ผู้ชายคนนั้นค้นทั่วตู้ ดวงตาของเขามองเห็นแค่ข้างเดียว ความเจ็บปวดพุ่งตรงเข้าสมองของเขา และกริยาของเขายิ่งมาก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ แขนของเขาถูกอะไรไม่รู้บาด เกิดเป็นแผลยาวดูน่าขนลุก
เลือดไหลลงไปตามแขนของเขาก่อนที่จะหยดลงบนพื้นกระเบื้องสะอาด ภาพของผู้หญิงชุดแดงคนหนึ่งปรากฏขึ้นในแอ่งเลือด เลือดเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนมีคนกำลังเขียนอักษรเลือด
“ด้วยวิธีการของแก แกไม่มีวันหาทางไปโรงเรียนนั่นเจอ แกทำล้มเหลวแล้ว แกโกหกฉัน แกให้อิสระฉันไม่ได้ และตอนนี้ชีวิตของแกก็กำลังนับถอยหลังเพราะเรื่องนั้นแล้ว”
ความเจ็บปวดรุมเร้าชายหนุ่มมากขึ้น ของในตู้หล่นลงพื้น เขาหลับตา และโลกก็มืดลง ร่างของเขากระแทกเข้ากับเครื่องเรือน และแขนของเขาก็กวัดไกวไปมาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาดูเหมือนกำลังจะจมน้ำ ยาและอุปกรณ์อื่น ๆ กระจายเต็มพื้น ชั้นหนังสือล้มลงมา และตำราหลายเล่มที่เกี่ยวกับดวงตาก็หล่นลงมาที่ข้างเท้าของเขา
“ของเหลวในดวงตาซึมออกมา ขอบแผลเปื่อยยุ่ย เส้นประสาทกำลังจะตาย และความไวแสงลดลง มันกระทบกับดวงตาเดิมของฉันด้วย มันเหมือนมีบางอย่างสู้กับมันอยู่ และมันก็ลืมตายากขึ้นเรื่อย ๆ!” ดวงตาของชายผู้นั้นปิดแน่น เขาเป็นเพียงคนเดียวในห้อง แต่เขาตะโกนสุดเสียงเหมือนกำลังพูดกับคนอื่น “แต่เธอไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ มันก็มีโอกาสที่จะดีขึ้นได้!”
ดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของจิตใจ เมื่อดวงตาของคนผู้หนึ่งลืมเปิดไม่ได้ โลกที่ด้านในก็กลายเป็นมืดดำ ผู้ชายคนนั้นราวกับสัตว์ร้ายสักตัว ร้องคำรามจากความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างจนกระทั่งล้มลงด้วยความอ่อนแรงและหมดสติไปที่ข้าง ๆ โต๊ะกินข้าว
แสงที่ในห้องกะพริบและสลัวลง ห้องดูเหมือนจะเปลี่ยนไป รอยเลือดที่บนพื้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนสะเก็ดแผลแห้ง ๆ ในความเงียบสงัดนี้ ผู้หญิงสวมเสื้อคลุมสีแดงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในห้อง
เธอดูต่างไปจากเหวินอวี้ แต่ว่ากลับไปคล้ายกับชิวเหมยจากในเรื่อง เพื่อนร่วมโต๊ะ ผู้หญิงคนนี้เดินไปยืนอยู่ระหว่างชายหนุ่มกับเหวินอวี้เงียบ ๆ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ตกลงมาจากชั้นหนังสือขึ้นมา ปกมีเลือดเปื้อน และเมื่อพลิกเปิดหน้าปก ที่หน้าแรกนั้นมีชื่อหนึ่งเขียนเอาไว้ด้วยสีแดง– ชิวเหมย
ครึ่งแรกของสมุดบันทึกนั้นเขียนด้วยปากกาสีดำ แต่ว่าครึ่งหลังเป็นสีแดงทั้งหมด เธอพลิกไปที่สองสามหน้าสุดท้าย
สามสิบพฤศจิกายน: ผู้หญิงในชุดแดงคอยมารบกวนการผ่าตัด เหมือนกับหากเปลี่ยนดวงตาแล้วเธอจะหายไปตลอดกาล ดูเหมือนว่าฉางกูจะไม่ได้โกหกฉัน– ในที่สุดฉันก็จะหนีพ้นจากการทรมานของผีตนนี้
