ภายใต้แสงสลัว มีเงาปรากฏที่บนกำแพง แต่ว่าในห้องนี้มีคนอยู่แค่คนเดียว สองข้างกายของเหวินอวี้นั้นยุบย่นลงไปขณะที่เส้นผมของเธอสยายออกเป็นแพ– มันเหมือนมีบางอย่างกดอยู่บนร่างของเธอ
“ชิวเหมย ชิวเหมย… ชิวเหมย!” เหวินอวี้จู่ ๆ ก็สะดุ้งตื่น เธอหอบหายใจเข้าและมองไปรอบ ๆ สีหน้าสับสน แสงสลัวจากโคมไฟข้างเตียงส่องไปทั่วห้อง ทำให้มันมีบรรยากาศที่ดูเป็นกันเอง เครื่องเรือนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในที่ที่มันควรอยู่– ไม่มีร่องรอยของการมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย
“เรื่องที่แย่ยิ่งกว่าฝันร้ายก็คือตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่าค่ำคืนยังอีกยาวนาน” เหวินอวี้หยิบเอกสารที่บนเตียงขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ “ปากกาไปไหนแล้วล่ะ?”
เธอลงจากเตียงไปเก็บปากกาที่ตกไปไกล จากนั้นเธอก็เก็บปากกาและกระดาษเข้าไปในแฟ้มที่ในกระเป๋า
“ได้เวลากลับไปนอนแล้ว พอพระอาทิตย์ขึ้นฉันก็จะไปดูที่โรงเรียนนั่น”
ปีนกลับขึ้นเตียงแล้วเหวินอวี้ก็ปิดโคมไฟข้างเตียง พอห้องจมลงสู่ความมืด กล้องก็จับภาพผู้หญิงชุดแดงกำลังยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำได้
ตอนที่ไฟดับไป เธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง เธอยังอยู่ในห้อง แต่ในเมื่อตอนนี้ห้องนั้นจมอยู่ในความมืด ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นเธอ
วิธีการที่หนังเรื่องนี้พูดถึงผีนั้นน่าสนใจทีเดียว บางทีบ้านผีสิงของฉันอาจจะได้แรงบันดาลใจ มอบความรู้สึกแปลกใหม่ให้ผู้เข้าชมผ่านการใช้ความแตกต่างอย่างชาญฉลาดนี้
ความปรารถนาอยากเจอผู้กำกับของเฉินเกอนั้นเพิ่มมากขึ้น ถ้าเขาร่วมมือกับผู้กำกับ เฉินเกอรู้สึกว่าเขาสามารถเพิ่มระดับความสยองของบ้านผีสิงของเขาขึ้นไปสู่ระดับใหม่ได้
หน้าจอมืด– จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ว่า นี่ก็ทำให้ผู้ชมได้จินตนาการไปอย่างกว้างไกล เพราะทุกคนรู้ว่า ในความมืด นอกจากตัวละครหลักที่หลับอยู่นั้นยังมีผีชุดแดงอยู่ด้วย ทั้งฉากนั้นถูกถ่ายเอาไว้แบบม้วนเดียวจบ ไม่มีการตัดต่อ และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้นั้นให้ความรู้สึกเหมือนจริง
หลายวินาทีให้หลัง ฉากนี้ก็จบลง และพระอาทิตย์ก็ขึ้น ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ตัวละครหลักไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป เหมือนกับความทรงจำจากเมื่อคืนนั้นอันที่จริงเป็นเพียงแค่ฝันร้าย
“ฉันละเหงื่อตกแทนเด็กนั่นเลย” เหล่าโจวตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ
“นายยังมีเหงื่อออกได้ด้วยเหรอ?” ต้วนเยว่กลอกตาใส่เขา
“ถ้าเธอไม่เชื่อฉันอย่างนั้นลองจับฝ่ามือฉันดูสิ?” เหล่าโจวกางมือให้ต้วนเยว่แต่ว่าฝ่ายหลังนั้นมองมุกเก่า ๆ นี่ออกและเธอก็ปัดมือข้างนั้นทิ้ง
