ได้ยินคำตอบแล้ว เฉินเกอก็เพ่งสายตามองพิจารณาชายคนนี้เพิ่ม ชื่อของผู้กำกับก็คือฉางกูเหมือนกัน ดูเหมือนว่าหนังพวกนี้จะบันทึกเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา
มองใบหน้าของชายในหนังแล้วเฉินเกอก็เกาคางตัวเอง ในหนัง เขาให้ตัวเองหน้าตาดี ดูไว้ตัว ซึ่งทำใหัฉันเข้าใจผู้ชายคนนี้ในมุมมองใหม่ ๆ
หลังจากพิจารณาใบหน้าของชายคนนี้อยู่นาน เฉินเกอก็รู้สึกเหมือนเขาดูคุ้นตาอย่างประหลาด จู่ ๆ เขาก็หันไปมองชายตาบอดที่นั่งอยู่ข้างเขา รูปร่างของสองคนนี้คงแตกต่างกันมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่บรรยากาศสิ้นหวังที่รอบดวงตานั้นเหมือนกันอย่างน่าตกใจ และเครื่องหน้าบางชิ้นยังคล้ายกันด้วย
พวกเขาเป็นคนคนเดียวกันใช่ไหม?
บนจอ ฉางกูร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา และนิ่งเฉย แต่ว่าชายตาบอดข้างเฉินเกอนั้นชรา น่าเกลียด และขาดสารอาหารเหมือนป่วยด้วยโรคร้ายแรง
ตามข่าวลือที่บนอินเตอร์เนต ฉางกูน่าจะตายไปในกองเพลิงหรือถูกขังเอาไว้ในหนังของตัวเอง…
เฉินเกอคิดกลับไปถึงข้อมูลที่เขาเจอบนออนไลน์ และดวงตาของเขาก็ตกลงที่ดวงตามืดบอดของชายข้างตัวที่หลับแน่น
เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นคนสร้างข่าวลือพวกนั้นขึ้นมาเอง? เขาต้องการหายตัวไปจากสายตาของสาธารณะชน?
เฉินเกอกอดเจ้าแมวขาวเอาไว้พลางพิจารณาทุกอย่างอย่างสงบ ไม่ว่าชายตาบอดจะเป็นฉางกูหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญ อย่างไรเสีย เขาก็จับจองโรงละครส่วนตัวนี่เอาไว้แล้ว ในหนัง ฉางกูนั้นตัวสูงใหญ่ ต่างไปจากชายตาบอดข้างตัวเฉินเกอโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เพราะเฉินเกอนั้นให้ความสนใจกับรายละเอียด เขาก็คงเชื่อมโยงมันไม่ได้
หนังยังดำเนินต่อ เหวินอวี้ตามฉางกูไป บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงหรืออะไรสักอย่าง แต่ว่าเธอรู้สึกว่าฉางกูผู้นี้นั้นสำคัญกับเธอมาก แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าฉางกูนั้นจงใจรักษาระยะห่างกับเหวินอวี้ จากปฏิกริยาหลายอย่างของเขา มันไม่ใช่เพราะเขาเกลียดเธอ
สีหน้าของเขาตอนที่มองเหวินอวี้นั้นประหลาดมาก ส่วนใหญ่แล้วมันเหมือนมองคนแปลกหน้า แต่บางครั้ง มันกลับปรากฏร่องรอยอ่อนโยนออกมา ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ประตูหลังโรงพยาบาลพูดคุยกัน พวกเขาเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่คำตอนที่มีเสียงฝีเท้าดังมา และชายวัยกลางคนค่อนข้างอ้วนคนหนึ่งก็วิ่งออกมา
เห็นเขาแล้ว ฉางกูก็ถอดเสื้อคลุมของเขาออก โยนมันไปด้านข้าง และจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในตรอกใกล้ ๆ ไม่ว่าเหวินอวี้จะร้องเรียกเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่หันกลับมา
