แม้หลังจากที่หลิน ชูจิ่วจากไปแล้ว ผู้คนบนถนนก็ยังไม่แยกย้ายกันไปไหนอยู่เป็นเวลานาน พวกเขาทั้งหมดแบ่งปันความสุขในการได้เห็นเสี่ยวเทียนเหยาในระยะใกล้ๆต่อกันและกัน

       เมิ่ง ซิวเหยียนยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วนั่งรออยู่ซักพัก

       ไม่มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อเมิ่ง ซิวเหยียน ออกไปข้างนอกและปรากฏตัวบนถนน ผู้คนก็จ้องกลับมาที่เขาอีกครั้ง เมิ่ง ซิวเหยียนคุ้นเคยกับมันมานานแล้วดังนั้นเขาจึงสงบ เขาไม่ได้ดูรำคาญ เขาเพียงแค่เดินขึ้นรถม้าไปอย่างสงบและมุ่งหน้าไปอีกฝั่งของถนนเท่านั้น

       เมื่อเขามาถึงที่พักที่จัดเอาไว้ในแคว้นตะวันออกในเวลานั้นก็ดึกมากแล้ว แต่ผู้นำตระกูลเมิ่ง ก็ยังมาพบเขา“ซิวเหยียน เจ้าได้คิดทบทวนเกี่ยวกับมันหรือยัง?” เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถามความเห็นของเขาเกี่ยวกับข้อเสนอของหมอเทวดาโม่

       เมิ่ง ซิวเหยียน พยักหน้า เขาแสดงให้เห็นว่าเขาคิด

“ อะไรคือการตัดสินใจของเจ้า” ผู้นำตระกูลเมิ่ง มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอ แต่เขาต้องเร่งทำสิ่งต่าง ๆ ในวันนี้

       เมิ่ง ซิวเหยียน ส่ายหัวโดยไม่ลังเล ข้าไม่ต้องการยอมรับ!

“ เจ้าปฏิเสธหรือ? หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ เจ้าอาจจะไม่สามารถพูดได้อีกเลย” ผู้นำตระกูลเมิ่ง ต้องการเกลี้ยกล่อมบุตรชายของเขา แต่การตัดสินใจของเมิ่ง ซิวเหยียน นั้นมั่นคงนัก เขาส่ายหัวและขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา

“ซิวเหยียน เจ้าต้องการจะพูดอะไร” ผู้นำตระกูลเมิ่งรู้ถึงความภาคภูมิใจของบุตรชายของเขาเป็นอย่างดี บุตรชายของเขารู้วิธีการใช้ภาษามือ แต่เขาไม่เคยใช้มัน

       เมิ่ง ซิวเหยียน ลุกขึ้นและค้นหาหมึกจากนั้นเขาก็เขียนคำบางคำลงไปบนกระดาษที่อยู่ด้านบนของโต๊ะ ‘สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ‘

“ เกิดอะไรขึ้นที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง?” ผู้นำตระกูลเมิ่ง รู้สึกงงงวย ความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องนี้กับการรักษาของหมอเทวดาโม่มันมาเกี่ยวอะไรกัน?

       เมิ่ง ซิวเหยียน เขียนคำอีกคำลงไปบนกระดาษ:ตรวจสอบ!

“ เอาล่ะ ข้าจะลองไปตรวจดู เจ้าก็ลองพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ข้าจะยังไม่ให้คำตอบกับเขา” ผู้นำตระกูลเมิ่งยังคงหวังว่าเมิ่ง ซิวเหยียน จะเปลี่ยนใจ แต่เมิ่ง ซิวเหยียน ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

       เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว มันก็ยากที่จะเปลี่ยน

       หลิน ชูจิ่ว กำลังอุ้มเด็กทารถเมื่อเธอมาที่โรงหมอกับพ่อบ้านเฮ้า ลานของโรงหมอไม่ใหญ่ แต่สามารถรองรับเด็กทารถได้หลายสิบคน

       คนรับใช้ของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ทำความสะอาดเรือน ทหารคุ้มกันหามเตียงที่เรียบง่ายออกมาและวางเสื่อนุ่ม ๆลงไป สาวใช้ต้มน้ำแล้วอาบน้ำเด็กทารถและเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเขา

       ไม่มีเด็กทารถในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ จึงเป็นธรรมชาติที่จะไม่มีเสื้อผ้าเด็ก แม่บ้านที่ทำหน้าที่เย็บปักจึงไม่สามารถหาเสื้อผ้าที่เพียงพอได้ในเวลานี้ดังนั้นพวกเขาจึงห่อเด็กคนอื่น ๆ ด้วยผ้าขนาดใหญ่แทน เพียงพอที่พวกเขาจะสามารถทนต่อความหนาวเย็นได้

       เด็ก ๆ ถูกชำระล้างทีละคนๆ จากนั้นพวกเขาก็ถูกนำตัวไปหาหลิน ชูจิ่วเพื่อตรวจสอบ หากเด็กมีไข้และเสมหะ พวกเขาจะถูกนำไปวางไว้ในอีกที่เพื่อที่จะได้ทำการรับษาต่อไป

       ทันทีที่เด็ก ๆ ถูกแบ่งออกตามสภาพของพวกเขา หลิน ชูจิ่วก็เริ่มยุ่งมาก

       ซุยฉีและฉิวฉี ถูยาลงไปตรงผื่นของเด็กๆ ในขณะที่หลิน ชูจิ่ว ให้ยาแก้ไข้สำหรับเด็กๆ

       บางครั้งหลิน ชูจิ่วก็จะดูแลทารกที่เป็นโรคปอดบวม แต่ในท้ายที่สุดเธอสามารถวางเขาไว้ในห้องที่ติดเชื้อเท่านั้น มิฉะนั้นหากเธอพาเขาออกไปที่ห้องอื่นๆ เด็กคนอื่น ๆ ก็จะติดเชื้อไปด้วย

       มีเด็กหลายสิบคน แต่มีหลิน ชูจิ่ว คนเดียวเท่านั้นที่รักษาพวกเขา ไม่มีหมอคนอื่นๆอยู่ ดังนั้นหลิน ชูจิ่ว จึงยุ่งมาก พ่อบ้านเฮ้าพยายามพูดคุยกับหลิน ชูจิ่วหลายครั้ง แต่หลิน ชูจิ่วก็ไม่สนใจเขา เมื่อเห็นว่าหวางเฟยของเขานั้นยุ่งแค่ไหนพ่อบ้านเฮ้าก็ดูเศร้าใจเป็นอย่างมาก

       หวางเย่ของพวกเขาได้ถามเขาอยู่หลายครั้งแล้วว่าหลิน ชูจิ่ว จะกลับมาที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่หรือไม่ ตอนนี้หวางเย่ของพวกเขาคงต้องโกรธมากแน่ๆ

“หวางเฟย……” เมื่อหลิน ชูจิ่ว ดึงเข็มฉีดยาออกจากทารกที่เป็นโรคปอดบวมแล้ว ในที่สุดพ่อบ้านเฮ้า ก็ได้รับคำตอบของเขา“ พ่อบ้านเฮ้า ท่านมีอะไรจะพูดหรือ? ตอนนี้ข้ายุ่งมาก ไว้กลับไปค่อยคุยกัน”

       หวางเฟย ข้ารู้ว่าท่านยุ่งมาก แต่…

“ หวางเฟย หวางเย่ ถามว่าเมื่อไหร่ท่านจะกลับขอรับ?” พ่อบ้านเฮ้า ไม่ได้พูดว่าหวางเย่ ของพวกเขาสั่งให้นางกลับไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ในทันที