พนักงานล้วนอินไปกับหนัง มีแค่เฉินเกอที่คิดถึงอย่างอื่น เขาได้ดู เพื่อนร่วมโต๊ะ มาก่อน และหลังจากเทียบ เพื่อนร่วมโต๊ะ กับ นาม เขาก็พบเรื่องน่าสงสัยมากมาย
“ตัวละครหลักทั้งสองเรื่องถูกเรียกว่า เหวินอวี้ ดังนั้นพวกเธอน่าจะเกี่ยวข้องกับดวงตาข้างซ้าย แต่ว่า ความแตกต่างก็คือ ใน เพื่อนร่วมโต๊ะ ตัวละครหลักยังเรียนมัธยม แต่ใน นาม ตัวละครหลักทำงานแล้ว หนังทั้งสองเรื่องนี้ถ่ายทอดช่วงเวลาที่ต่างกันในชีวิตของตัวละครเดียวกัน
ตามข้อมูลของดวงตาข้างซ้ายในเพื่อนร่วมโต๊ะ ร่างของเหวินอวี้น่าจะมีดวงวิญญาณของเด็กสาวหลายคนใช้มาก่อนแล้ว แต่นั่นหมายความว่ารายละเอียดหลายอย่างไม่เข้ากับในเรื่อง นาม
ตอนเริ่มเรื่อง ชื่อที่บนสมุดบันทึกของตัวละครหลักก็คือชิวเหมย แต่เมื่อผีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นและกดร่างของตัวละครหลักลงไป ชื่อที่ถูกเรียกกลับเป็นชื่อชิวเหมย
ตอนนี้วิญญาณที่ติดอยู่ในร่างของเหวินอวี้ดูเหมือนจะเป็นชิวเหมยเหมือนกัน
ตอนจบของเพื่อนร่วมโต๊ะ ชิวเหมยนั้นรับโทรศัพท์จากเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเธอ และเธอก็เชิญเพื่อนของเธอไปที่บ้าน ดังนั้นพูดตามทฤษฎีแล้ว วังวนใหม่ได้เริ่มต้นไปแล้ว แต่ว่า หลังจากดูเรื่องนาม เฉินเกอก็พบว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น
ชิวเหมยดูไม่เหมือนว่าจะหาแพะรับบาปและดำเนินวังวนนั้นต่อ ผ่านมาหลายปีแล้ว เธอก็ยังทนรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอจากดวงตาข้างซ้ายเพียงคนเดียว
หนังสองสามเรื่องนี้ที่ถ่ายทำเกี่ยวกับดวงตาข้างซ้ายนั้นดูเหมือนจะมีเหวินอวี้เป็นตัวเอก แต่ความจริงแล้ว ตัวละครหลักคือชิวเหมยที่ควบคุมร่างของเหวินอวี้ ร่างกายคือเหวินอวี้ แต่ว่าดวงวิญญาณคือชิวเหมย
เฉินเกอพบว่าตั้งแต่ต้นของเรื่องนาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นอัจฉริยะทางด้านการถ่ายทำ แต่เขาเป็นคนที่ให้ความสนใจกับรายละเอียด เขามีดวงตาคู่หนึ่งที่สามารถมองผ่านเปลือกนอกเข้าไปเห็นความจริง
หนังดำเนินต่อไป ห้องนี้ในตอนเช้านั้นสว่างไสวและสะอาด ใครจะคิดว่าที่นี่จะเป็นที่อยู่อาศัยของผีตนหนึ่งกัน? ตัวละครหลักส่งใบลาออกไปแล้ว เมื่อถึงวันใหม่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานแต่ว่าหิ้วกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเอกสารต่าง ๆ ขึ้นรถประจำทางไปยังจิ่วเจียงตะวันตกตามที่อยู่ที่เธอได้มาจากออนไลน์
“นี่คือมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงนั่นเหรอ?” หลังจากหามาตลอดทั้งเช้า ในที่สุดเหวินอวี้ก็ไปถึงที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง “ฉันกำลังหาโรงเรียน แต่ทำไมที่อยู่ที่เจอบนอินเตอร์เนตถึงกลายเป็นโรงพยาบาลไปได้?”
