ในหนัง พ่อแม่ของตัวละครหลักนั้นไม่ให้น้ำหนักกับถ้อยคำของหมอมากนักและความไม่พอใจในดวงตาของพวกเขาก็ปิดบังไว้ไม่ได้
“เชื่อผมเถอะครับ ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วยจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเธอก็เป็นแค่อุบัติเหตุ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะพาเธอไปเมืองซินไห่กับผม ที่ผมสามารถตรวจเธอให้ละเอียดกว่านี้ได้” ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนนักต้มตุ๋น เขาดูจริงใจมาก แต่โชคไม่ดี พ่อกับแม่ไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะพาเธอไปค่ะ แต่ว่าเหวินอวี้ยังต้องไปโรงเรียน” แม่ปฎิเสธเขาอ้อม ๆ หมอถอนหายใจ เขาส่งนามบัตรของตัวเองให้แม่ของเด็กแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมจากไป ตลอดกระบวนการนี้ หมอหันหลังให้ตัวละครหลักอยู่ตลอดเวลาและใบหน้าของเขาก็ถูกปิดบังเอาไว้
หลังจากประตูปิดลงและหมอจากไปแล้ว แม่ก็บ่นเบา ๆ “ฉันสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมเขาถึงมาตรวจเหวินอวี้ให้ฟรี ๆ เขาเป็นนักต้มตุ๋น หลังจากพวกเราไปถึงซินไห่ เขาก็จะเริ่มคิดเงินเราต่าง ๆ นานา”
“ฉันเองก็สงสัยความน่าเชื่อถือของหมอคนนั้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นหมอด้วยซ้ำ แต่ว่ามันต้องมีเหตุผลเบื้องหลังการป่วยนี่ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเหวินอวี้มาก่อน แล้วจู่ ๆ เธอจะป่วยได้ยังไง?”
“คุณพูดถูก เด็กคนนี้เป็นปกติดีมาตลอดหลายเดือนมานี้ แต่จู่ ๆ คืนนั้น ไม่สิ ตั้งแต่ตอนบ่ายที่เธอกลับมาจากโรงเรียน เธอก็ทำตัวแปลกไป”
ใบหน้าของพ่อและแม่มีรอยย่นลึก และน้ำเสียงของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ กล้องบันทึกทุกอย่างเอาไว้อย่างเรียบเฉย และมันก็ให้ความรู้สึกว่าตัวละครหลักกำลังจับตามองทุกอย่างโดยไม่แสดงอารมณ์ใดสักนิด ดวงตาค่อย ๆ ปิดลง และเสียงดนตรีประหลาดก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ต่างไปจากการดูหนังสยองขวัญที่บ้าน ระบบเสียงในโรงละครนั้นเป็นระบบเสียงรอบทิศทาง มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเสียงฝีเท้านั้นดังมาจากระยะไกล หรือมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ ตัวผู้ชม ผู้กำกับทุ่มเทกับหนังสั้นเรื่องนี้มาก และนั่นก็เห็นได้จากแค่ระบบเสียงอย่างเดียวด้วยซ้ำ
เพลงประกอบนั้นมีเสียงหัวใจเต้นและเสียงหายใจหนัก ๆ ผสานอยู่ เหมือนบางคนกำลังดิ้นรนอยู่ในฝันร้าย ทุกอย่างมืดสนิท และมีคนดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ว่าไม่สามารถคว้าอะไรมาพยุงตัวไว้ได้เลย
เมื่อผู้ชมจมลงไปกับสภาพย่ำแย่ของตัวละครหลักและกลั้นหายใจไว้ เสียงกริ่งแหลมก็ดังตัดเพลงประกอบออกมา เปลือกตากระตุก ตัวละครหลักดูเหมือนจะตื่นแล้ว และเธอก็ลืมตาพร่ามัวขึ้น
บนจอปรากฏฉากใหม่ กล้องไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกต่อไปแล้วแต่เป็นศูนย์กวดวิชาที่ดูเรียบง่ายแห่งหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องลงมาที่ตัวละครหลักผ่านทางหน้าต่าง และกล้องก็จับอยู่ที่เงาของเด็กสาวที่ทอดยาวอยู่บนพื้น เธอเอนตัวแนบโต๊ะแถวสุดท้ายในชั้นเรียน และศีรษะของเธอก็ยังหนักไปด้วยความง่วงงุน
หนังฉายมาได้หนึ่งในสามแล้ว และฉันก็เพิ่งเห็นแค่เงาของตัวละครหลัก ผู้กำกับเก่งมากทีเดียว
เฉินเกอเคยเห็นเงามากมายในชีวิต และในมุมมองเยี่ยงมืออาชีพของเขา เงาในหนังนั้นธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แสงอาทิตย์ทำให้เส้นประสาทในหัวเธอของเธอตึงเขม็ง และเสียงพัดลมหมุนก็ดังน่ารำคาญอยู่ในหูเธอ และยังมีเสียงพลิกเปิดหน้ากระดาษและยังเสียงดนตรีเพี้ยน ๆ จากหูฟังราคาถูกของนักเรียนโต๊ะใกล้ ๆ
การถ่ายฉากยาวต่อเนื่องแสดงให้เห็นทุกอย่างในห้องเรียน ความร่วมมือกันของผู้กำกับ ตากล้อง และนักแสดงนั้นไร้ที่ติ
ปัง!
ในตอนนี้ที่ผู้ชมกำดื่มด่ำไปกับความรู้สึกสงบ ความสงบนั่นจู่ ๆ ก็แตกกระจายออก ประตูถูกผลักเปิด และเด็กผู้หญิงที่มีทรงผมประหลาดก็พุ่งเข้ามาในห้อง
“เหอชิวเหมย! เงียบ อย่ารบกวนนักเรียนคนอื่น!” ผู้ชายสวมแว่นผมตั้งสั้นเดินตามหลังเด็กหญิงมา เขาถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่งและตำราเรียนอยู่ในมืออีกข้าง ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์สอนพิเศษ และเขายังดูคุ้นเคยกับนักเรียนที่เพิ่งเข้ามา
“ค่ะ ๆ” เด็กหญิงผมแดงเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปากและพึมพำตอบรับ
อาจารย์ผู้ชายรู้นิสัยเด็กหญิง ดังนั้นจึงแค่ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเคือง ๆ ปาดเหงื่อออกจากใบหน้าแล้วปรบมือเบา ๆ “ทุกคน สนใจผมหน่อยได้ไหมครับ? นี่เป็นนักเรียนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนกับพวกเราวันนี้ เหอชิวเหมย เพราะเหตุผลทางด้านครอบครัว เธอก็เลยหยุดเรียนไปหนึ่งปี และเธอก็มาที่นี่เพื่อเรียนตามให้ทัน ผมหวังว่าพวกเราทุกคนจะช่วยเธอนะ”
อาจารย์แนะนำตัวอย่างง่าย ๆ และให้เธอนั่งที่ด้านหลังห้อง บังเอิญว่า เธอเลือกที่จะนั่งข้าง ๆ ตัวละครหลัก และดังนั้นจึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกัน กล้องซูมเข้าไปยังเหอชิวเหมย เด็กหญิงมีผมสีแดงซีด เธอเอนตัวพิงกำแพงแล้วโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ
“เธอมองอะไร?” เด็กหญิงสังเกตเห็นตัวละครหลักมองมาที่เธอ นิสัยของเธอนั้นร้อนเหมือนไฟ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไม่ดี แต่ว่าเธอมีแนวโน้มที่จะทำเหมือนหาเรื่องคนอื่นอย่างไม่ตั้งใจมากกว่า พอถูกเด็กหญิงตะคอกใส่ กล้องที่แทนสายตาของตัวละครหลักก็เบนออกไป แต่ครู่ต่อมา กล้องก็หันกลับไปยังเหอชิวเหมยอีกครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าตัวละครหลักนั้นสนใจเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเธอ
กริ่งดัง และเมื่ออาจารย์ออกไปจากห้อง ตัวละครหลักกำลังจะลุกขึ้นตอนที่ชิวเหมยจู่ ๆ ก็ผุดลุกขึ้น เธอตบหลังสือบนโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด พ่นหมากฝรั่งในปากออกมา แล้วก็หันไปหาตัวละครหลัก ดวงตาเกรี้ยวกราดของเธอและยังอารมณ์ร้อนวู่วาม ทั้งหมดที่ผู้ชมคิดก็คือเธอเป็นพวกอันธพาลและกำลังจะรังแกตัวละครหลัก เด็กหญิงชื่อชิวเหมยอ้าปากพูด “เธอเข้าใจที่เหล่าเฉาพูดก่อนหน้านี้ไหม? ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดอ่ะ?”
