ฉางกูเล่าเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ ให้เหวินอวี้ฟัง หมอคนก่อนหน้านี้โดยทางเทคนิคแล้วเขาโกหกเหวินอวี้ แต่ว่าเขาก็หลุดรายละเอียดที่สำคัญมากออกมาสองอย่าง

อย่างแรก โรงพยาบาลนั้นปิดตัวลงเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้และไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ที่น่าสงสัยก็คือ หลังจากโรงพยาบาลปิดตัวไปแล้ว คนที่อยู่ใกล้ ๆ นี่ก็ยังเห็นโรงพยาบาลทำการตามปกติมีคนเดินไปเดินมาทั้งกลางวันกลางคืน

สอง หมอคนนี้เองก็น่าสงสัย เขาต่างไปจากผีทั่ว ๆ ไป เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ในตอนกลางวันและยังไม่กลัวแสงอาทิตย์ ฉางกูนั้นไม่ได้บอกอย่างละเอียดว่าหมอคนนั้นเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่– เขาแค่บอกเหวินอวี้ว่าสิ่งนั้นหรือคนผู้นั้นที่ทำให้ดวงตาข้างซ้ายของเธอเจ็บปวดน่าจะมาจากมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง

คำอธิบายระหว่างวิทยาเขตปกติกับวิทยาเขตภาคค่ำของหมอคนนั้นก็เป็นความจริง แต่วิธีการเข้าไปในวิทยาเขตร้างนั้นไม่ใช่เข้าลึกไปในภูเขาหยงหลิง

ฉางกูนั้นเหมือนเป็นคนที่มีความผิดติดตัวหนีคดี พอเขาพูดถึงตรงนี้ เขาก็หันหลังกลับจากไป ทิ้งเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งเอาไว้ให้เหวินอวี้และบอกเธอว่า ถ้าเธอต้องการไปมหาวิทยาลัยเอกชนจิ่วเจียง ตอนกลางคืน ก็ให้เธอโทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้

ฉากนั้นจบลงที่ตรงนี้ ภาพสะดุดเล็กน้อย และเมื่อภาพกลับมา ท้องฟ้าในฉากก็มืดแล้ว

มีคนตัดเนื้อหาส่วนหนึ่งออกไป หรือว่าคนที่ในหนังไม่ต้องการให้ฉันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น?

ในความมืด เหวินอวี้ถือโทรศัพท์กับกระเป๋าสะพายหลังเอาไว้ มองไปตามตรอก เธอหยุดอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกับเมื่อเช้านี้ เธอกดโทรและกระซิบสองคำก่อนที่จะตัดสายอย่างรวดเร็ว “มาแล้ว”

สิบนาทีให้หลัง หน้าต่างทางซ้ายของโรงพยาบาลก็ถูกผลักเปิดจากด้านใน และหมอร่างผอมสูงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีขาวก็โบกมือให้เหวินอวี้ หลังจากเหวินอวี้แอบเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว หมอคนนั้นก็ให้เธอเปลี่ยนไปใส่ชุดพยาบาลจากนั้นก็นำเธอออกจากห้อง ภาพที่เห็นหลังจากนั้นแปลกมาก และมันก็มีความเป็นผู้กำกับฉางกูอยู่เต็มไปหมด

ในโรงพยาบาล ผู้คนเต็มไปหมด บางคนกำลังรอหมอ บางคนกำลังรอรับยา มีผู้ป่วยที่มีเฝือกอยู่ที่ขาเดินผ่านไปช้า ๆ และทุกอย่างก็ดูเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป ความแตกต่างเดียวก็คือไม่มีไฟดวงไหนเปิดเลย ผู้ป่วยและหมอทุกคนเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ความมืดดูเหมือนจะไม่ได้มีผลกระทบกับพวกเขามากนัก พวกเขาดูไม่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีชีวิต เงาเคลื่อนไปในความมืดราวกับฉายให้เห็นถึงอีกโลกที่ต่างไป

