TB:บทที่ 285อู๋ ไท่เต๋า

 

หลังจากที่กลับบ้านไป เป็นธรรมดาที่เฉินหลงจะกลับไปหาครอบครัวเขา

อีกอย่างคือ นี่ถึงเวลาจะต้องเตรียมการงานแต่งงานแล้ว

 

แม้ว่าจะยังมีเวลาอีกมากกว่าสามเดือน แต่เฉินหลงก็ยังต้องหารเวลาจำนวนมากเพื่อเตรียมงานแต่งงานที่จะไม่มีวันลืมเลือนให้จี้โม่ซี

อีกสิ่งหนึ่งคือเฉินหลงสัญญากับเฉินยี่ น้องสาวของเขาไว้ว่าเขาจะให้ของขวัญหากว่ามหาลัยรับเธอเข้าเรียนแล้ว

สำหรับเรื่องนี้เฉินยี่ได้ขอเฟอรารี่สี่แปดแปดแบบพับเก็บหลังคาได้มา

ในตอนนี้คำขอของเฉินยี่นั้นเฉินหลงทำให้ได้อย่างง่ายดาย

 

ขณะเวลาผ่านไป วันงานแต่งของเฉินหลงก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ งานแต่งงานที่ยากจะลืมเลือนที่สุดที่เฉินหลงเตรียมไว้ให้จี้โม่ซีเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

เนื่องจากเฉินหลงและจี้โม่ซีมาจากทางใต้ของจีน ดังนั้นก่อนเวลาหนึ่งวัน เฉินหลงจะแต่งงานกับจี้โม่ซีด้วยความหรูหราโดยมีขบงนรถแต่งงาน

 

ในกลุ่ม รถอย่าง โรลซรอยซ์ เบนท์ลีย์ บูกาติ แลมโบกินี่ เฟอร์รารี่และต่างๆ จะมีอยู่ในขบวนเป็นสิบๆคัน ช่างเท่จริงๆที่รถพวกนี้ไม่มีแบบอื่น

หลังจากที่จัดงานแต่งอย่างจีนในบ้านเกิดไปแล้วเฉินหลง จี้โม่ซี และครอบครัวของพวกเขาก็มาถึงในเมืองหลวงก่อนวันที่หนึ่งตุลาคม คนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเฉินหลงมายังเมืองหลวงเพื่อเฉลิมฉลองในงานแต่งงานของเขา

ด้านนี้ของเมืองหลวงยังมีกลุ่มขบวนรถหรูอยู่ รถพวกนั้นกำลังพาเจ้าสาวจี้โม่ซีไปในเมืองหลวง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี

สถานที่ที่จัดงานแต่งนั้นคือตึกเว่ยหลงเป็นธรรมดา ที่แห่งนี้เป็นบ้านของเขา เขาจะทำอะไรก็ตามที่เขาอยาก

 

ตึกเว่ยหลงชั้นแรกได้ตกแต่งให้โอ่อ่าเป็นที่สุด จี้โม่ซีสวมชุดแต่งงานหรูหราที่ตัดมาเป็นพิเศษเพื่อเธอ นั่นทำให้เธอดูสวยงามยิ่งกว่าเดิมและดูมีมิติ สุดท้ายแล้วในใจของผู้หญิงทุกคนก็ฝันไว้ว่าจะใส่ชุดแต่งงาน

เมื่อพิธีกรกล่าวให้ทั้งคู่แลกแหวนกัน ทั้งเฉินหลงและจี้โม่ซีหยิบแหวนที่เตรียมไว้ออกมาและสวมใส่นิ้วให้กันและกัน

แน่ล่ะว่า หากว่านี่คือวิธีเดียวที่จะจบงานแต่งนี้แล้ว เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมงานนี้มากกว่าสามเดือนหรอก

“ตอนนี้โปรดนำ เครื่องสวมหัว “นิวเวิร์ล” แบบพิเศษออกมาเพื่อเป็นสักขพยานแก่ความรักของบ่าวสาวด้วยครับ” หลังจากที่พิธีกรกล่าวจบ เจิ้งอี้และเพื่อนของเขาหยิบหมวกสวมหัว “นิวเวิร์ล” ออกมาทีละอันและยื่นให้กับแขกในงานแต่ง

 

