ตอนที่ 747 ตัดขาดความสัมพันธ์(2)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

ตอนที่ 747 ตัดขาดความสัมพันธ์(2) โดย Ink Stone_Romance

 “ไป๋ซู่เย่ ผมถามคุณอีกครั้งเดียว—ลูก ของ ผม ล่ะ?” เย่เซียวกดเสียงถามเน้นทุกคำ

มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนเริ่มสั่นเทาเผยให้เห็นเส้นเลือดปูดโปนตรงช่วงลำแขน

ทุกอย่างนี้กำลังแสดงให้เห็นถึงอารมณ์คุกรุ่นที่เขาระงับไว้ในขณะนี้

 “แท้งไปแล้ว…” ครู่ใหญ่ไป๋ซู่เย่ถึงพูดออกมาเสียงลอยๆ จรดสายตามองพื้นอย่างไร้แสงประกาย เสียงนั่นเหมือนหมอกควันที่พร้อมจะสลายทุกเมื่อที่ลมพัดมา

แต่กลับเป็นเหมือนมีดคมที่ปักแทงลงกลางอกของเย่เซียว เขาตัวสะท้านรุนแรง “คุณ…คุณพูดอีกที!”

 “แท้งไปแล้ว!ทำแท้งไปแล้ว!ลูกไม่อยู่แล้ว!คุณพอใจหรือยัง?” เธอเริ่มควบคุมไม่ได้ พูดถึงประโยคท้ายเสียงแหบแห้งและแทบจะเป็นการตวาด เสมือนได้ปลดปล่อยทุกหยาดอารมณ์ที่ระงับไว้อย่างยากลำบากให้วินาทีนี้ระเบิดออกมาทั้งหมดยามเผชิญหน้ากับเสียงคำถามของเย่เซียว “เย่เซียว คุณไปแต่งงานตามสบาย ฉันไม่มีทางรบกวนพวกคุณ…ไม่มีทางตลอดชีวิต…”

 ‘แท้งไปแล้ว’ คำนี้ทิ่มแทงหัวใจเธอไม่หยุดหย่อน ไม่ได้เบาไปกว่าความเศร้าเสียใจเมื่อสูญเสียลูกไปเท่าไร…

เย่เซียวตาแดงก่ำใช้มือใหญ่บีบคอระหงส์เธอไว้ทีเดียว จับตัวเธอโยนให้กระแทกกำแพงแรงๆ เส้นเลือดตรงหน้าผากเขาเต้นตุบๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงโกรธเกรี้ยว “คุณเชื่อมั้ยว่าตอนนี้ผมฆ่าคุณได้?”

เขาโกรธจนเสียงยังสั่น มือยิ่งไม่ได้ผ่อนแรงลงสักนิด ผู้หญิงคนนี้กล้าฆ่าลูกของเขา!ฆ่าลูกของพวกเขาสองคนได้อย่างใจเย็นเช่นนี้!ลูกคนแรก!

ไป๋ซู่เย่รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายด้วยน้ำมือเขาเพราะใบหน้าดวงเล็กที่ขาดอากาศหายใจจนเริ่มเปลี่ยนสี แต่เธอไม่ได้ขัดขืนเพียงแค่ปล่อยให้เขาบีบคอตัวเองต่อไปอย่างตายใจ

คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมาเห็นฉากนี้ล้วนไม่กล้าส่งเสียง กระทั่งเห็นถังซ่งวิ่งมาจับมือเขา “เย่เซียว รีบปล่อย อยากให้คนตายหรือไง?!”