หนึ่งธันวาคม: ผู้หญิงในชุดแดงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลายปีก่อน ก็เป็นเธอที่ลากฉันเข้ามาในร่างเหวินอวี้ให้ฉันกลายเป็นเหวินอวี้คนต่อมา เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ใกล้ ๆ ฉัน
สองธันวาคม: การผ่าตัดเสี่ยงเกินไปและนั่นก็ยังไม่นับการรบกวนจากสิ่งเหนือธรรมชาติด้วย เหมือนคนบ้า เธอเอาแต่พยายามจะหยุดการผ่าตัดนี้ มันเหมือนว่าวิธีการของฉางกูจะสามารถหยุดความเจ็บปวดทั้งมวลได้จริง ๆ
สามธันวาคม: ตราบใดที่ผียังอยู่ที่นี่ การผ่าตัดก็ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้แค่ขังเธอไว้ ฉันไม่พูดกับเธอมาหลายปีแล้ว ดังนั้นคราวนี้ ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องเล่นเกมกับเธอเสียหน่อย
สี่ธันวาคม: การผ่าตัดสำเร็จ ผีร้ายชุดแดงที่เอาแต่ตามฉันนั้นหายไปแล้ว แต่ว่าฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะหายไปด้วยวิธีการเช่นนี้ หลังจากผ่าตัด ฉันกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดตนใหม่
ห้าธันวาคม: ครั้งแรกที่ฉันเชื่อถือใครสักคนนอกเหนือไปจากย่าของฉัน ฉันก็สูญเสียอิสรภาพของตนเองและกลายไปเป็นแพะรับบาป ครั้งที่สองที่ฉันเชื่อถือคนอื่น ฉันสูญเสียกระทั่งเปลือกที่ฉันซ่อนตัวอยู่ แล้วตอนนี้ฉันจะทำอะไรได้? เชื่อเขาเป็นครั้งที่สาม? หรือว่า…
บันทึกจบลงที่ตรงนี้ ผู้หญิงในชุดแดงวางสมุดกลับลงไป เธอเอนตัวไปด้านข้าง มองพิจารณาฉางกู เส้นผมสีดำของเขาไหวขึ้นนิด ๆ ราวกับมีลมเป่า ดวงตาข้างขวาของผู้หญิงคนนี้นั้นแดงก่ำ แต่ว่าดวงตาข้างซ้ายนั้นเป็นโพรงสีดำ กระทั่งเธอกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด เธอก็ไม่สามารถฟื้นฟูดวงตาข้างซ้ายของเธอได้
แสงที่ในห้องสลัวลงอีก และเสียงลูกแก้วกระทบกันก็ดังมาจากบนเพดาน เสียงน้ำดังมาจากในห้องน้ำ และปากกาก็กลิ้งไปบนพื้น มีดปอกผลไม้บนโต๊ะกาแฟขยับได้ด้วยตัวเอง มือซีดขาวข้างหนึ่งเอื้อมออกมาจากใต้เสื้อสีแดงและผู้หญิงคนนั้นก็จับใบมีดเอาไว้ด้วยสองนิ้ว
เธอยืนอยู่ตรงหน้าชายที่หมดสติและชูมีดให้แกว่งไกวอยู่เหนือศีรษะเขา เล็งไปยังดวงตาข้างขวาของเขาซึ่งไม่ได้มีผ้าพันแผลหุ้มอยู่ ตอนที่เธอกำลังจะปล่อยนิ้ว จู่ ๆ เธอก็หยุดเหมือสัมผัสถึงบางอย่างที่ในห้องได้
เธอหันกลับ และเส้นผมของเธอก็แยกออก ตรงที่ควรเป็นลูกตาของเธอที่กลวงเปล่านั้นมองตรงเข้ามาในกล้อง เหมือนเธอกำลังมองมาที่ผู้ชมที่หน้าจอ ในโรงเริ่มมีการเคลื่อนไหวประหลาด– มีเสียงฝีเท้าแทรกเข้ามาในเสียงเพลง
มีเสียงประหลาดดังอยู่ในบ้านที่บนจอด้วยเหมือนกัน มันดังมาจากส่วนลึกของตู้ จากใต้เตียง และจากด้านหลังประตู มันดังต่อเนื่องเรื่อย ๆ และยังสร้างความรู้สึกเหมือนมีเสียงแบบเดียวกันนั้นเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วย!
