“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” เด็กหญิงที่ด้านล่างโบกมือให้อย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นสดใสและตื่นเต้นเหมือนเพิ่งมีบางอย่างที่ดีมาก ๆ เกิดขึ้นกับเธอ ตัวละครหลักไม่ตอบ บนจอแช่ภาพเดิมเอาไว้หนึ่งวินาทีเต็ม ๆ แสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าและความเย็นชา ก่อนที่ตัวละครหลักจะขยับไปปิดหน้าต่าง
ความรู้สึกมืดมนนั้นไม่ได้สลายหายไปหลังจากที่หน้าต่างถูกปิด กลับกัน มันคืบคลานอยู่รอบ ๆ ตัวละครหลัก มันยากที่จะบอกว่าผู้กำกับจับความรู้สึกเช่นนี้มาไว้ในจอได้อย่างไร แค่ความรู้สึกของการกลัวที่แคบ ๆ และถูกขังเอาไว้คนเดียวก็ทำให้หนังสั้นเรื่องนี้ดีกว่าเรื่องอื่น ๆ ในท้องตลาดเป็นอย่างมากแล้ว
ห้องเล็ก ๆ นี่ราวกับกรงขัง และหลังจากที่หน้าต่างถูกปิด มันก็ราวกับน้ำทะเลเย็นเยือกถูกเทเข้ามาในห้องแล้วท่วมทับตัวละครหลักให้จมลงไป กล้องหมุนไปรอบ ๆ ห้องอย่างไร้จุดหมายก่อนที่เสียงของเด็กหญิงคนเดิมจะดังมาจากข้างหลัง
“ชิวเหมย! ชิวเหมย!” กล้องค่อย ๆ หันกลับไป ใบหน้าของเด็กผู้หญิงแนบติดอยู่กับกระจก เธอกดหน้าแนบกระจกแน่นจนเครื่องหน้าของเธอบิดเบี้ยวเกินจะจดจำได้– มันราวกับเธอพยายามจะใช้ใบหน้าของตัวเองแทรกผ่านกระจกเข้ามา
“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” สีแดงของเสื้อแจ็กเกตนั้นสะดุดตา และมันก็ขัดกันอย่างประหลาดกับท้องฟ้าสีเทาที่เป็นพื้นหลัง ตัวละครหลักอาศัยอยู่ชั้นที่สี่ ตอนที่เธอมองออกไปก่อนหน้านี้ เด็กหญิงคนนี้ยืนอยู่บนพื้นชัด ๆ
แต่ว่า กับปรากฏการณ์ประหลาดนี้ ตัวละครหลักกลับดูไม่ตกใจ มันเหมือนเธอชินชาไปแล้ว กล้องขยับไปทางอื่นอย่างสงบ ในเมื่อหนังเรื่องนี้เล่าจากมุมมองของตัวละครหลัก กล้องจึงแทนการมองเห็นของตัวละครหลัก กวาดตามองผ่านโต๊ะรก ๆ และเสื้อผ้าสกปรกเกลื่อนพื้นไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอน
“ชิวเหมย ออกไปเล่นกัน!” ใบหน้าของเด็กหญิงยังแนบติดอยู่กับกระจกหน้าต่าง เสื้อแจ็กเกตสีแดงนั้นก็แผ่อยู่บนกระจกจนแสงที่ส่องผ่านมันมาเปลี่ยนเป็นสีแดงไปด้วย ลมหายใจของเธอเริ่มแรงขึ้น และจู่ ๆ ตัวละครหลักก็คว้ากรรไกรที่บนโต๊ะขึ้นมาชูขึ้นสูง
ในเมื่อนี่เป็นมุมมองบุรุษที่หนึ่ง มันจึงทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครหลักกำลังจะใช้กรรไกรแทงตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและยากที่จะตามการเปลี่ยนแปลงทัน
ปึ้ง!
ประตูห้องนอนถูกกระแทกเปิด และชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามา เขาคว้าข้อมือของตัวละครหลักเอาไว้แล้วฉวยเอากรรไกรไป
“ลูกกำลังจะทำอะไร?” กล้องหันไปทางด้านข้างแล้วหมุน ตัวละครหลักถูกผลักลงไปที่ข้างโต๊ะ
“ชีวิตของแม่ของลูกกับพ่อก็ไม่ง่ายแล้ว ลูกช่วยเลิกทรมานพวกเราเสียทีได้ไหม?”
