ตอนที่ 135-2 เจ้าปลาน้อยเอ๋ย เจ้าปลายน้อยเอ๋ย มาติดกับเสียดีๆ!

จำนนรักชายาตัวร้าย

รอจนกระทั่งหมึกที่เขียนลงไปบนจดหมายแห้งดี ตี้อู่เฮ่ออี้จึงได้ส่งจดหมายให้กับเชียนเย่เสวี่ย เชียนเย่เสวี่ยตรวจดูจดหมายฉบับนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงม้วนมันใส่เข้าไปในกระบอกไม้ไผ่เล็กๆยัดใส่ไว้ที่เท้าของพิราบสื่อสาร 

 

 

สุ่ยเจ๋อซีก็มองตามด้วยสีหน้าชื่นชมตั้งแต่ต้นจวบจนกระทั่งพิราบตัวนั้นทะยานขึ้นสู่ทองฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู สุดท้ายหายลับไปกับขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอยนั้นเอง  

 

 

เขาอยากที่จะครอบครองพิราบสื่อสารที่เป็นของตนเองจริงๆสักตัว! 

 

 

“นายท่าน ขอให้ท่านนอนลง พวกเรามาฝังเข็มกันต่อ!” ตี้อู่เฮ่ออี้เรียกให้สุ่ยเจ๋อซีนอนลงอีกครั้ง เพราะเขาเหลือบไปเห็นดินเหนียวสำหรับพิมพ์ลูกกุญแจซึ่งซุกซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเชียนเย่เสวี่ยแล้ว จึงมีแผนการอยู่ในใจ 

 

 

“ได้ๆ——” 

 

 

สุ่ยเจ๋อซีนอนลงอีกครั้ง ในหัวของเขาตอนนี้ฉายภาพเจ้าพิราบสื่อสารที่เพิ่งปล่อยไปเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาตลอดเวลา 

 

 

เขาเคยเห็นพิราบสื่อสารของสกุลหลิว ผอมแห้งเหลือแต่กระดูกเช่นนั้น ตาเฒ่าหลิวยังมาทำท่าทางยโสโอหังโอ้อวดต่อหน้าเขาอยู่เป็นนานทีเดียว 

 

 

เทียบกับเจ้าพิราบสื่อสารที่ตี้อู่เฮ่ออี้เรียกมาเมื่อครู่แล้ว พิราบสื่อสารของสกุลหลิวกลายเป็นตัวอะไรไปเลยทีเดียวเชียว! 

 

 

หากว่าเจ้าพาบสื่อสารตัวเมื่อครู่เป็นของเขา มันจะดีสักเพียงใดกันเชียว! 

 

 

เขาจะต้องรีบแจ้นไปหาตาเฒ่าแซ่หลิว ให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง ทั้งยังจะบอกเขาอีกด้วยว่า นี่ต่างหากที่เขาเรียกว่าพิราบสื่อสาร! 

 

 

ของเจ้านะมันแต่พิราบน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น! 

 

 

แต่ทว่า จะชั่วดีอย่างไร สุ่ยเจ๋อซีก็เป็นถึงผู้นำตระกูลสุ่ย จึงมิอาจแย่งชิงพิราบสื่อสารจากหมอประจำตระกูลได้ อีกทั้งในตอนนี้เขายังมีเรื่องต้องขอร้องให้ตี้อู่เฮ่ออี้ช่วยเหลือ บวกกับพิราบสื่อสารตัวนั้นรู้จักเพียงจักนายของมันแล้ว ดังนั้นสุ่ยเจ๋อซีจึงมิได้คิดจะกระทำการใดๆ 

 

 

แต่ในใจของเขากำลังเรียกร้อง และอิจฉาตี้อู่เฮ่ออี้อย่างที่สุด! 

 

 

“ท่านหมอเทวดาเหอ รอให้น้องเขยของท่านมาถึงที่นี่แล้ว ท่านจะขอให้น้องเขยของท่านช่วยฝึกพิราบสื่อสารให้ข้าสักตัวได้หรือไม่?” 