หูของแต่ละคนนั้นบอกไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าเสียงมาจากบนจอหรือว่าด้านหลังตัวเอง
แสงไฟจู่ ๆ ก็กะพริบ และผู้หญิงที่อยู่ใกล้จอ เธอเคลื่อนไหวไม่ช้าเลย เธอดูเหมือนกำลังยืนนิ่งอยู่ แต่หนึ่งนาทีให้หลัง ตอนที่เฉินเกอเพ่งตามองอีกครั้ง ระยะห่างระหว่างเธอกับหน้าจอก็หดลงมากขึ้น!
ความประหลาดที่ในจอและนอกจอเริ่มซ้อนทับกันช้า ๆ และมันก็สร้างความรู้สึกประหลาดในหมู่ผู้ชม มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจมเข้าไปในหนัง กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน หรือหน้าจอหนังนั้นค่อย ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงอย่างช้า ๆ และผีที่ด้านในนั้นก็จะออกมาจริง ๆ
เสียงเพลงดังขึ้น และมันก็เหมือนมีคนเป่าลมเข้าไปในหูพวกเขาทุกคน
ผู้หญิงคนนั้นมาถึงที่ขอบจอแล้ว และแสงไฟในโรงละครก็สลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น เบ้าตากลวงเปล่านั้นแนบติดอยู่กับจอ และความว่างเปล่านั่นก็จับจ้องตรงมาที่ผู้ชมที่หน้าจอ
มีดปอกผลไม้ที่มีเลือดชุ่มเล็งออกมาข้างนอกและกลิ่นเลือดก็กำจายไปทั่วโรงละครที่ปิดทึบ แรกเลย เป็นเสียงที่ซ้อนทับกัน ต่อมาก็กลิ่นเลือด ตอนที่ผู้ชมรู้สึกสับสนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น วิญญาณสีเลือดก็แนบตัวติดกับหน้าจอ
เลือดเหนียว ๆ ไหลย้อยลงไปตามหน้าจอและซึมออกมาบนยกพื้นที่ด้านหลังจอ ตอนที่ผู้ชมรู้สึกตัว ใบหน้าน่ากลัวนั่นก็โผล่ออกมาจากหน้าจอแล้ว!
เพลงประกอบนั้นถึงจุดสำคัญพอดี เหมือนคันศรถูกรั้งตึง กลิ่นเลือดหนาหนัก และฉากที่น่ากลัวที่สุดในโรงหนังในที่สุดก็มาถึง
ผีจากในหนังคลานออกมาจากจอ! เรื่องผีกลายเป็นจริงแล้ว!
ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นกระชั้น และเฉินเกอก็กำที่พักแขนแน่น ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดเปลี่ยนไปเป็นสีแดงทันที!
“วิญญาณสีเลือดจากในหนังออกมาแล้ว!” เขาผุดลุกขึ้นและในเวลาเดียวกับที่วิญญาณปรากฏ เขาก็ร้องเสียงดัง “จับเธอไว้! อย่าปล่อยให้เธอหนีกลับเข้าไปในหนังได้!”