขานั่งห่างไปจากคนอื่นที่เหลือ

ผู้อาวุโสเว่ยและหมอคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้านหลังชายตาบอด พวกเขาปรึกษากันเบา ๆ ในกลุ่มถึงความเป็นไปได้ในการทำการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ชายคนนี้มองเห็นได้อีกครั้ง และบางครั้งศัพท์เฉพาะทางก็หลุดออกมาจากปากพวกเขา

ผีน้ำนั่งอยู่ที่แถวหน้า เธอถูกสังเวยเพื่อทำการฝังเมล็ดพันธุ์ และนี่ก็ครั้งแรกใน ‘ชีวิต’ ของเธอที่ได้เข้ามาในโรงละคร ดังนั้นเธอจึงมีความอยากรู้อย่างเห็นในทุกอย่าง ถ้าเธอสามารถคลานเข้าไปในจอได้เธอก็คงทำไปแล้ว

เอี๋ยนต้าเหนียนเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากหนังสือการ์ตูน เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก ผีปากกากอดเสี่ยวเซียวเอาไว้และพวกเธอก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา เฉินหย่าหลินนั้นดูเหมือนจะมีคำถามเกี่ยวกับการ์ตูนของเขา

“วันนี้เป็นวันเกิดผม ดังนั้นผมจึงเลี้ยงหนังทุกคน ผมคิดว่านี่อาจจะนับได้ว่าเป็นสิทธิ์พิเศษของพนักงาน โรงหนังนี่อาจจะเล็กไปนิด แต่ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสา ตอนที่พวกเรามีเงินมากพอ ผมจะเช่าโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ทั้งโรงให้ทุกคนได้สนุกกัน” เฉินเกอลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องฉายหนัง ไป๋ชิวหลินกับผู้อาวุโสเว่ยตามหลังเขาไปติด ๆ

ชายตาบอดนั่งอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง เขารู้ว่ามีหลายอย่างอยู่รอบตัวเขาแต่ว่าในใจเขานั้นมีความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เขาอ้าปาก ยื่นมือออกไปแตะที่นั่งที่น่าจะเป็นของเฉินเกอ หลังจากสัมผัสได้ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาก็หุบปากลงอย่างว่าง่าย เขาไม่กล้าขยับหรือว่าถามอะไร

“พวกคุณอยากดูหนังเรื่องไหน?” เฉินเกอเปิดรายชื่อหนัง เขามาที่นี่เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แต่มันต่างไปสำหรับพนักงานที่บ้านผีสิง โดยเฉพาะพวกนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมู่หยางที่ออกมาจากสิ่งของที่พวกเขาสิงอยู่ได้แค่ระยะสั้น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยโอกาสนี้เสียเปล่าไปไม่ได้แน่ ๆ

ไปดูหนังนั้นเป็นประสบการณ์ธรรมดามาก ๆ ของคนทั่วไป แต่สำหรับนักเรียนพวกนี้ ถ้าไม่เพราะเฉินเกอ พวกเขาก็คงไม่มีประสบการณ์เช่นนี้อีก ในรายชื่อมีหนังผีไม่กี่เรื่อง แต่ว่านั่นก็ทำให้เกิดการถกเถียงร้อนแรงในกลุ่มพนักงานแล้ว ในที่สุด ส่วนใหญ่ก็ออกเสียงเลือกหนังที่ชื่อว่า ‘นาม’ มันดูเหมือนจะเป็นหนังเกี่ยวกับชื่อของใครสักคน เฉินเกอมองหน้าปก ผู้กำกับก็ยังคงเป็นฉางกู และใบหน้าของตัวละครที่เหลือนั้นดูคล้ายกับเหวินอวี้กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์

“เอาละ กลับไปที่นั่งของพวกคุณก่อน อย่าเดินไปทั่วหลังจากหนังเริ่มฉาย แล้วก็คอยดูรอบ ๆ ตัวด้วย อาจจะมีคนที่เกินมาปรากฏตัวเพราะว่าโรงละครนี่มีผีสิง”

มองโรงละครที่เต็มไปด้วยพวกผีแล้ว เฉินเกอก็รู้สีกเหมือนว่ามันน่าตลกที่พูดอะไรแบบนั้น

ผีกลุ่มหนึ่งดูหนังสยองขวัญในโรงหนัง ฉันว่ามันจะเหมือนเป็นการดูสารคดีชีวิตตัวเองหรือเปล่า

พนักงานทำตามที่เฉินเกอบอก พวกเขากลับไปยังที่นั่งอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ยังใจดีพอที่จะทิ้งที่นั่งว่างตรงกลางเอาไว้สองที่

“ทำไมพวกคุณถึงเว้นที่ว่างสองที่ตรงนั้นไว้ล่ะ?”

เฉินเกอกดปุ่มเล่น และเพลงประกอบก็ดังออกมาจากทุกมุมของโรงละคร ดนตรีวนเวียนอยู่ในหูของพวกเขาและมันก็สร้างความรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ที่นี่กันจริง ๆ ถึงแม้ว่าโรงละครนี่จะค่อนข้างเก่า อุปกรณ์ล้วนเป็นระดับยอดเยี่ยม อย่างไรเสีย ครั้งหนึ่งมันก็เคยใช้บริการแขกในฮอลิเดย์วิลล่าระดับไฮเอนด์มาก่อน

เสียงดนตรีดังคลอไปกับภาพบนจอ เหล่าพนักงานที่ไม่เคยสัมผัสโลกเช่นนี้และพนักงานที่จากไปก่อนที่จะได้มีช่วงเวลาเช่นนี้ล้วนรู้สึกตื่นเต้น เสียงร้องและเสียงอุทานก้องอยู่ในหมู่ผู้ชม– เสียงที่พวกเขาทำนั้นยังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงประกอบของตัวหนังเองเสียอีก

พวกเขาจะถูกหนังทำให้กลัวไหมนะ? ปกติแล้วเป็นพวกเขาที่หลอกให้คนอื่นกลัว

เฉินเกอไม่ได้กังวลเรื่องนั้นนัก– เขาแค่อยากให้ภารกิจที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาสำเร็จโดยเร็วที่สุด

เฉินเกอขยับไปทางที่นั่งที่พนักงานเว้นไว้ให้เขา และให้ไป๋ชิวหลินนั่งถัดจากเขาขณะที่ชายตาบอดนั่งอยู่ที่อีกด้านของเขา เขาได้รับภารกิจนี้เพราะความช่วยเหลือจากชายตาบอด อย่างน้อยที่สุดที่เขาทำได้ก็คือรับรองความปลอดภัยของชายคนนี้

“พี่ชาย… คุณกลับมาแล้วเหรอ?” ชายตาบอดถูกเฉินเกอพยุงไปนั่งที่กลางโรงละคร ขาของเขาสั่นและมันเหมือนเขากำลังเดินอยู่บนสายไหมแทนที่จะเป็นพื้นอันมั่นคง

“อืม ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณปลอดภัยมาก ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว” เฉินเกอกอดเจ้าแมวขาวไว้ “คุณอยู่ที่นี่ดูหนังได้โดยไม่ต้องห่วงอะไร หลังจากหนังเรื่องนี้จบ ผมจะพาคุณกลับไปเอง”

“คุณแน่ใจเหรอว่าตอนนี้มันปลอดภัยแล้ว? หัวใจผมเต้นเร็วมากและจู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงความเย็นเหมือนถูกยัดเข้าไปในตู้เย็นเลย” ชายตาบอดกอดไม้เท้าของตัวเองไว้และเปลือกตาของเขาก็กระตุกซ้ำ ๆ มันเหมือนเขาสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อดวงตา และพวกมันก็จะลืมเปิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้

