ตอนพิเศษ 2-5 ยอน ชิน

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

ความสั่นเครือผสมปนเปอยู่ในน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ยอนตะโกนเรียกด้วยความวิตกกังวลจนกระทั่งได้ยินเสียงแว่วว่ายุนตอบกลับมา ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมใช้มีดด้ามเงินทำสัญลักษณ์เลขสิบ (十) บนต้นไม้ใหญ่ทุกต้นด้วย 

 

 

“องค์รัชทายาท! องค์รัชทายาท!” 

 

 

“ต้องตอบอีกกี่รอบถึงจะได้ยินเนี่ย!” 

 

 

เสียงแว่วดังขึ้นจากข้างหลัง นางจึงหันหลังกลับด้วยความตกใจและเห็นองค์รัชทายาทที่ตนตามหาตลอดทั้งช่วงเย็นยืนทำสีหน้ารำคาญอยู่ ไม่นึกเลยว่าจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นใบหน้านี้ ยอนโผเข้ากอดคอยุนแล้วทำท่าจะร้องไห้ไม่รู้ตัว 

 

 

“บ้าไปแล้วหรือ เจ้า ฮึก ข้าตามหาตั้งนาน เจ้า… ฮึก เจ้า!” 

 

 

“นะ นี่ องค์หญิง ปล่อยก่อนแล้วค่อยพูดสิ” 

 

 

ยุนพูดตะกุกตะกัก แต่แทนที่จะปล่อย ยอนกลับดึงเข้ามากอดแรงขึ้นอีกเหมือนกับว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ ยุนจะหายตัวไปอีก แสงอัสดงที่อ่อนลงอำพรางใบหน้าแดงเถือกได้จนเจ้าตัวรู้สึกโล่งอก 

 

 

เดี๋ยวนะ โล่งอก… เริ่มมืด? หลังจากตั้งสติได้ยุนจึงตบหลังของคนสงบลง ไม่ได้อบอุ่นแต่ก็ไม่ได้รุนแรงเช่นกัน 

 

 

“องค์หญิง รีบไปกันเถอะ ตะวันตกดินแล้ว” 

 

 

ยอนเงยหน้าขึ้นมาและปล่อยยุน ก่อนจะเริ่มเดินนำหน้าออกไปทันที ช่วงเวลากลางคืนในภูเขาย่างกรายเข้ามาหาทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน ทว่าเด็กที่เพิ่งเคยมาภูเขาเป็นครั้งแรกไม่มีทางรู้เรื่องนั้นอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำ หยดน้ำเล็กๆ ยังร่วงแหมะลงมาบนหน้าผากของยุนอีก 

 

 

“องค์หญิง เดี๋ยวก่อน ฝนตกนี่นา” 

 

 

ยุนคว้าข้อมือของยอนที่เดินนำหน้า ยอนเองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน 

 

 

“ทำอย่างไรดี มองไม่เห็นต้นไม้เลย ข้าทำสัญลักษณ์บอกทางไว้แล้วนะ” 

 

 

“ถ้างั้นตามมาก่อน” 

 

 

ยุนกลับไปทางเดิมที่มาและแหวกฝ่าพงหญ้าตามสัญชาตญาณ โดยที่อีกมือยังจับยอนแน่นไม่ให้หลุด 

 

 

“ตรงนู้น รีบเข้าไปเร็ว” 

 

 

ใต้หินที่ยื่นออกมาตรงนั้นมีขนาดพอให้ผู้ใหญ่นอนได้สองคน แม้มันแคบเกินกว่าจะเรียกว่าถ้ำ แต่ก็ใหญ่พอจะบังตัวเด็กน้อยสองคนได้ 

 

 

ทั้งคู่จับจองตรงพื้นที่แห้งและนั่งลง ทันใดนั้นฝนก็เริ่มตกซู่ลงมาเสียงดัง กลิ่นหญ้าเปียกฝนและกลิ่นฝนเย็นสบายปกคลุมทั่วทุกทิศทาง ยอนนั่งกอดเข่ามองดูสายฝนเทลงมาสักพักใหญ่ จากนั้นก็ควานหาอะไรบางอย่างในอกเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ 

 

 

“ทานนี่ก่อนเถิด” 

 

 

มันคือเนื้อตากแห้งที่เตรียมมาจากกระท่อม ยุนรับมันมาและกัดไปหนึ่งคำก่อนจะส่งคืนให้ยอน ตอนนั้นจึงสังเกตเห็นไหล่ของอีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อย 

 

 

“ช่างไม่อร่อยเอาเสียเลย เจ้าเอาไปกินเถอะ” 

 

 

“แล้วแต่นะเจ้าคะ” 

 

 

ยอนไม่ชวนให้กินอีกและเริ่มกัดฝั่งที่ยุนไม่ได้กิน ระหว่างนั้นในหัวก็คิดถึงแต่พี่ชาย เจ้าโง่นั่นคงจะไม่ได้หลงทางใช่หรือไม่ คงจะกลับไปก่อนที่ฝนจะตกใช่หรือไม่ แต่แล้วก็มีบางอย่างอุ่นๆ คลุมบนไหล่คนเคี้ยวเนื้อตากแห้งที่ไม่รู้สึกถึงรสชาติใดๆ อยู่ 

 

 

“อะไรหรือ” 

 

 

“ข้าร้อน แต่ถ้าวางไว้บนพื้นก็กลัวว่ามันจะเปื้อน ฝากเจ้าไว้หน่อยแล้วกัน” 

 

 

ยุนตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้นแล้วเปลี่ยนท่านั่งเป็นเหมือนยอน ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ หลังจากนั่งอยู่อย่างนั้นและจ้องมองออกไปข้างนอกอันมืดสนิทสักพักใหญ่ ยอนก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน 

 

 

“ไปอยู่ที่ไหนมาหรือ” 

 

 

“ตรงนี้” 

 

 

“ตรงนี้?” 

 

 

“อืม ข้าตั้งใจว่าจะงีบหลับสักหน่อยแล้วค่อยกลับไป” 

 

 

นี่ข้าตามหาเขาด้วยความเป็นห่วงโดยที่ไม่รู้อะไรเลยสินะ ยอนรู้สึกโกรธขึ้นมาเงียบๆ ในใจและกำหมัดเล็กๆ เพราะว่าอยู่กันแค่สองคน ตอนนี้น่าจะต่อยได้ไม่เป็นไร ทว่ายุนเองก็ไม่ยอมโดนเป็นครั้งที่สอง เขาจับข้อมือยอนทันทีเมื่อเห็นนางยกกำปั้นขึ้นมา 

 

 

“ปล่อยเจ้าค่ะ แตะต้องตัวองค์หญิงได้อย่างไร” 

 

 

“เมื่อกี้เจ้าจะตีข้าด้วยนี่นา เอาแต่คอยบอกให้ข้าทำอย่างนู้นทีอย่างนี้ทีอยู่เรื่อย” 

 

 

“หม่อมฉันว่าอะไร” 

 

 

“เมื่อกี้พูดจาเป็นกันเอง แล้วตอนนี้ก็มาพูดจาสุภาพ เลือกเอาสักทางเถอะ ข้าสับสน” 

 

 

“จะสับสนก็เรื่องขององค์รัชทายาทเถิด” 

 

 

“เลิกเรียกว่าองค์รัชทายาทได้แล้ว ข้าชื่อยุน ยูยุน” 

 

 

“แล้วตกลงจะให้เรียกว่าอะไรกันแน่” 

 

 

เป็นองค์รัชทายาท แต่ไม่ให้เรียกว่าองค์รัชทายาทเนี่ยนะ ที่ยอนโต้เถียงกลับไปไม่ใช่ว่าไร้เหตุผล แต่เขาเคยบอกด้วยว่าไม่ให้เรียกชื่อตามอำเภอใจด้วยไม่ใช่หรือ 

 

 

“ข้าอายุมากกว่าหนึ่งปีก็ต้องเรียกว่าท่านพี่สิ ไหนลองเรียกสิ ท่านพี่ยุน” 

 

 

ท่านพี่งั้นหรือ ช่างน่าขำสิ้นดี ยอนขี้เกียจตอบอะไรกลับไปอีกจึงหันกลับไปกินเนื้อตากแห้งและเอาคางชันเข่าเหมือนเดิม ร่างกายหนาวเย็นเพราะเปียกฝนค่อยๆ อุ่นขึ้นจากอุณหภูมิร่างกายที่ส่งมาจากข้างๆ  

 

 

“ยูยุน” 

 

 

ยอนมองดูฝนที่ตกลงมาสักพักแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ยูยุน ฟังดูดีพิกล 

 

 

“บอกว่าให้เรียกท่านพี่ไง องค์หญิง” 

 

 

“อียอนต่างหาก” 

 

 

“เรื่องมากจริงๆ ” 

 

 

“เจ้าเริ่มก่อนนะ” 

 

 

“เด็กผู้หญิงนี่ช่างอารมณ์ร้อนเสียจริง” 

 

 

ยุนบ่นพึมพำและเรียกชื่อว่าอียอนเบาๆ จะว่าไปข้าจับข้อมือนางตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนี่นา เขาค่อยๆ ปล่อยมือ แต่ยอนกลับคว้ามือเขาอย่างรวดเร็วและประสานมือเข้าด้วยกัน 

 

 

“ทำ ทำอะไรน่ะ!” 