“เธอเห็นผู้ชายผอม ๆ สูง ๆ คนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ไหม?” หลังจากชายวัยกลางคนคนนั้นออกมาจากประตูหลัง สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังเสื้อคลุมสีขาวที่บนพื้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวขโมย ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า! เขามักจะแอบเข้าไปในโรงพยาบาลของเขา!” ชายวัยกลางคนคำรามลอดไรฟัน
“หัวขโมย? เขา… เขาไม่ใช่หมอเหรอคะ?” เหวินอวี้มองเสื้อคลุมที่ชายคนนั้นหยิบขึ้นมาแล้วเธอก็ตกใจ
“อย่าไปเชื่อคำพูดที่ออกจากปากเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นหัวขโมย เป็นคนขี้โกหก แล้วยังเป็นบ้าด้วย เพื่อความปลอดภัย เธออยู่ให้ห่างจากเขาจะดีกว่า” ชายวัยกลางคนเตือนแล้วก็จะเดินกลับไป
“รอเดี๋ยวค่ะ” เหวินอวี้รั้งเขาเอาไว้ “หนูมาที่นี่เพื่อสมัครเข้ามหาวิทยาลัย คุณเคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงไหมคะ? ที่อยู่บนออนไลน์ที่หนูได้มาพาหนูมาที่นี่”
“เคยมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่นี่มาก่อน แต่ว่ามันทิ้งร้างไปนานแล้ว ใบปลิวที่เธอเห็นน่าจะเป็นของเมื่อหลายปีก่อน” ชายวัยกลางคนดูค่อนข้างเป็นมิตร เขาหยุดเพื่อตอบคำถามของเหวินอวี้
“ทิ้งร้างไปแล้ว? อย่างนั้น คุณรู้ไหมคะว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้น?” ในที่สุดเหวินอวี้ก็พบคนที่เชื่อถือได้ ดังนั้นเธอจึงถามต่อ
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าเธอน่าจะรู้เรื่องมากขึ้นถ้าไปที่เขาหยงหลิง ตอนนั้นมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงแยกออกเป็นสองวิทยาเขต วิทยาเขตปกติและโรงเรียนภาคค่ำ” เขาไม่ได้ปิดบังข้อมูลอะไรและบอกทุกอย่างที่รู้ออกมา “วิทยาเขตปกติสำหรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาแล้ว และโรงพยาบาลของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาเขตนี้ มันไม่ได้ต่างไปจากมหาวิทยาลัยปกติ
“การเปิดโรงเรียนภาคค่ำน่ะเป็นการตัดสินใจที่ผิด จิ่วเจียงก็ใหญ่แค่นี้ ดังนั้นจึงมีจำนวนนักเรียนที่ไปเรียนได้จำกัด นักเรียนจากพื้นที่อื่นข้างนอกก็น้อยครั้งที่จะข้ามเมืองมาเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก เมื่อมีนักเรียนน้อย พื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ใช้งาน ดังนั้นฝ่ายการจัดการจึงเปลี่ยนมันไปเป็นโรงเรียนภาคค่ำ
“วิทยาเขตภาคค่ำอยู่ติดกับวิทยาเขตปกติ แต่ว่ามันใกล้กับเขาหยงหลิงมากกว่า โรงเรียนภาคค่ำของมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียงนั้นเน้นรับสมัครผู้ใหญ่ที่อยากจะศึกษาต่อและพวกหนุ่มสาวที่อยากจะกลับไปเรียนต่อหลังจากหยุดเรียนไป”