ตึกที่รอบ ๆ ดูค่อนข้างเก่า ถึงแม้เหวินอวี้จะเป็นคนจิ่วเจียง เธอก็ไม่รู้เลยว่ามีโรงพยาบาลแบบนี้อยู่ในจิ่วเจียงด้วย
“เข้าไปได้ไหมน่ะ?” เหวินอวี้พยายามเปิดประตูและพบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน เธอเอนตัวแนบกระจกและมองเข้าไปในโรงพยาบาล กระเบื้องเงาวับ เก้าอี้ไม่มีฝุ่น ผนังยังขาวและใหม่ นอกจากความเงียบอันประหลาดแล้วที่นี่ก็ดูไม่ต่างไปจากโรงพยาบาลทั่วไปเลย
“โรงพยาบาลนี่ไม่มีกระทั่งชื่อ ฉันตรวจดูบนออนไลน์ไม่ได้ต่อให้อยากจะดูก็ตาม”
เหวินอวี้เดินไปที่อีกด้านของโรงพยาบาล และที่ประตูด้านหลัง ผู้ชายสวมผ้าปิดปากและเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่งกำลังเดินออกมา
“คุณหมอคะ คุณช่วยหนูหน่อยได้ไหม?” เหวินอวี้วิ่งเข้าไปหา แต่หลังจากที่หมอคนนั้นได้ยินเสียงเธอ แทนที่เขาจะหยุดเขากลับเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
“คุณหมอคะ?” เหวินอวี้งุนงงกับปฏิกริยาเช่นนี้ และเธอก็ออกวิ่งไปดักหน้าเขาเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นคำรามอย่างหมดความอดทน เขาเกือบจะหันตัวไปทางอื่นแต่เหมือนเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ทั้งร่างของเขาแข็งทื่อ เขาจ้องมองเหวินอวี้อย่างพิจารณา
ผู้ชายคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปหล่อและร่างสูงใหญ่ แต่ว่าระหว่างคิ้วของเขาดูหมองคล้ำ สายตาของเขาเย็นเยียบ และยังมีบรรยากาศรอบตัวที่เหมือนบอกคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้เขามากเกินไป
เหวินอวี้รู้สึกกระอักกระอ่วนกับท่าทีของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอถึงได้ถาม “หวัดดีค่ะ หนูมาที่นี่เพื่อสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง หนูเอาเอกสารที่ต้องใช้มาด้วยแต่ว่าหามหาวิทยาลัยไม่เจอ แต่ว่าที่อยู่ที่หนูได้มามันพาหนูมาที่นี่”
“มหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง?” ดวงตาของหมอคนนั้นไม่ขยับไปจากใบหน้าของเหวินอวี้ “มหาวิทยาลัยนั่นปิดตัวไปแล้ว ทางที่ดีเธอไปหาที่เรียนที่อื่นเถอะ”
จากนั้นหมอคนนั้นก็หันเตรียมจากไป เหวินอวี้เกาหัวและจากนั้นก็ร้องออกไปอย่างลังเลอยู่นิด ๆ “รอเดี๋ยวค่ะ พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหมคะ?”
หมอคนนั้นเดินห่างออกไปเหมือนไม่ได้ยินเธอ
“ใบหน้าของคุณคุ้นตามากค่ะ หนูแน่ใจว่าหนูเคยเจอคุณมาก่อน!” เหวินอวี้วิ่งตามเขาไป “คุณชื่ออะไรคะ?”
ถูกเหวินอวี้ตามมาไม่ลดละ ในที่สุดหมอคนนั้นก็หยุดเท้าและกล้องก็ขยายใบหน้าของเขาให้ชัดขึ้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน หมอคนนั้นมองเหวินหวี้ และเขาก็พึมพำออกมาเบา ๆ “ฉันชื่อฉางกู”