“คุณคิดไปเอง” เฉินเกอปลอบชายตาบอดอีกสองสามคำ มือหนึ่งเขาเกาคางเจ้าแมวขาว แผ่นหลังทิ้งพิงไปกับเบาะ เขาสนุกไปกับหนังอย่างสุขสบายเต็มที่

“เป็นไปไม่ได้! ผมไม่ได้คิดไปเอง! คุณแน่ใจเหรอว่าเพื่อนของคุณอยู่ที่นี่กันหมด? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าที่นี่มันน่ากลัวและหลอนกว่าตอนแรก?” ลมหายใจเย็น ๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากของชายตาบอด “พี่ชาย คุณฟังผมอยู่หรือเปล่า? คุณไม่รู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิดเหรอ?”

“ผมสุขสบายกว่านี้ไม่ได้แล้ว อันที่จริง ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะสั่งขนมอย่างน้ำโค้กกับป๊อบคอร์นมากิน” ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในใจเฉินเกอก่อนหน้านี้จริง ๆ ในเมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลอง อาหารและเครื่องดื่มก็ควรจะมี แต่เมื่อคิดถึงสภาพจิตใจของคนส่งอาหารแล้ว เฉินเกอก็ทิ้งความคิดนั้นออกไปจากใจ “เป็นจิตใจของคุณเล่นตลกกับตัวคุณแล้ว ผ่อนคลายแล้วก็จะดีเอง”

หนังเริ่มฉายอย่างเป็นทางการ แต่ว่าบรรยากาศนั้นต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แสงและเสียงนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป– สิ่งเดียวที่เปลี่ยนก็คือผู้ชม

เฉินเกอนั้นจมดิ่งไปกับหนังที่ฉาย เขาผสานข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้มาจากการค้นหาดวงตาข้างซ้ายบนออนไลน์ และหนังที่เขาได้ดูคืนนี้และเงื่อนงำบางอย่างก็เผยตัวเองออกมา

หนังเรื่อง ดวงตาข้างซ้าย นั้นถูกทำลายไปแล้ว แต่ว่าโรงละครส่วนตัวนี้เก็บผลงานอื่น ๆ ของผู้กำกับ ฉางกู เอาไว้และผลงานทั้งหมดนั้นมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้าย

ทำไมผู้กำกับคนนี้ถึงได้หมกมุ่นอยู่กับ ดวงตาข้างซ้าย นี่จังเลย?

เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งของ เพื่อนร่วมโต๊ะ ผ่านเข้ามาในใจเฉินเกอ พ่อของเหวินอวี้ครั้งหนึ่งเคยเรียกชื่อเต็มของเธอ และชื่อของเด็กหญิงคนนั้นก็คือ ฉางเหวินอวี้– เธอใช้แซ่เดียวกันกับฉางกู

เป็นไปได้ไหมว่าเด็กหญิงที่มีดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นพี่สาวน้องสาวของฉางกู?

ใน เพื่อนร่วมห้อง ที่บ้านของเหวินอวี้ บางครั้งก็จะเห็นพ่อกับแม่หรือว่าหมอ แต่ว่าไม่มีตัวละครอื่นที่จะเป็นฉางกูได้

ถ้าฉางกูนั้นเป็นสมาชิกในครอบครัวของฉางเหวินอวี้จริง อย่างนั้นมันก็อธิบายได้ว่า ระหว่างการถ่ายทำ ฉางกูยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขาไม่ได้ปรากฏขึ้นมาในฉาก

จู่ ๆ เฉินเกอก็นึกถึงฉากสุดท้ายของ เพื่อนร่วมโต๊ะ

ตอนที่มีการเปลี่ยนมุมมอง เป็นไปได้ไหมว่าชิวเหมยกับผีที่ในกระจกไม่ได้กำลังมองมายังผู้ชมแต่เป็นฉางกูที่อยู่หลังกล้อง?