ผู้ชมมองไม่เห็นสีหน้าบนใบหน้าของตัวละครหลัก แต่พวกเขาก็รับรู้สภาพตอนนี้ของตัวละครหลักได้จากท่าทีและสีหน้าของชายวัยกลางคน มนุษย์นั้นพิเศษ และความเชื่อมโยงเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะถ่ายทอดอยู่ในตัวทุกคน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เสียงฝีเท้ารีบร้อนมาถึง และหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ก้าวเร็ว ๆ เข้ามาในห้อง เธอดูโทรม และเมื่อสายตาของเธอจับไปที่ตัวละครหลัก เธอก็หน้าแดงก่ำขึ้นในพริบตา โดยไม่ได้พูดอะไร เธอเบียดตัวเองผ่านสามีไปโอบตัวละครหลักเข้ามากอดแน่น
“ลูกเห็นเธออีกแล้วเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าหากล้อง แต่ผู้ชมรู้ว่าเธอกำลังพูดกับตัวละครหลัก จากมุมนี้ ผู้ชมเห็นรายละเอียดสีหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของมารดาได้ชัดเจน มีความเจ็บปวด กระวนกระวาย วิตกกังวล… แต่ที่มากกว่านั้น คือเจ็บปวดใจ
ถึงจะไม่มีการตอบสนองจากตัวละครหลัก ตัวแม่ก็รู้คำตอบแล้ว และเธอก็กอดตัวละครหลักแน่นเข้าอีก
“ทำไมลูกถึงเป็นคนที่ถูกลงโทษ? พวกเราจะทำอะไรกับภาวะเจ็บป่วยนี้ได้บ้าง?” กล้องขยับออกจากมารดาและหันไปที่ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง เมฆดำลอยต่ำอยู่บนฟ้าเหมือนกำลังจะหล่นลงมาครอบคลุมโลกเอาไว้ ด้วยตาปิดลงช้า ๆ และโรงละครก็กลับไปสู่ความมืด
ผู้ชายคนนั้นดูกระวนกระวายมาก ขาของเขาเบียดชิดกันและเขาก็ถามเฉินเกอเบา ๆ “ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ? เครื่องฉายหนังเสียเหรอ?”
ก่อนที่เฉินเกอจะทันตอบ เสียงดนตรีประหลาดก็วนอยู่ในห้อง ดวงตากะพริบก่อนที่จะเปิดออกอีกครั้ง กล้องขยับ และตัวละครหลักก็นอนอยู่บนเตียงของเธอ ข้าง ๆ กันนั้นเป็นพ่อกับแม่ของเธอและผู้ชายคนหนึ่งที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่
ผู้ชายคนนี้ก้มตัวลง และเขาก็ยืนหันหลังให้ตัวละครหลัก ในเมื่อหนังถ่ายจากมุมมองตัวละครหลัก ก็เหมือนกันกับตัวละครหลัก ผู้ชมก็ไม่ได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้น
“คุณหมอคะ เหวินอวี้ป่วยเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเธอถึงเอาแต่พูดว่าเธอเห็นสิ่งประหลาดพวกนั้น?” แม่ของตัวละครหลักนั้นมีความเป็นห่วงฉายอยู่บนใบหน้า
“ใช่ คุณหมอ เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวผมครับ?”
“ผมไม่ใช่หมอครับ เป็นแค่คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้มาบ้าง ตอนนี้ยังไม่ต้องเป็นห่วง ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้ว” ผู้ชายคนที่ถูกเรียกว่าหมอนั้นมีเสียงที่เฉินเกอคุ้นเคย นี่เป็นความรู้สึกประหลาดเพราะว่าเฉินเกอไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักของเขาคนไหนเคยเล่นหนังมาก่อน
หมอทำท่าให้พ่อกับแม่นั่งลง “สถานการณ์ของเธอค่อนข้างพิเศษ และผมจะเล่าแนวความคิดเบื้องต้นของผมให้พวกคุณฟัง”
หมอดึงกระดาษจดสีดำออกมาจากกระเป๋า “คุณน่าจะรู้ว่ามนุษย์เราอาศัยอยู่ในมิติที่สามใช่ไหม?”