ตัวละครหลักส่ายหน้า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมได้ยินเสียงเธอ “ฉัน… หลับ…”
“ทำไมคนที่ดูเป็นเด็กเรียนถึงได้เป็นเด็กไม่ดีล่ะเนี่ย? ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ!” ชิวเหมยกวาดตามองรอบห้องและก็ต้องอารมณ์เสีย ไม่มีนักเรียนคนไหนในชั้นเรียนที่ดูน่าเชื่อถือเลย “กำลังจะสอบแล้ว แล้วถ้าฉันสอบตกอีกครั้งฉันก็ต้องเสียเวลาไปอีกปีนึง แล้วอย่างนี้ฉันจะเรียนจบเมื่อไหร่กันฮะ?”
“เธอ… อยากเรียนจบขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่มีใครอยากแก่หรอก แต่ว่าฉันก็ไม่อยากถูกทำเหมือนเป็นเด็กแล้วเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าฉันต้องเรียนจบปีนี้ให้ได้” ชิวเหมยยัดหนังสือทั้งหมดเข้ากระเป๋าและหยิบสมุดจดของตัวเองขึ้นมาอ่านทบทวน ท่าทีตั้งอกตั้งใจเรียนนี้ขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่ว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการแสดงของนักแสดง
นักเรียนเดินออกไปจากห้อง และชิวเหมยก็ยิ่งมายิ่งหงุดหงิด ในที่สุดเธอก็ตบสมุดจดลงที่โต๊ะอีกครั้งทำเหมือนกับว่าทำแบบนี้แล้วความรู้ในนั้นจะแตกกระจายและดูดซับได้ง่ายขึ้นอย่างนั้น
“ชะ สงสัยฉันคงต้องเริ่มจริงจังตั้งแต่วันพรุ่งนี้” หลังจากชิวเหมยเก็บของ เธอก็เดินออกไปจากห้องเรียนคนเดียว กล้องถ่ายตามหลังชิวเหมยไปก่อนที่มันจะขยับตามชิวเหมยออกไปจากห้องเหมือนกัน
“คุณเฉา พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายปี คุณช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอคะ?”
เสียงของหญิงชราคนหนึ่งดังมาจากตรงมุมบันได กล้องกดลงไปและมันก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งที่มีผมสีเทาจับแขนคุณเฉาอยู่ เธอพยายามจะยื่นตะกร้าที่มีผ้าสีดำคลุมเอาไว้ให้คุณเฉา
“ร่างกายของฉันก็แย่ลงไปทุกวันและฉันก็ไม่รู้เลยว่าพ่อของชิวเหมยจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เธอจะทำยังไง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันเกรงว่าเธอจะกลายเป็นเหมือนพ่อของเธอ”
“คุณป้าเหอ เก็บของของคุณไว้เถอะครับ ผมจะพยายามสอนชิวเหมยอย่างเต็มที่ แต่ว่าการเรียนน่ะไม่ใช่อะไรที่ทำได้สำเร็จด้วยความพยายามฝ่ายเดียว ผมรับรองกับคุณป้าไม่ได้จริง ๆ แต่ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณป้าดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้” คุณเฉาไม่รับตะกร้าของหญิงชรา
“ขอบคุณนะคะคุณเฉา” หญิงชรากลับออกไปหลังจากขอบคุณคุณเฉาซ้ำ ๆ ฝ่ายหลังขมวดคิ้วขณะมุ่งหน้าขึ้นบันไดมา ตัวละครหลักต้องการทำตัวปกติที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ตอนที่เธอลุกขึ้นมา เธอก็กระแทกเข้ากับบางอย่างด้านหลังเธอ
กล้องหมุน และใบหน้าของชิวเหมยก็ปรากฏขึ้นเต็มจอ!