หลังจากหมอคนนี้อธิบาย เขาก็เดินเข้าไปในเงาเพื่อไม่ให้แสงแดดสาดส่องใส่ “ฉันก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ว่าเธอสามารถอ่านข้อมูลพวกนี้ได้ในห้องเอกสารของโรงพยาบาล ตอนนี้พวกเรามีคนไม่มาก ดังนั้นฉันจะพาเธอไปที่นั่นแล้วกัน”
“คุณจะพาหนูไปที่ห้องเอกสาร?” เหวินอวี้มองโรงพยาบาลที่ว่างเปล่า ด้านในสะอาดมากและเงียบมากเหมือนไม่มีใครอยู่เลยสักคน “ได้ค่ะ…”
ก่อนที่จะทันพูดจบ เหวินอวี้ก็ยกมือขึ้นปิดดวงตาข้างซ้าย เมื่อครู่นี้จู่ ๆ มันก็เหมือนมีเข็มจิ้มลูกตาของเธอซึ่งไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว
“หนูขอโทษนะคะ แต่ว่าหนูรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูจะกลับมาใหม่วันหลัง แต่ก็ต้องขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือ” เหวินอวี้ยังกุมอยู่ที่ดวงตาของเธอแล้วกล่าวขอบคุณหมอตรงหน้า
“ยินดี ๆ” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วหันกลับเข้าไปในโรงพยาบาล
“บนโลกนี้ก็ยังมีคนดี ๆ อยู่มาก” เหวินอวี้มองเข้าไปในตรอกแคบ บางอย่างไม่ถูกต้อง มันบ่ายแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย มันเหมือนคนที่นี่รู้ว่าควรจะอยู่ห่างจากตรงนี้
“โรงเรียนภาคค่ำก็อยู่แค่นี้แล้ว แต่ในเมื่อหมอไม่ได้ให้ตำแหน่งที่อยู่แน่นอนมา ฉันก็คงต้องเดินหาต่อ” เพราะความสงสัยบางอย่าง เหวินอวี้เดินเข้าไปในตรอก หลังจากที่เดินเข้าไปไม่กี่ก้าวก็มีคนเรียกชื่อเธอจากตรงมุม
“เธอไม่ต้องหาต่อหรอก– เธอหาโรงเรียนนั่นไม่เจอ” ฉางกูเอนตัวพิงกำแพงอยู่ หมอวัยกลางคนเพิ่งบอกเหวินอวี้ว่าฉางกูนั้นเป็นคนโกหกและเป็นคนเสียสติ ดังนั้นตอนที่เธอเห็นฉางกูปรากฏตัวขึ้น เธอก็กลัวที่จะต้องเข้าใกล้เขา
อย่างไรเสีย ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเชื่อถือกว่าหมอวัยกลางคน และสิ่งที่เฉินเกอกูทำก่อนหน้านี้ก็น่าสงสัยจริง ๆ
เห็นท่าทางของเหวินอวี้เปลี่ยนไป ฉางกูก็หรี่ตาแล้วเดินเข้าไปหาเธอ “เจ้าสิ่งนั้นที่ออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อกี้ มันบอกอะไรเธอ?”
“เจ้าสิ่งนั้น?” เมื่อฉางกูเดินเข้าไปหาเธอ เหวินอวี้ก็ก้าวเท้าถอยไปก้าวหนึ่ง “เขาบอกว่าคุณเป็นขโมย”
“เธอจะเชื่อผีหรือว่าเชื่อคนเป็น ๆ?” ฉางกูยืนอยู่ตรงหน้าเหวินอวี้และเขาก็ดูคล้ายกับเหวินอวี้มาก
“ผี?”
“ใช่ ผีที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตอนกลางวัน” ฉางกูบีบเหวินอวี้จนมุม “มันบอกเธอใช่ไหม ว่าฉันเป็นขโมย เป็นคนโกหก แล้วก็เป็นคนบ้า?”
เหวินอวี้คิดว่าฉางกูน่ะน่ากลัวมาก แต่เธอก็ยังพยักหน้า
“มันเชิญเธอเข้าไปในโรงพยาบาลใช่ไหม?” เหวินอวี้คิด หมอคนนั้นเสนอจะพาเธอเข้าไปในห้องเก็บเอกสาร
“โชคดี ที่เธอไม่ได้ตามเข้าไป ถ้าเธอตามเข้าไป เธอก็คงไม่สามารถหนีออกมาทั้งเป็นได้หรอก” ฉางกูส่งบันทึกการรักษาแผ่นหนึ่งให้เหวินอวี้ บนนั้นมีรูปขาวดำของหมอคนนั้นอยู่