เย่เซียวกลับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

ดวงตาแดงก่ำจ้องไป๋ซู่เย่ไม่ห่าง เริ่มรื้นด้วยน้ำใสช้าๆ ช้าๆ

ไป๋ซู่เย่เห็นภาพนั้นเองกับตารู้สึกเหมือนโดนอาวุธหนักๆ กระแทกที่หัวใจอย่างฉับพลัน แรงสะเทือนที่ทำเอาเธอเจ็บสะท้านไปทั้งอวัยวะภายใน

น้ำตากลิ้งลงจากตาตามโดยไม่รู้ตัว

 “ไป๋ซู่เย่…ผมเย่เซียวนี่มันบ้าจริงๆ ถึงได้ควักหัวใจมาไว้ในมือคุณครั้งแล้วครั้งแล้ว ปล่อยให้คุณย่ำยี ปล่อยให้คุณทำลายมัน!” เสียงของเขาราวกับหัวใจแตกสลาย เขาที่เคยชินกับการมองคนราวกับอยู่เหนือกว่าและเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ครั้งนี้กลับรู้สึกท้อแท้พ่ายแพ้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ปากของเขาแทบจะชิดติดปลายจมูกเธอ เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจเย็นเข้ากระดูกของเขา ปากบางกำลังสั่น เสียงก็สั่นอย่างรุนแรง “คุณทำให้ผมแพ้อีกแล้ว…แพ้ไม่เหลือชิ้นดี!”

มือของเขาคลายจากลำคอเธอช้าๆ เจ้าตัวก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวและยืนทรงตัวแทบไม่ไหว

เธอได้หายใจเต็มปอดเสียทีแต่สองขากลับอ่อนแรงหลังแนบกำแพงแต่ก็ยังยืนไม่มั่นคง

แค่หายใจทีเดียวเจ้าตัวก็ทรุดตัวลงตามกำแพงล้มนั่งอยู่บนพื้นเย็น

น้ำใสในตาเย่เซียวได้หายไปแล้ว เหลือเพียงความเย็นชา เขาก้มมองเธอด้วยสีหน้าที่เย็นชาไร้ความปราณียิ่งกว่าครั้งไหนๆ “ตั้งแต่วันนี้ไประหว่างคุณกับผมตัดขาดกัน!จากนี้ไม่ว่าคุณไป๋ซู่เย่จะเป็นจะตาย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับผมเย่เซียวอีก!”

ไป๋ซู่เย่หอบหายใจ น้ำตาเอ่อล้นมองเย่เซียวอย่างน่าสงสาร อยากจะพูดบางอย่างแต่หัวใจเหมือนมีก้อนสำลีอุดไว้พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เย่เซียวมองเธอเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นหันหลังเหลือเพียงแผ่นหลัง

 “เย่เซียว!” ถังซ่งเรียกเขาทีหนึ่งแล้วมองไป๋ซู่เย่ที่นั่งล้มกับพื้นแวบหนึ่ง

โน้มตัวประคองตัวเธอขึ้น มองเธอนิ่งๆ แวบหนึ่ง“ถึงจะไม่สนเรื่องพวกคุณว่าจะทำอะไรกันบ้าง แต่ว่า…ครั้งนี้ คุณทำร้ายเย่เซียวเข้าแล้วจริงๆ”

ไป๋ซู่เย่หลังแนบกำแพงพลางรู้สึกเพียงวิงเวียนศีรษะ เธอไม่ได้ฟังคำพูดของถังซ่งเลย มีแค่ประโยคของเย่เซียวที่ว่า ‘ตัดขาดกัน’ก้องกังวานในหัวไปมา …

เขาเคยบอกว่า

–ถ้าคุณกล้าตาย ผมจะไปพลิกนรก!

ตอนนี้เขากลับพูดว่า

–ต่อจากนี้ไม่ว่าคุณไป๋ซู่เย่จะเป็นจะตาย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับผมเย่เซียวอีก!