 

 

ลังเลอยู่เป็นนานในที่สุดสุ่ยเจ๋อซีก็พูดความปรารภของตนเองออกไป 

 

 

“ข้าเองก็รู้ดีว่านี่อาจเป็นการทำให้ท่านลำบากใจ แต่ว่า ข้าสามารถให้เงินเป็นค่าตอบแทนท่านได้ จริงๆนะ! ท่านต้องการเท่าไหร่ข้าก็จะให้เท่านั้น! “ 

 

 

เมื่อได้ยินในสิ่งที่สุ่ยเจ๋อซีกล่าวมา ตี้อู่เฮ่ออี้ก็อยากจะแทบถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาเลยทีเดียว 

 

 

การที่เขาต้องการพิราบสื่อสารก็เพื่อให้ช่วยเหลือยามเมื่อเขาขึ้นไปเก็บยาสมุนไพรบนเขา แต่การที่สุ่ยเจ๋อซีต้องการพิราบสื่อสารนั้นเป็นวิธีการเพื่อโอ้อวดว่าตระกูลของตนเองร่ำรวยเงินทองก็เท่านั้น 

 

 

พิราบสื่อสารไม่เพียงแต่มีจำนวนน้อย ยังฝึกได้ยากเย็นยิ่งนัก 

 

 

พวกมันเป็นสัตว์ที่มีความเย่อหยิ่ง ยอมตายแต่จะไม่ยอมเป็นทาสของมนุษย์ 

 

 

แม้ว่าในกรณีของซย่าโหวฉิงเทียนจะเป็นข้อยกเว้น เพราะมันเป็นผลมาจากวิธีการของเขาที่ใช้ฝึกฝนพิราบสื่อสานั่นเอง…เหอะๆ เพราะมันออกจะโหดร้ายดุดันไปเสียหน่อย แต่คนที่ใช้วิธีการเช่นเขามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย คิดว่าทั่วทั้งแผ่นดินนี้ คงจะมีซย่าโหวฉิงเทียนเพียงคนเดียวที่ปฏิบัติต่อพิราบสื่อสารเช่นนี้กระมัง 

 

 

หากมันไม่เชื่อฟังก็ซ้อมมันจนตาย หลังจากนั้นค่อยถอนขนของมัน สุดท้ายทิ้งศพในป่าลึกรกร้าง เพื่อให้เป็นอาหารของนกชนิดอื่น… 

 

 

ต่อให้พิราบสื่อสารจะเย่อหยิ่งเพียงใด ก็ต้องยอมศิโรราบให้กับความป่าเถื่อนของซย่าโหวฉิงเทียนจนได้ 

 

 

บัดนี้ สุ่ยเจ๋อซีเอ่ยปากขอให้ซย่าโหวฉิงเทียนมอบพิราบสื่อสารให้กับเขาอย่างไม่มีความละอาย เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้พอจะจินตนาการภาพออกได้เลยว่า หากซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ที่นี่ในตอนนี้ สิ่งที่เขาจะตอบกลับสุ่ยเจ๋อซีนั่นก็คือเตะเขาจนกระเด็นปลิวออกไป หลังจากนั้นค่อยตอกเขากลับอีกประโยคว่า 

 

 

“ออกคำสั่งกับข้า? รนหาที่ตาย” 

 

 

และโดยส่วนตัวตี้ฮู่เฮ่ออี้ก็อยากจะตบกระบาลสุ่ยเจ๋อซีสักครั้งสองครั้งให้เขาตื่นเสียที 

 

 

รู้หรือเปล่าว่าผู้ที่กำจัดสกุลหนานกงคือใคร? 

 

 

น้องเขยของข้า เจ้าของพิราบสื่อสารตัวนี้ยังไรเล่า! 

 

 

ตื่นเสียที ไอ้โง่! 