 

 

“ถ้าหนีไปที่ไหนอีกจะทำอย่างไรเล่า” 

 

 

ยอนพูดเสียงแข็งและเพิ่มแรงจับประสานกันขึ้นอีก มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน จู่ๆ ยุนก็รู้สึกประหม่ากับการหายใจและกลืนน้ำลาย ประสาทการรับรู้ทั้งหมดของเขาพุ่งตรงไปที่มือขวาที่ประสานกับยอนแน่น ส่วนหัวใจก็เต้นตึกตักราวกับจะเด้งออกมา 

 

 

ฝนไล่ช้างที่ตกซู่ลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ยุนกำลังประหม่าอยู่จนไม่สังเกตถึงเรื่องนั้น ดังนั้นเขาจึงตกใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักเบาๆ ที่กระทบลงบนไหล่ข้างขวา 

 

 

“นี่ อียอน” 

 

 

ลองเรียกเบาๆ  แต่คนที่เดินทั่วภูเขาทั้งช่วงเย็นก็ไม่ตื่นง่ายๆ ทำอย่างไรดีล่ะ ระหว่างที่ยุนกำลังสับสนมึนงงอยู่นั้น ยอนก็ปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อให้พิงได้สบายยิ่งขึ้น 

 

 

“เป็นองค์หญิง แล้วคิดจะนอนที่ไหนก็ได้เหรอ” 

 

 

แม้จะบ่นเบาๆ แต่หัวใจเต้นแรงก็ยังไม่สลบลงง่ายๆ เขามองตรงไปข้างหน้าทั้งที่ตัวยังแข็งทื่อ แต่ไม่รู้ทำไมเสียงหายใจแรงถึงทำให้อารมณ์ดี ขณะเงี่ยหูฟัง ความประหม่าก็ค่อยๆ คลายลงพร้อมกับเปลือกตาที่เริ่มหนักขึ้น นอกจากนั้นแล้วศีรษะของยอนบนไหล่ก็อยู่ในมุมที่ดีให้ยุนได้พิงกลับเช่นกัน หลังจากสัปหงกสักพัก ผ่านไปไม่นานยุนก็ผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น 

 

 

 

 

 

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นแสงรุ่งอรุณกำลังสว่างไสวจากที่ไกลๆ ยุนขยับตัวด้วยความสะลึมสะลือ ซึ่งนั่นทำให้ศีรษะของยอนจะกลิ้งตกลงมา เขาจึงรีบประคองและจัดท่าทางให้ดี ความนุ่มนิ่มบนแก้มขาวที่มือสัมผัสก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ผิวนุ่มละมุนยิ่งกว่าผ้าไหมบางนำเข้ามาจากดินแดนฝั่งตะวันตก หลังจากขยับไปมาสักพักก็เริ่มอยากลูบขึ้นมา แล้วพอได้ลองค่อยๆ ลูบก็… 

 

 

“ทำอะไรน่ะ” 

 

 

ยอนลืมตาโพลงขึ้นมาในจังหวะที่ริมฝีปากของยุนแตะบนแก้มขาวเบาๆ จะแก้ไขสถานการณ์นี้ยังไงดีเล่า และสิ่งที่ยุนเลือกจากบรรดาแผนรับมือทั้งหมดในหัวก็คือความหน้าด้านหน้าทน 

 

 

“เห็นแล้วไม่รู้หรือไง” 

 

 

“นี่เจ้า กล้าดียังไงถึง!” 

 

 

“ท่านพี่ บอกให้เรียกว่าท่านพี่ไง เลิกใจร้ายได้แล้ว เดี๋ยวข้ารับผิดชอบก็ได้” 

 

 

“จะรับผิดชอบอะไร” 

 

 

“รับผิดชอบก็คือรับผิดชอบไง” 

 

 

“ก็บอกมาดีๆ สิว่าจะรับผิดชอบอะไร”