ฉากนี้ทำให้คนดูนึกได้ว่าภาพที่บนจอนั้นคือภาพเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้
“แอบฟังคนอื่นคุยกันสนุกไหม?” ชิวเหมยพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นย่าของฉันเอง ยายแก่หัวรั้น”
“มัน… ดูเหมือนว่าคุณย่าจะดีกับเธอมาก”
“ก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ เธอไม่รู้หรอกว่าคุยกับย่ามันยากแค่ไหน ให้ฉันบอกเธอนะ ฉันดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว เดิมที แผนการก็คือหยุดเรียนและหางานทำเพื่อเลี้ยงดูพวกเราทั้งสองคน แต่ว่าย่าไม่ยอม เอาแต่ดึงดันว่าฉันต้องเรียนให้จบก่อน ฉันถูกบังคับให้ต้องรับปาก เธอก็เห็นว่าย่าดื้อแค่ไหน และฉันก็เลยมาอยู่ตรงนี้ไง” ชิวเหมยดึงกระจกเล็ก ๆ ออกมาส่องหน้าตัวเอง ถ้าไม่เพราะท่าทีแค้นเคืองโลกนี้นิด ๆ นั่นละก็ เธอคงจะเป็นเด็กสาวที่งดงามคนหนึ่งเหมือนกัน
ทันทีที่ชิวเหมยดึงกระจกออกมา กล้องก็ถอยไปด้านหลังทันที มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าตัวละครหลักกลัวที่จะมองเห็นตัวเองในกระจก
“เป็นอะไรน่ะ?” ชิวเหมยสังเกตเห็นปฏิกริยาประหลาดของเด็กหญิง “เธอเองก็แปลกเหมือนกัน ให้ฉันบอกเธอนะ อย่าเล่าให้ใครฟังว่าย่าของฉันมาที่โรงเรียน”
“ได้…” หลังจะหยุดไปครู่หนึ่ง ตัวละครหลักก็เสริม “เธออยากเรียนจบให้เร็ว ๆ เพื่อที่จะได้ออกไปหางานทำเพื่อเลี้ยงดูย่าของเธอ?”
ชิวเหมยเก็บกระจกลงไปแล้วเอนตัวเข้ามาใกล้จอมากขึ้นและผลักตัวละครหลักเบา ๆ “เธอเป็นใครจะมาสนใจเรื่องของฉันฮะ? อย่างเดียวที่เธอต้องสนใจก็คือปากของเธอ”
ชิวเหมยคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเดินลงบันไดไป ตอนที่เด็กสาวสองคนเดินผ่านกัน ตัวละครหลักก็กระซิบเบา ๆ “เธอไม่ห่วงย่าไม่ได้หรอกนะ ย่าเธอกำลังจะตายแล้วในไม่ช้า”
“เธอพึมพำอะไรของเธอ?” ชิวเหมยได้ยินที่เธอพูดไม่ชัดหรือไม่ก็ไม่ได้คิดจะฟัง
กล้องยังจับอยู่ที่ชิวเหมยตอนที่เธอเดินจากไป ตัวละครหลักพึมพำออกมาอีกครั้งแต่ชัดเจน “เธอจะไม่ได้ดูแลย่าเธอหรอก ดวงตาข้างซ้ายของฉันมองเห็นทุกอย่าง”