เมื่อแขกสวมหมวกสวมหัวแล้ว พวกเขาพลันพบว่าตนอยู่ในสถานที่สวยงาม ราวกับเป็นเทพนิยาย ที่นั่นพวกเขาเห็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นเมามายออกมา มีก้อนหินที่เป็นสีชมพูแสดงความรักแบบทั่วไป

จากนั้นพวกเขาก็พบว่าบนหัวของพวกเขา เฉินหลงและจี้โม่ซีเป็นเหมือนเทพเจ้าและนางฟ้าคู่รัก พวกเขาจับมือกันและโบยบินอย่างอิสระบนฟากฟ้า

ในตอนนั้นเองที่มีแสงสว่างหลากสีกระพริบพร่างไปทั่วท้องฟ้า ทันใดนั้นดอกไม้สีแดงจำนวนมากก็หล่นลงมา และเสียงเพลงดังขึ้นในทันที เฉินหลงและจี้โม่ซีเต้นรำตามเพลงนั้นท่ามกลางฝนกลีบดอกไม้

 

เป็นเวลาช่วงครู่หนึ่งที่แขกทั้งหมดเบื้องล่างนั่นต่างตราตรึงใจ

เมื่อเพลงจบลง เฉินหลงและจี้โม่ซีก็จุมพิตลุ่มลึก

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ที่แห่งนั้นก็เป็นเพียงภาพเสมือน สองชั่วโมงต่อมา เฉินหลงและพวกแขกก็กลับสู่ความเป็นจริง

ไม่ว่าอย่างไร ถึงแม้จะกลับสู่ความเป็นจริงแล้ว แต่ฉากใน “เทพนิยาย” ก็ไม่พอให้แขกหายตราตรึงไปได้

ในขณะนั้น ชายที่ทำลายเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น

 

“นี่เป็นไวน์ประเภทไหนกัน ช่างเบาเหลือเกิน นี่ฉันมาเดินทางมาตั้งไกลเพื่อเข้าร่วมงานแต่งของนาย แต่นายกลับให้ไวน์นี่กับฉัน ไม่ใช่ว่าดูถูกกันหรือไง”

ชายตัวใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ร่างทั้งร่างสกปรก ที่เอวมีมีดผูกด้วยเชือกป่านอยู่ เขาดูเหมือนชายในช่วงอายุสี่สิบปี เขากล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ชายคนนี้คือไท่เต๋า อู๋ไท่เต๋า ผู้อาวุโสแห่งสำนักสุดยอดดาบ แม้ว่าพลังของเขาจะถึงระดับ “เหนือธรรมชาติ” แต่ความจริงแล้ว ฉีของชายคนนี้ไม่ได้สูงมากไปกว่าเด็กแปดขวบ

 

จึงพูดได้ว่า เนื่องจากสมองของเขาไม่สมบูรณ์ สติของเขาจึงปราศจากการรบกวน เขาจึงท่องไปกว่าพันไมล์ในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้และได้มีพลังถึงระดับ “พลังเหนือธรรมชาติ” ตอนอายุสี่สิบห้าปี เช่นเดียวกันนั้น หากว่าไม่ใช่เพราะจิตใจเขาที่ทำให้ผู้คนพูดอะไรไม่ออกแล้ว หัวหน้าคนต่อไปคงจะเป็นอู๋ไท่เต๋า

 

เมื่อเห็นอู๋ไท่เต๋าแล้ว เฉินหลงรู้ว่าชายคนนี้จะต้องอยู่ที่นี่เพื่อก่อปัญหาอย่างแน่นอน

“คุณผู้ชายคนนี้ มาเพื่อเข้าร่วมงานแต่งของเฉินหลง เป็นธรรมดาที่เฉินหลงจะซาบซึ้งใจ แต่ผมจำไม่ได้ว่าชื่อคุณอยู่ในรายชื่อแขก” วันนี้ช่างเป็นวันที่เยี่ยมยอดสำหรับเฉินหลง เฉินหลงไม่ต้องการจะใช้กำลัง

“หากว่านายไม่ได้เชิญฉันมา นายดูถูกฉันใช่ไหม” เมื่อเขาได้ยินว่าเฉินหลงไม่ได้เชิญเขามาแล้วอู๋ไท่เต๋าไม่ชอบใจนัก

เขาเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาอย่างดีในสำนักของเขา แต่ลุงที่เป็นนักสู้เจ้าสำนัก ได้กล่าวว่ามีคนชวนเขามาดื่มอู๋ไท่เต๋าจึงรีบเร่งไปยังจุดหมายด้วยความรวดเร็ว