 

 

แต่ทว่าตี้อู่เฮ่ออี้กลับมิได้กล่าวเช่นนั้นออกไป ตรงกันข้ามกลับพยักหน้าราวกับเห็นด้วยเสียเต็มประดา 

 

 

“เรื่องนี้ข้าจะบอกน้องเขยให้เอง นายท่านโปรดวางใจ!” ได้ฟังตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวเช่นนั้น สุ่ยเจ๋อซีก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

เขาชอบลูกน้องที่ซื่อตรง ภักดี และมีความสามารถเช่นนี้ยิ่งนัก 

 

 

“นายท่าน ตอนนี้ข้าจะเริ่มทำการรักษาในขั้นที่สอง ขอนายท่านหลับตาลง ผ่อนคลายให้มากที่สุด…ผ่อนคลาย…” 

 

 

วิชาสะกดจิตของตี้อู่เฮ่ออี้ทำให้เสียงที่ดังอยู่ข้างหูของสุ่ยเจ๋อซีค่อยๆเงียบลงแล้วหายไปในที่สุด เหลือเพียงแค่เสียงใสกังวาลของตี้อู่เฮ่ออี้เท่านั้น ที่นำทางสุ่ยเจ๋อซีออกมาจากความมืดมิดได้ 

 

 

รอจนกระทั่งสุ่ยเจ๋อซีเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ตี้อู่เฮ่ออี้ถึงได้เปิดประตูกวักมือเรียกเชียนเย่เสวี่ยเข้ามา 

 

 

“ท่านหมอเทวดา นี่ท่าน?” สุ่ยเจียงที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอกกล่าวถามขึ้น 

 

 

“อ๋อ ข้ากำลังรักษาอาการป่วยของนายท่าน จึงต้องการให้เหนียงจื่อของข้าเข้ามาช่วย!” 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวกับสุ่ยเจียงพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร 

 

 

รอยยิ้มของตี้อู่เฮ่ออี้ซื่อตรงจริงใจบวกกับที่เมื่อครู่สุ่ยเจ๋อซีมีคำสั่งห้ามใครอื่นเข้าไปด้านใน ดังนั้นสุ่ยเจียงจึงรีบหลีกทางให้ทันที 

 

 

“เชิญท่าน!” 

 

 

สุ่ยเจียงเป็นลูกน้องคนสนิทของสุ่ยเจ๋อซี ย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าอาการป่วยเรื้อรังของเจ้านายคืออะไร บัดนี้ เมื่อมีผู้ที่สามารรักษาอาการป่วยของนายท่านได้ เขาย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว 

 

 

“จริงสิ!” 

 

 

หลังจากที่เชียนเย่เสวี่ยก้าวเข้าไปด้านในห้องแล้ว ตี้อู่เฮ่ออี้ก็คว้ามือของสุ่ยเจียงขึ้นมาจับที่ตำแหน่งชีพจรเอ่ยว่า 

 

 

“ในช่วงนี้เจ้ารู้สึกเจ็บแน่นบริเวณท้องน้อย เจ็บปวดในขณะที่ปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด อีกทั้งยังมีเลือดปนออกมาบ้างไหม? อาการเหล่านี้เป็นมาแรมเดือนแล้วเสียด้วย? 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวจบ สุ่ยเจียงก็รีบพยักหน้าทันที 

 

 

“ใช่ๆ! ท่านหมอเหอ ท่านช่างเก่งกาจจริงๆ!” 

 

 

“นั่นก็เพราะว่าเจ้ามีก้อนนิ่วในไต มา ให้ข้าตรวจดูเสียหน่อย!” 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้เอื้อมมือออกไปกดที่บริเวณเอวของสุ่ยเจียง ซึ่งทำให้สุ่ยเจียงเจ็บจนเกือบทรุดลงกับพื้นเลยทีเดียว 

 

 

“ท่านหมอเหอ ท่านมีวิธีรักษาเจ้านิ่วใช่หรือไม่? ข้าจะตายไหม? ท่านจะต้องช่วยข้านะ!” 