ไม่เกี่ยวข้องอีก…

กัดทึ่งหัวใจเธอทุกคำ

เธอลากตัวที่หนักอึ้งเดินสะเปะสะปะไปทางห้องพักผู้ป่วย หลายครั้งที่เกือบจะล้มแต่มีคนใจดีที่เดินผ่านมาช่วยประคอง

 “คุณ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” มีคนถามอย่างเป็นห่วง

เธอส่ายศีรษะ อยากบอกเหลือเกินว่า ‘ไม่เป็นไร’

จะเป็นอะไรได้ล่ะ? สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นตอนที่ตกเลือดรุนแรงเมื่อคืน ตัวเองนอนบนเตียงอันเย็นเฉียบนั่นเพียงลำพัง สองขาถูกแยกเพื่อให้เครื่องมือสอดเข้ามาคว้านร่างกาย

ความเจ็บแบบนั้นยังทนมาได้ แล้วมีอะไรที่เธอทนไม่ได้อีก?

แต่…ต่อให้เป็นอย่างนั้นแค่คำง่ายๆ เธอก็หมดสิ้นแรงที่จะพูดให้ครบประโยค ปากบางขาวซีดอ้าพะงาบ เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงร้องไห้แหบแห้ง

 “คุณ? คุณ คุณเป็นยังไงบ้าง?”

สุดท้ายได้ยินเสียงของคนแปลกหน้า ภาพตรงหน้าเธอดำมืด หมดสติไม่รู้สึกตัวอีก

ชั่วขณะนั้น…

เธอคิดว่านอนไปอย่างนี้เถอะ นอนไปอย่างนี้…อย่างน้อยก็ไม่เจ็บมาก…

……………………

เวลาเพียงหนึ่งวันที่เย่เซียวบินกลับประเทศ S จากประเทศ T แล้วบินกลับประเทศ T จากประเทศ S

เขาขังตัวเองไว้ในห้องและไม่ออกมาอยู่ช่วงใหญ่

ถังซ่งนั่งบนโซฟาแหงนหน้ามองไปชั้นบนหลายครั้ง เขาเป็นห่วงจริงๆ ว่าเรื่องนี้จะสะเทือนจิตใจเขาเกินไปจนกระทบต่อหัวใจที่อ่อนแอดวงนั้นของเขา คุณแม่เย่ที่นั่งอยู่ชั้นล่างนิ่งนั่งก้นไม่ติดเบาะ เดินวกไปวนมาที่ห้องโถงหลายครา รอจนถึงกลางดึกเที่ยงคืนสุดท้ายก็รอไม่ได้ หยิบกุญแจขึ้นไปชั้นบน

 “เย่เซียว” เธอเคาะประตู

ข้างในไร้เสียงเคลื่อนไหว

 “เย่เซียว แม่เอง ลูกเปิดประตู”

“…” ข้างในกลับเงียบสงัดอย่างเคย

คุณแม่เย่ทนต่อไปไม่ไหว ใช้กุญแจเปิดประตู

ข้างในมืดสนิท

ผ้าม่านหน้าต่างทุกบานปิดมิดชิดไม่ให้แสงจันทร์ผ่องข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาเพียงนิดราวกับว่าโลกของเขาภายในห้องนี้เหลือเพียงวันมืดมนไร้แสงอาทิตย์…

อากาศนอกจากกลิ่นควันบุหรี่ก็เป็นกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้ง

คุณแม่เย่ยืนอยู่หน้าประตูอาศัยแสงที่ลอดเข้ามาเพียงนิดพอจะเห็นเย่เซียวกำลังนั่งนิ่งบนพื้น ข้างกายคือขวดเหล้ายุโปรที่ว่างเปล่า แล้วก็…ที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่หลายอัน

คุณแม่เย่เห็นแล้วตาแดงระเรื่อ

ปิดประตูเบาๆ ไม่พูดอะไรแค่เดินเข้าไปเงียบๆ เก็บขวดเหล้ารวมถึงที่เขี่ยบุหรี่ไว้ข้างๆ

ย่อตัวนั่งลงรั้งตัวลูกชายมากอด

 “ลูกชาย มีเรื่องเสียใจอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว ลองบอกแม่สิ” คุณแม่เย่เอ่ยปากอย่างกล้ำกลืน เสียงปนสะอื้น

…………………………