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือไวน์ที่นี่ช่างดื่มได้ยากเย็น และชายคนนั้นไม่ได้เชิญเขามา เขาจะต้องเก็บไวน์ดีๆไว้ให้ตัวเองดื่มแน่ เป็นธรรมดาที่อู๋ไท่เต๋าจะไม่ชอบใจเมื่อเขาคิดเช่นนั้น

“ผมไม่ได้เชิญคุณมา ผมไม่รู้จักชื่อคุณด้วยซ้ำ ผมจะไปเชิญคุณได้อย่างไร” เฉินหลงพยายามจะยั้งตัวเองไว้

“ทำไมละ คุณอยากจะดื่มหรือ ผมจะพาไปดื่มทีหลังนะ ได้ไหมละ”

“ไม่ละ แน่นอนว่าไม่ หัวหน้าสำนักบอกว่านายเชิญอู๋ไท่เต๋ามาดื่มนะ นายไม่ยอมรับได้อย่างไร บัดซบที่นี้ไม่สมเป็นงานรื่นเริงด้วยซ้ำ”อู๋ไท่เต๋าเริ่มจะคุมอารมณ์ไม่ได้

 

ท้ายที่สุดแล้วอู๋ไท่เต๋าก็เป็นปรมาจารย์ระดับ “เหนือธรรมชาติ” เมื่อเขาพูดอะไร พลังฉีที่ทรงพลังก็จะปะทุออกมา

เมื่อได้ฟังชื่ออู๋ไท่เต๋าอู๋ห่าวจึงไปหาเฉินหลงและบอกตัวตนของอู๋ไท่เต๋ากับเฉินหลง รวมทั้งเรื่องไอคิวของอู๋ไท่เต๋าด้วย

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินหลงโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “คนของ “สำนักสุดยอดดาบ” นี้ เป็นพวกที่ร้ายกาจเสียจริง พวกเขาไม่กล้าจะเข้ามาหรอก พวกเขาแค่เป็นพวกที่ควรรังเกียจตัวเอง นี่เหมือนกับหมาจริงๆ”

 

“กลายเป็นว่าคนคนนั้นคือผู้อาวุโสไท่เต๋า ผมไม่รู้จักคุณ ผมไม่ได้เชิญคุณมาดื่ม บางทีอาจจะเป็นอาจารย์ของคุณที่แกล้งคุณเล่น แต่อย่างไรเสียคุณก็อยู่ที่นี่แล้ว และผมให้คุณได้ดื่มดีๆแน่ๆ” เฉินหลงเดินไปหาอู๋ไท่เต๋า หลังจากที่เขาเดินเข้าขอบพลังกดดันของของอู๋ไท่เต๋าแล้ว เขายังคงเข้าไปหาอีกโดยไม่ได้รู้สึกอะไร

 

เขาเดินมาหากล่องกระดาษที่ใส่ไวน์ไว้ เฉินหลงนั่งยองลงอย่างสุขุมและจับกล่องนั้น เฉินหลงหยิบเหยือกจินและไวน์ยี่สิบเหยือกออกมา

ไวน์นี้จริงๆแล้วเฉินหลงซื้อมาจากอาณาจักรคุนหลุน ไวน์นี้เรียกว่าไวน์คุนหลุน

เนื่องจาก “อาณาจักรคุนหลุน” เต็มไปด้วยกลิ่นอาย ไวน์ที่กลั่นจากพืชพรรณที่นั่นจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและมีกลิ่นอายบางอย่าง

 

สำหรับของที่ดีแบบนี้จึงเป็นปกติที่เฉินหลงจะไม่ปล่อยให้ใครไป

ยิ่งไปกว่านั้น คนของคุนหลุนใน “อาณาจักรคุนหลุน” ยังสูงกว่าสามหรือสี่เมตรคล้ายแต่ละคนกับเป็นยักษ์ เหยือกจินและไวน์ยี่สิบเหยือกจึงเป็นเหมือนแก้วสำหรับพวกเขา

ในที่เก็บของเฉินหลงมีไวน์ที่เหยือกใหญ่กว่าอยู่ เขาไม่ได้เอาออกมาเพราะเกรงว่าจะไปทำให้คนอื่นกลัว

แต่อย่างไรก็ตาม เหยือกไวน์นี่ก็พอจะเรียกความสนใจอู๋ไท่เต๋าได้