พ่อกับแม่ส่ายหน้า พวกเขาไม่รู้เลยว่าคุณหมอกำลังจะพูดถึงอะไร
หมอพลิกหน้ากระดาษจดและเจอหน้าที่เขาฉีกออกมาจากหนังสือเล่มอื่น “พูดให้ง่ายก็คือ มิติที่สามนั้นคือโลกนี้ที่พวกเราเหล่ามนุษย์ครอบครองอยู่ มีความยาว ความกว้าง และความสูง มิติที่สี่นั้นเพิ่ม เวลา เข้าไปจากพื้นฐานของมิติที่สาม อันที่จริง เงื่อนไขที่ขัดขวางพวกเราเข้าไปในมิติที่สี่ก็คือ ‘เวลา’ เพราะการมีอยู่ของเวลา มนุษย์ในมิติที่สามจึงถูกบังคับให้ต้องเลือกตัวเลือกเดียวในแต่ละครั้ง และตัวเลือกที่ถูกเลือกนี้ก็เป็นตัวเลือกที่แยกออกมาต่างหากโดยสมบูรณ์ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประสบการณ์แต่ละครั้งของมนุษย์นั้นคือโลกสามมิติที่แยกออกจากกัน และถ้าคุณเอาโลกสามมิติทั้งหมดมาวางเอาไว้บนแกนเวลา อย่างนั้นคุณก็จะสามารถสร้างโลกสี่มิติได้”
ไม่เพียงแค่พ่อแม่ของตัวละครหลักจะงุนงงกับถ้อยคำของหมอ กระทั่งเฉินเกอที่เป็นผู้ชมก็ถูกชักนำเข้าไปในวงเวียนนั้นด้วย แต่ว่า ชายตาบอดที่ข้างเขาจู่ ๆ ก็เงียบและสงบลง
“แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับภาวะเจ็บป่วยของลูกสาวของฉันคะ?” คนแม่นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับทฤษฎีของหมอมากนัก เธอแค่ต้องการรักษาลูกสาวของเธอ
“ผมจะบอกคุณอีกครั้ง ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วย มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายในแต่ละวันจากเรื่องเล็กขนาดการชนกันของอะตอมถึงเรื่องใหญ่อย่างการขยายตัวของอวกาศ และยังมีหลายสิ่งที่พวกเรายังอธิบายไม่ได้…”
“หมอครับ ทำไมคุณไม่แค่บอกพวกเราตรง ๆ ลูกสาวของพวกเราจะดีขึ้นหรือเปล่า? ต้องใช้ยาแบบไหน? สภาพการเงินครอบครัวของพวกเราไม่ดีนัก แต่เพื่อลูกสาวของพวกเรา พวกเรายอมทำอะไรก็ได้” พ่อของเด็กสาวตัดบทเขา พวกเขาแสดงได้เหมือนจริงจนไม่รู้สึกว่านี่เป็นหนังแต่ว่าเป็นบันทึกเหตุการณ์จริง
“ลูกสาวของคุณไม่ได้ป่วย ดวงตาของเธอก็แค่ประสบอุบัติเหตุ” หมอยังคงหันหลังให้ตัวละคร “โลกสามมิติที่เรียงอยู่บนแกนเวลาบางครั้งก็ซ้อนทับกัน และลูกสาวของคุณ ฉางเหวินอวี้ นั้นอยู่ตรงที่ที่สองโลกซ้อนทับกัน ดังนั้น เธอจึงมองเห็นสิ่งที่คุณมองไม่เห็น!”
หนังยังเล่นต่อ เฉินเกอมาที่นี่เพื่อภารกิจ แต่ว่าเขากลับจมดิ่งลงไปกับเนื้อหาของหนัง
ทำไมหมอกับพ่อแม่ของเธอเรียกชื่อตัวละครหลักว่าฉางเหวินอวี้? แต่ว่าผีที่นอกหน้าต่างเรียกเธอว่าชิวเหมย? แล้วก็ สิ่งที่หมอคนนี้อธิบายน่าสนใจทีเดียว ฉันคิดว่าฉันควรจะจำมันเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต