กล้องขยับจากชิวเหมยไปยังหญิงชราที่ถือตะกร้าอยู่ แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ส่องลงต้องร่างหญิงชรา และตอนที่เธอเดินจากไป กล้องก็จับจ้องอยู่ที่เงาของเธอที่ดูเหมือนจะถูกตัดขาดครึ่ง

เห็นรอยตัดนี้ เฉินเกอก็ตัวสั่นอยู่ในที่นั่ง เขาไม่รู้เลยว่าผู้กำกับถ่ายฉากนี้ได้อย่างไร เพื่อนร่วมโต๊ะ ตามรายละเอียดในรายชื่อหนัง มันถูกถ่ายไว้ตั้งนานมาแล้ว ตอนนั้น สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ไม่ได้ดีเท่าทุกวันนี้ แต่ว่าภาพในหนังกลับดูเหมือนจริงเท่าที่จะเป็นได้

เป็นไปได้ไหมว่านี่ไม่ใช่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์?

เงาของคนผู้หนึ่งนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตของคนผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง หรืออย่างน้อยที่สุด นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินเกอเชื่อ

ดวงตาข้างซ้ายของตัวละครหลักสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเงาของคนเป็นผู้หนึ่งใช่ไหม? ตอนที่หนังเรื่องนี้เริ่ม พ่อกับแม่ของตัวละครหลักมีเงาหรือเปล่านะ?

ภาพก่อนหน้าของหนังแวบผ่านเข้ามาในใจของเฉินเกอ พ่อกับแม่ของตัวละครหลัก และกระทั่งหมอ พวกเขาไม่มีใครมีเงา แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศเลวร้ายที่นอกหน้าต่าง

ตอนที่หนังเริ่ม ท้องฟ้ามืดและเป็นเมฆฝนสีเทาหนาก็บดบังดวงอาทิตย์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุดที่จะไม่เห็นเงาของคนบางคน หลังจากชิวเหมยและหญิงชราจากไป ตัวละครหลักก็กลับบ้านของตัวเอง เธอดึงกุญแจออกมาเปิดประตู

“เหวินอวี้? นั่นลูกเหรอ? ทำไมถึงกลับบ้านช้าขนาดนี้ล่ะวันนี้?” แม่ของเหวินอวี้รีบร้อนออกมาจากห้องครัว สีหน้าบนใบหน้าของเธอเมื่อมองเห็นเหวินอวี้นั้นผสมผสนกันระหว่างความเศร้าและอารมณ์ประหลาดที่เฉินเกออธิบายไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร มันก็ต่างไปจากที่พ่อแม่ทั่วไปจะทักทายลูกตัวเอง– เฉินเกอสังเกตได้ก็หลังจากที่จมดิ่งลงไปในหนังขนาดนี้แล้ว

ตัวละครหลักไม่ตอบสนอง เมื่อเธอก้าวเข้าไปในบ้านของเธอ มันเหมือนกับเธอเดินเข้าไปในทะเล การเคลื่อนไหวของเธอกลายเป็นฝืดฝืน และกระทั่งลมหายใจของเธอก็ยังไม่สม่ำเสมอ เธอผลักเปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วก็เบียดตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“เด็กคนนี้…”

“ฉันไปขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญบางคนและฉันเชื่อว่าลูกสาวของเราน่าจะป่วย” พ่อของตัวละครหลักวางหนังสือพิมพ์ลง เขาชี้ไปที่หัวของตัวเองแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระซิบเบา ๆ “ฉันติดต่อหมอแล้ว สุดสัปดาห์นี้ฉันจะพาเขามาที่นี่ให้ตรวจดูลูกของเรา”

“ต้องจ่ายเท่าไหร่น่ะ?”

“ตอนนี้การรักษาลูกของเราสำคัญกว่า เธอคงไม่อยากให้ลูกเป็นอย่างนี้ต่อไปหรอกใช่ไหม?”

เสียงพ่อกับแม่ของเธอดังมาจากด้านนอกประตูแต่ว่าตัวละครหลักไม่ได้สนใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ กล้องที่แทนมุมมองของตัวละครหลักนั้นขยับจากพ่อแม่ของเธอไปที่เพดาน จากนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ตัวละครหลักหลับตาลงอีกแล้ว

“หนังนี่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกเนื้อหาบางอย่าง แต่ถ้าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง เส้นเวลาก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เฉินเกอชนไหล่กับชายตาบอด “คุณคิดว่ายังไง?”

“ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณดูจบแล้ว พวกเราก็กลับออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่นาทีเดียว พี่ชาย จากสำเนียงพูดของคุณ คุณดูเหมือนจะไม่ใช่คนเลวร้าย คุณช่วยปล่อยผมไป เลิกทรมานผมได้ไหม?” แผ่นหลังของชายตาบอดนั้นเปียกชุ่ม เขาเอาแต่หลับตาเอาไว้ แต่จากเสียงของเขา ใครก็บอกได้ว่าเขากลัวแค่ไหน

“หนังเล่นไปครึ่งเรื่องแล้ว ผมแน่ใจว่าเดี๋ยวมันก็จบแล้ว อดทนอีกนิดนะครับ” เฉินเกอหันกลับไปที่จอตอนที่มันสว่างขึ้นอีกครั้ง เหมือนเดิม ยังเป็นภาพที่ถ่ายจากมุมมองของตัวละครหลัก มันยังคงบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับชิวเหมย

ตัวละครหลักนั้นเป็นเด็กสาวพูดน้อย เธอน้อยครั้งที่จะเปิดปากพูดอะไร และถ้าเธอไม่ต้องพูดได้เธอก็จะทำอย่างนั้น นิสัยของชิวเหมยนั้นตรงกันข้ามกับตัวละครหลักอย่างสิ้นเชิง เธอเหมือนหนังสือที่เปิดเอาไว้และน้อยครั้งนักที่จะคิดมากกับสิ่งที่คนอื่นพูด

เธอเป็นเด็กวู่วามและมักจะทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา แต่ว่า อย่างที่พูดกันว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามกันมักจะดึงดูดกัน เมื่อพวกเธอใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักและชิวเหมยก็แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นขั้วตรงข้ามกันในด้านนิสัย พวกเธอก็กลายมาเพื่อนสนิทกัน

ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น การเรียนของพวกเธอทั้งคู่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็เป็นสิ่งที่กระทั่งคุณเฉาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ เดิมที เขาก็แค่ทำตามที่เพื่อนบ้านเก่าแก่ของเขาขอร้อง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ นักเรียนหญิงทั้งสองคนที่เคยเรียนแย่ที่สุดในชั้นเรียนของเขานั้น ‘เปลี่ยนไป’ อย่างมากหลังจากที่มาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน

สีสันบนจอนั้นให้ความรู้สึกสว่างไสวมากขึ้น และสไตล์ของหนังก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย มันอาจจะเป็นหนังสยองขวัญแต่ว่าเฉินเกอรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังแนวการก้าวข้ามผ่านวัย

ผู้กำกับนั้นมีหลายสไตล์– ไม่เลวเลย

เฉินเกอจดจำความคืบหน้าของหนังเอาไว้ มันผ่านมาประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากผีที่เขาเห็นตอนต้นของหนัง ส่วนที่เหลือของหนัง นั้นไม่มีกระทั่งจุดที่ส่อถึงความน่ากลัว อย่าว่าแต่ผีจริง ๆ เลย

หนังสยองขวัญที่ไม่มีผี?

หนังสยองขวัญในท้องตลาดนั้นมักจะต้องนำเสนอ ‘ตัวตนลึกลับ’ และตัวตนลึกลับนี้ก็มักจะถูกใช้สร้างความรู้สึกน่าสงสัยและน่าหวาดกลัวในหัวใจของคนดู แต่ว่าหนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น มันถ่ายทำจากมุมมองของตัวละครหลักเพียงอย่างเดียว และเธอก็ไม่ได้เห็นอะไรที่ดูน่ากลัวโดยแท้จริง

เฉินเกอรู้สึกว่าผู้กำกับนั้นทำอย่างนี้เพื่อบางอย่างที่น่าสยดสยอง เขารู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้น เมื่อหนังใกล้จะจบ เขาก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างชิวเหมยและตัวละครหลักนั้นใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีบางอย่างที่ต้องพูดถึง ระหว่างช่วงเวลาที่ชิวเหมยและตัวละครหลักกลายมาเป็นเพื่อนกัน เสียงหัวเราะสนุกสนานของชิวเหมยนั้นปรากฏขึ้นในหนังหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าตัวละครหลักนั้นไม่เคยหัวเราะ ไม่เลยสักครั้งเดียว

เหลือเวลาอีกเพียงสั้น ๆ ก่อนที่การสอบปลายภาคจะมาถึง ด้วยผลการเรียนตอนนี้ของชิวเหมย การเรียนจบนั้นไม่ใช่ปัญหาแล้ว เธอยังมีเพื่อนดี ๆ ที่โรงเรียน เธอกำลังจะทำตามที่เธอสัญญาไว้กับย่าสำเร็จ และนี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของชิวเหมย

แต่ว่า ถึงแม้ว่าชิวเหมยจะมีความสุข ในฐานะผู้ชม เฉินเกอนั้นมองเห็นความกระวนกระวายที่ซ่อนอยู่ด้านหลังความสุขนั้นผ่านมุมมองของตัวละครหลัก เงาของย่าของชิวเหมยนั้นสั้นลงเรื่อย ๆ ความกังวลที่พ่อแม่ของตัวละครหลักแบกรับเอาไว้ก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราเร็วของการเปลี่ยนแปลงระหว่างแต่ละฉากก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคงที่ขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนตัวละครหลักนั้นจู่ ๆ ก็กะพริบตาบ่อย ๆ ขึ้นมา

ยังมีพายุลูกใหญ่ซ่อนอยู่ใต้ชีวิตอันสงบสุข และมันก็จะลากทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ลงไปในหุบเหวลึกที่แสนสิ้นหวัง หลังจากการสอบปลายภาค ในงานเลี้ยงของห้อง ชิวเหมยและตัวละครหลักนั้นอยู่ดึกมากกว่าจะกลับ กลางคืนเงียบสงัดอย่างผิดปกติ ชิวเหมยฮัมเพลงอยู่ในคอ ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้นั้นสำเร็จแล้วและเธอก็อดจะอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้

“เพื่อนร่วมโต๊ะ ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? พวกเราในที่สุดก็ผ่อนคลายได้แล้ว พวกเราไม่ต้องไปเจอหน้าเหล่าเฉาทุกวี่ทุกวันแล้ว” ชิวเหมยกอดตัวละครหลักดึงเธอเข้าไปใกล้ ๆ กล้องถ่ายชิวเหมยจากระยะใกล้ เด็กหญิงย้อมผมของเธอกลับมาเป็นสีธรรมชาติ ก็คือสีดำ และเธอก็ดูสวยน่ารักขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ตัวละครหลักก็เบนสายตาออก เธอก้มหน้าลง และกล้องก็จับภาพความมืดซึ่งดูราวกับถนนนี้ไม่มีปลายทาง

“เธอไม่ได้ดูมีความสุขนัก” ใบหน้าของชิวเหมยเบียดเต็มหน้าจออีกครั้ง ตัวละครหลักมองชิวเหมยเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ และจากนั้นเธอก็ออกเดินไปของเธอเอง

“เพราะครอบครัวของเธอเหรอ? ฉันว่าฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงพวกเขาเลย” ชิวเหมยวิ่งตามเธอมา “อันที่จริง ครอบครัวของฉันก็น่ารำคาญเหมือนกัน พ่อของฉันตอนนี้อยู่ในคุกและย่าก็เป็นคนเลี้ยงฉัน ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะใช้แซ่ตามย่า”

ตัวละครหลักนั้นไม่ได้ช้าลงหรือว่าหยุดเดิน ชิวเหมยตามหลังเธอมาติด ๆ จนกระทั่งไปถึงทางแยก บ้านของชิวเหมยนั้นอยู่ทางซ้าย และบ้านของตัวละครหลักอยู่ทางขวา– ตรงนี้เป็นจุดที่พวกเขามักจะแยกกันเสมอ

“เหวินอวี้? เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ยวันนี้?” ตัวละครหลักไม่หยุดตอบ เธอเดินไปตามถนนต่อ และถึงจุดหนึ่ง เธอก็หันมาบอกชิวเหมยเรียบ ๆ “อันที่จริง นั่นไม่ใช่ชื่อฉัน”

“นั่นไม่ใช่ชื่อเธอ?” ชิวเหมยอยากจะถามรายละเอียด แต่ตัวละครหลักก็หันหลับเดินต่อไปแล้ว เพราะสภาพแวดล้อมอันแตกต่างที่เธอเติบโตขึ้นมา ชิวเหมยมีนิสัยที่ต่างไปเทียบกับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอไม่อาจไม่สนใจตัวละครหลักและตามหลังเธอไปต่อ เธอวิ่งตามตัวละครหลักไปและร้องเรียก

แสงจากริมถนนนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ ในที่สุดเด็กหญิงทั้งสองคนก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง ตึกนี้นั้นตั้งอยู่ในส่วนที่ห่างไกลที่สุดของเมือง ทั้งตึกนั้นมืดเหมือนไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เลย

“เหวินอวี้? บ้านเธอ… อยู่ที่นี่เหรอ?” ยังคงไม่มีคำตอบ ตัวละครหลักจู่ ๆ ก็วิ่งขึ้นบันไดไป เธอดึงกุญแจออกมาจากกระเป๋า และหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชิวเหมยก็ตามเธอไป ในทางเดินไม่มีไฟ ชิวเหมยเหยียบลงไปบนเศษขยะบนทางเดินและเกือบจะลื่นล้มไปหลายครั้ง

ประตูห้องเปิดออก และตัวละครหลักเดินเข้าไป แสงไฟในห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิด และม่านหนาหนักก็ถูกดึงปิดเอาไว้ ทั้งห้องนั้นจมอยู่ในความมืด แต่ในสภาพเช่นนี้ ในกล้อง ประตูห้องครัวก็ถูกดึงเปิดออก และแม่ของตัวละครหลักก็เดินออกมาจากในนั้น

เหวินอวี้ นั่นลูกเหรอ? ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกนัก?” เสียงคุ้นเคย สภาพแวดล้อมอันคุ้นเคย รูปร่างคุ้นตาที่ยืนอยู่ในความมืดนั้นไม่ใช่ใครนอกจากแม่ของตัวละครหลัก

ภาพนี้นั้นดูธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วในตอนกลางวัน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกลางคืน มันก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายเป็นถ้อยคำออกมาไม่ได้

“ฉันจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว” เสียงของตัวละครหลักเริ่มเปลี่ยนไป คราวนี้ เธอไม่วิ่งเข้าไปซ่อนในห้องนอนของเธอแต่ว่ายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น

“เหวินอวี้! เธอพูดกับใครน่ะ?” ชิวเหมยยืนอยู่ที่ทางเข้า มองเข้าไปในห้องนั่งเล่นมืด ๆ ใบหน้าของเธอซีดขาว มันเหมือนเธอกำลังมองเห็นภาพที่ต่างไปจากที่ตัวละครหลักเห็น “ที่นี่เก่ามาก เครื่องเรือนก็พังไปหมดแล้ว กระเบื้องปูพื้นยังแตก เหวินอวี้ เธอมาทำอะไรที่นี่? กลับบ้านกันดีไหม?”

“กลับบ้าน?” ตัวละครหลักเอื้อมมือไปจับมือชิวเหมยก่อนที่จะดึงเธอเข้าไปในห้อง “แต่ว่า… พวกเราอยู่บ้านแล้วไง!”

แสงไฟบนหน้าจอค่อย ๆ สลัวลงจนกระทั่งมันกลายเป็นความมืด ผู้กำกับนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

เสียงกรีดร้องก้องไปในความมืด ดวงตาเปิดลืมขึ้น และตัวละครหลักก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของเธอ กล้องมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกหน้าต่าง เมฆดำและลอยต่ำ

ภาพนี้นั้นเหมือนกับตอนเริ่มแรกของหนัง ที่ข้างนอกหน้าต่างนั่นเป็นท้องฟ้าเดียวกัน มันทำให้รู้สึกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่ฝันร้าย ตัวละครหลักมองไปที่นาฬิกาบนโต๊ะ เธอดึงโทรศัพท์ของเธอออกมาอ่านข้อความ และจากนั้นเธอก็ลากร่างกายเหนื่อยล้าของตนเข้าไปในห้องน้ำ

เธอเอาแต่ก้มหน้าต่ำ ดังนั้นกล้องจึงมองเห็นแค่พื้น หลังจากเธอแปรงฟันและล้างหน้า โทรศัพท์ก็เริ่มสั่น กล้องขยับไปมาและตัวละครหลักก็ดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า

“เหวินอวี้ คืนนี้เธออยากไปดูหนังไหม? เป็นการฉลองที่เธอกำจัดยัยบ้านั่นไปได้”

“ชิวเหมยไม่เลวเลยนะ เธอไม่เคยรังแกฉันสักครั้ง”

“เป็นเพราะว่าเธอใจดีเกินไปเหล่าเฉาถึงให้ยัยนั่นมานั่งกับเธอ เธอรู้ไหมว่าพ่อกับแม่ของยัยนั่นอยู่ในคุกทั้งคู่? ใครจะไปรู้ว่ายัยนั่นไปทำอะไรเข้าถึงได้หายตัวไป? ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปติดอยู่กับยัยนั่นแล้ว”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” มือของตัวละครหลักจับโทรศัพท์แน่นขึ้น “แล้วก็ เพื่อนร่วมโต๊ะ หลังจากดูหนังคืนนี้แล้ว เธออยากมาเล่นที่บ้านฉันไหม? ฉันจะให้เธอดูอะไรที่น่าสนใจมาก”

“ได้ ไม่มีปัญหา!”

“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” หลังจากวางสาย ตัวละครหลักก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ กล้องขยับไปทางกระจก และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของตัวละครหลักตั้งแต่หนังเริ่มมา

ร่างกายผอมบาง เสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง และผมสีดำยาว– ตัวละครหลักนั้นมีใบหน้าที่เหมือนเย็บขึ้นจากชิ้นส่วนของผู้หญิงหลาย ๆ คน ผู้หญิงทั้งหมดมีเครื่องหน้าต่างกัน แต่ว่าดวงตาข้างซ้ายของพวกเธอนั้นดูเหมือนกัน

ดวงตาข้างซ้ายที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนมันเป็นเข็มยาวเล่มหนึ่ง และมันก็เย็บใบหน้ามากมายนั่นเข้าด้วยกัน