“มาตรงนี้” หมอนำเหวินอวี้เข้าไปในห้องผ่าตัดจากนั้นก็ล็อกประตู

“ตอนนี้ คุณก็บอกฉันได้แล้วใช่ไหมคะถึงวิธีที่จะเข้าไปในโรงเรียนนั่น?” เหวินอวี้ถอดผ้าปิดปากออกแล้วสูดลมหายใจลึก หมอผู้ชายก็ถอดผ้าปิดปากของตัวเองเช่นกัน และเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉางกู เขาคว้าแขนเหวินอวี้และนำเธอไปที่โต๊ะผ่าตัด

โต๊ะผ่าตัดดูต่างไปจากโต๊ะผ่าตัดทั่วไป เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามีไว้ทำการผ่าตัดชนิดใดแน่

“วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือแก้จากต้นตอ และนั่นก็คือ…” ฉางกูหยิบมีดผ่าตัดคมกริบขึ้นมาจากถาด “เอาดวงตาข้างซ้ายของเหวินอวี้ออกและหาเจ้าของใหม่ให้มัน”

เสียงของฉางกูนั้นน่ากลัว และมันก็ทำให้เหวินอวี้ผงะถอยไปจนกระแทกเข้ากับโต๊ะที่ด้านหลัง “คุณจะควักตาฉันออกไป?”

“มันคือดวงตาของเหวินอวี้ เธอไม่ใช่เหวินอวี้ เธอเป็นเหยื่อที่ถูกกักเอาไว้ในร่างนี้ ฉันจะคืนอิสระให้เธอ แต่ฉันต้องการความร่วมมือจากเธอด้วย”

“หมอคนนั้นพูดถูก คุณมันบ้าไปแล้ว!” เหวินอวี้คว้ากระเป๋าตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปยังประตู “ฉันจะกลับออกไปเดี๋ยวนี้!”

“ถึงเธอจะเห็นเงาที่ด้านนอกนั่นแล้วก็ยังไม่เชื่อฉันอีกเหรอฮึ? เงาพวกนั้นทำเหมือนพวกเขายังมีชีวิตเป็นปกติ ฉันแน่ใจว่าเธอเห็นพวกเขาชัดกว่าที่ฉันเห็น ดังนั้นเธอน่าจะ…”

“คุณไม่ใช่ฉัน คุณจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเห็นอะไร?”

เหวินอวี้ไปถึงประตูแต่ถูกฉางกูขวางเอาไว้ “ฉันไม่ใช่เธอ แต่ว่าฉันคุ้นเคยกับเจ้าของร่างแท้จริงของเธอ! ฉันเป็นพี่ชายของเหวินอวี้!”

ได้ยินคำประกาศนี้ เหวินอวี้ก็นิ่งไป เธอมองฉางกูอยู่นานมากก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่ฉันไม่เคยได้ยินเหวินอวี้พูดถึงว่าเธอมีพี่ชายเลยสักครั้ง”

คำตอบของเธอนั้นเป็นการยืนยันทางอ้อมว่าเธอไม่ใช่เหวินอวี้

“เธอมองเห็นคนตายด้วยดวงตาข้างซ้ายของเธอ และฉันเชื่อว่าเธอเห็นคนตายทั้งหมดที่บ้านนั่นแล้ว ก่อนที่เหวินอวี้จะเสียสติไป ฉันเป็นคนพาเธอหนีเอง” ฉางกูหงุดหงิด ตอนที่เขากำลังจะอธิบายความจริงทั้งหมด หนังก็ถูกตัดไป

หนังสยองขวัญถูกตัดไปตอนที่อยู่ในโรงละครมืด ๆ ตอนตีสามนั้นย่อมบ่งบอกได้ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัว แต่ไม่มีคนดูคนไหนหวาดกลัว

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เทปถูกตัดเหรอ? บอส!”

“นี่เป็นโรงหนัง ไม่ใช่อินเตอร์เนตคาเฟ่แถวโรงเรียนเสียหน่อย ใจเย็นน่า”

“แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นอ้ะ?”

เหล่าพนักงานถกเถียงกัน มีเพียงคนเดียวที่ไม่สนุกสนาน และนั่นก็คือชายตาบอดที่ข้าง ๆ ฟางหยวน เสียงแหลม ๆ ก้องไปมาในโรงละคร และสายลมเย็นก็พัดมา แต่ว่าชายตาบอดนั้นอยู่ท่าเดิม ศีรษะก้มต่ำ เหมือนเขาหลับไปแล้ว

พวกเขารออยู่สามนาทีเต็มกว่าหนังจะกลับมาฉาย แต่ว่า ฉากก็เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้ว และภาพยังชัดขึ้นกว่าเดิมด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนหนังถูกเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ไม่มีใครอยู่ในห้องฉายหนังแต่ว่าหนังที่พวกเรากำลังดูอยู่เปลี่ยนไปด้วยตัวเอง ผู้ที่ซ่อนอยู่ในโรงละครนี่น่าจะรู้สึกเหมือนถูกคุกคามและจงใจปิดบังบางอย่างเอาไว้” ยิ่งพวกเขาอยากซ่อน เฉินเกอก็ยิ่งอยากจะขุด จากมุมมองของเขา มีแค่รู้ทุกอย่างเขาถึงจะสามารถหาต้นกำเนิดของปัญหาและช่วยพวกเขาแก้ปัญหาได้

หนังเปลี่ยนไปฉายภาพบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง เหวินอวี้นอนแผ่อยู่ที่โต๊ะกินข้าว ศีรษะของเธอมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ และมันก็รัดแน่นอยู่บนดวงตาข้างซ้ายของเธอ ชายหนุ่มที่หลังโก่งนิด ๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย ใบหน้าของเขาก็มีผ้าพันแผลพันเอาไว้เช่นกัน และมันก็พันแน่นอยู่บนดวงตาข้างซ้ายเหมือนกันด้วย

ผู้ชายคนนั้นมองเหวินอวี้เงียบ ๆ หลายวินาทีให้หลัง ผ้าพันแผลรอบดวงตาข้างซ้ายของเหวินอวี้ก็ชุ่มไปด้วยเลือด เลือดซึมออกมาบนผ้าพันแผลสีขาวเหมือนดอกไม้เลือดกำลังคลี่บาน

“นี่เป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากการเปลี่ยนดวงตาแล้ว ทำไมมันถึงยังไม่ได้ผล? พวกเราเป็นพี่น้องโดยสายเลือดและมีเลือดหมู่เดียวกัน– ทำไมถึงมีความต่อต้านของร่างกายเยอะขนาดนี้?” ผู้ชายคนนั้นเริ่มกระวนกระวาย และเมื่อใดก็ตามที่มีเลือดซึมออกมาจากเบ้าตาของเหวินอวี้ ผ้าพันแผลรอบใบหน้าของเขาก็จะชุ่มไปด้วยเลือดเหมือนดวงตาของเขานั้นตอบรับสัญญาณบางอย่างที่เหวินอวี้ส่งออกมา

รอบดวงตานั้นมีเส้นประสาทมากมายและมันก็ทำให้ชายคนนี้เจ็บปวดอย่างสุดแสน

ร่างกายของเขาสั่น และมือของเขาก็กำขอบโต๊ะแน่น “ความเจ็บปวดนี่รุนแรงกว่าเมื่อวาน บาดแผลไม่มีท่าทีจะฟื้นฟูเลยสักนิด! ปัญหาคืออะไรกันแน่?”

เขาเปิดตู้ที่ในห้องนั่งเล่นซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์นานาชนิด ตอนที่เขาค้นไปทั่ว เหวินอวี้ก็ยังอยู่ที่โต๊ะนั่นไม่กระดุกกระดิกเหมือนเธอทำวิญญาณหลุดหายไป