 

 

สุ่ยเจียงได้ยินเพียงคำว่า ‘ก้อนนิ่ว’ สองคำนี้ เขาก็ตกใจจนแทบเป็นลม 

 

 

‘ฟังดูแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งนัก หรือว่ามันคือก้อนหินที่โตอยู่ในไตของเขาอย่างนั้นหรือ?’ 

 

 

‘มันจะถึงตายไหมนะ?’ 

 

 

“เรื่องนี้ไม่ยาก ไม่ยาก! อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้กับเจ้า จากนั้นข้าก็จะปรุงยาให้กับเจ้าอีกจำนวนหนึ่ง เจ้ากินยานี่ให้ตรงเวลาทุกวัน ไม่เกินหนึ่งเดือน โรคของเจ้าก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง!” 

 

 

ได้ยินตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้สุ่ยเจียงซาบซึ้งดีใจจนน้ำตาแทบไหล 

 

 

แม้ว่าเขาเคยไปหาหมอคนอื่นมาบ้าง แต่หมอเหล่านั้นกลับเอาแต่อ้ำอึ้งๆไม่กล้ารับรอง ทว่าตี้อู่เฮ่ออี้ถึงกลับกล้าบอกระยะเวลาที่แน่นอนว่าภายในหนึ่งเดือนตนเองก็จะหาย ทำให้สุ่ยเจียงรู้สึกนับถือหมอหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก 

 

 

“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะเข้าเสียที?” 

 

 

ในตอนนั้นเอง เสียงเรียกของเชียนเย่เสวี่ยดังแว่วออกมาจากในห้อง 

 

 

“มาแล้ว ข้ามาแล้ว!” ด้วยรู้ว่าตอนนี้เชียนเย่เสวี่ย ‘ทำการใหญ่สำเร็จลุล่วง’ ตี้อู่เฮ่ออี้จึงทำทีเป็นรีบเร่งเดินเข้าไปด้านใน แล้วกำกับให้เชียนเย่เสวี่ยกดจุดบนร่างของสุ่ยเจ๋อซีตามตำแหน่งที่เขาบอกสองสามครั้ง จากนั้นจึงเชียนเย่เสวี่ยออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองมาของสุ่ยเจียง 

 

 

หลังจากที่เชียนเย่เสวี่ยออกมาจากห้อง ยังเข้าไปพูดคุยกับสุ่ยเยว่เอ๋อร์ตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งสุ่ยเจียงก็ไม่ได้สงสัยเรื่องนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งสุ่ยเจ๋อซีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองมีเหงื่อออกท่วมร่าง 

 

 

“ยินดีกับนายท่าน!” ตี้อู่เฮ่ออี้ประคองสุ่ยเจ๋อซีขึ้นมา 

 

 

“วันนี้นายท่านสามารถไปทดสอบ——” 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้บอกนัยยะอย่างอ้อมๆ ทว่าเมื่อสุ่ยเจ๋อซีได้ยินดังนั้นดวงตาทั้งข้างก็เป็นประกาย 

 

 

“ท่านหมอเทวดาเหอ ความหมายของท่านคือ?” 

 

 

“วันนี้นายท่านสามารถให้สดชื่นอุราได้ราวหนุ่มแน่นอีกครั้ง!” 

 

 

‘สดชื่นอุราได้ราวหนุ่มแน่น!’ 

 

 

สี่คำนี้คือจุดสำคัญที่สุด หลายปีที่ผ่านมานี้ เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มโรยรากระทำการอย่างว่าไม่ไหวขึ้นทุกที ดังนั้นน้อยนักที่จะไปค้างกับบรรดาเมียๆทั้งหลาย จนถึงขนาดที่ว่าเหล่าภรรยาหรืออนุภรรยาของเขาถึงกับร่ำร้องบ่นว่ากันเป็นแถวๆ