ฟังเหยียนเฉินพูดมาทั้งหมด ในที่สุดใบหน้าของเซี่ยม่อหานก็ผ่อนคลายลงบ้าง
“เจ้าออมแรงไว้หน่อยก็ดี ประเดี๋ยวหลังข้าออกไปทำตามแผนการ เจ้าจะได้แอบออกไปช่วยฉินเหลียนประคองสถานการณ์ในเมืองหลินอันให้มั่นคง” เหยียนเฉินผละมือคลายการสะกดจุดแล้วเอ่ยขึ้น
“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย จะต้อง…พาน้องกลับมาอย่างปลอดภัย” เซี่ยม่อหานกำชับหนักแน่น
“เจ้าวางใจเถอะ ถ้าแผนการไม่รอบคอบพอ ข้าจะไม่บุ่มบ่ามเกินควร” เหยียนเฉินพูดจบก็เดินออกไป
หลังเหยียนเฉินออกไปแล้ว เซี่ยม่อหานก็หย่อนกายนั่งลงบนเตียง นวดหว่างคิ้วแผ่วเบาเนิ่นนาน ก่อนตะโกนขึ้น “ทิงเหยียน”
“ท่านโหว” ทิงเหยียนรีบวิ่งเข้ามาในห้อง
“เจ้าออกไปเตรียมตัว เปลี่ยนเป็นชุดเดินทาง แล้วตามข้าไปดูสถานการณ์ที่ประตูเมือง” เซี่ยม่อหานสั่ง
“ท่านโหว ในเมื่อท่านติดโรคห่าก็พักอยู่ในห้องเถิด ตอนนี้ที่ประตูเมืองวุ่นวายมาก ท่านหญิงเหลียนก็อยู่ด้วย หากท่านเป็นอะไรไปคงไม่ดีนัก” ทิงเหยียนชะงักตกใจ กล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“เพราะตอนนี้ที่ประตูเมืองวุ่นวาย ถึงอย่างไรท่านหญิงเหลียนก็เป็นสตรีที่เติบโตมาในตำหนักหอนอน เกรงว่ายากจะรีบมือได้ ข้าถึงยิ่งต้องไปดู อย่ามัวพูดมาก รีบไปเตรียมตัวเสีย เราจะแอบออกไป อย่ากระโตกกระตาก” เซี่ยม่อหานยกมือไล่
ทิงเหยียนห่อปาก เวลานานถึงเพียงนี้เขาย่อมคุ้นเคยกับนิสัยของเซี่ยม่อหานดีแล้ว หากพูดโน้มน้าวใจเขามิได้ แสดงว่าเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจดีแล้วว่าจะทำ ไม่มีทางเปลี่ยนใจโดยเด็ดขาด ทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วออกไปเตรียมตัว
ไม่นานทั้งสองก็เตรียมตัวพร้อม หาได้ออกทางประตูหน้าหลังของเรือนไม่ หากแต่ปีนกำแพงลอบออกจากจวนหลังนี้แทน
ทั้งเมืองอบอวลไปด้วยกลิ่นเน่าไม่น่าพิสมัย
หลังข้ามกำแพงเรือนสูงใหญ่ออกมาก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากทางประตูเมือง แลดูชุลมุนยิ่งนัก
“รีบไป” เมื่อเท้าของเซี่ยม่อหานสัมผัสพื้นก็เร่งทิงเหยียนทันที
ทิงเหยียนพยักหน้า ทั้งสองรีบวิ่งไปยังประตูเมือง
เมื่อมาถึงถนนใหญ่ พบเพียงประชาชนกลุ่มใหญ่กำลังกรูกันไปยังประตูเมืองราวกับหนีเอาชีวิตรอด
“ได้ยินว่ารัชทายาทไม่ไหวแล้ว ยามนี้ท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าไปอีกคน ไม่มีสมุนไพรดำม่วง ไม่ใช่แค่คนที่ติดโรคห่าเท่านั้นที่จะตาย แต่พวกเราที่ไม่ได้ติดโรคก็จะต้องตายไปด้วย” มีคนเดินพลางตะโกนขึ้น
“ใช่ รัชทายาทใกล้ตายแล้ว ท่านโหวเซี่ยเดิมร่างกายอ่อนแอ ตั้งกี่วันมาแล้วยังหาสมุนไพรดำม่วงไม่ได้ หรือว่าเราจะนั่งรอความตายจริงๆ”
“ข้าไม่อยากตาย”
“ใครอยากตายบ้างเล่า ได้ยินว่าประตูเมืองเปิดแล้ว เรารีบหนีกันดีกว่า”
“ประตูเมืองเปิดแล้วจริงหรือ”
“ไม่เปิดก็ต้องเปิด ยามใดแล้ว ได้ยินว่าพวกนายท่านขุนนางส่วนใหญ่ล้วนติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ตอนนี้ยังมีใครหาสมุนไพรดำม่วงมาช่วยเราได้อีก จะพึ่งพาเพียงท่านหญิงเหลียนที่เป็นสตรีคนหนึ่งหรือ นางเติบโตจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก แม้แต่ถอนหญ้าขุดดินยังทำไม่เป็น จะมีความอดทนสักเท่าไรเชียว”
“ใช่แล้ว เช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ”
…
คนกลุ่มหนึ่งเป็นแกนนำ คนในเมืองที่เหลือคล้ายถูกปลุกระดม ต่างพากันกรูไปยังประตูเมือง
ไม่นานบนถนนก็คลาคล่ำด้วยมวลชนเหมือนน้ำระบายไม่ออก ใบหน้าผู้คนแสดงออกถึงความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายจากก้นบึ้งหัวใจ
ตอนที่เซี่ยม่อหานกับทิงเหยียนมาถึงถนนเส้นนี้ยังมีคนไม่มากนัก หลังทั้งสองเดินไปไม่ไกล ถนนทั้งสายก็แน่นขนัดจนไม่เหลือที่ยืน
ทิงเหยียนเห็นสถานการณ์ที่ทุกคนพากันหนีตายราวเสียสติก็มิปาน ใบหน้าพลันซีดขาว ยกมือจับแขนเสื้อของเซี่ยม่อหานไว้ “ท่านโหว นี่จะทำเช่นไร ถึงแม้เราไปแล้วก็เกรงว่าจะควบคุมไม่อยู่”
เวลานี้เซี่ยม่อหานถึงเข้าใจสิ่งที่เหยียนเฉินคาดการณ์ไว้ จริงดังที่บอก ไม่ต้องรอสมุนไพรดำม่วงของเซี่ยฟางหวามาถึง หากไม่ยับยั้งสถานการณ์ หาทางอื่นมิได้ ปล่อยให้ความชุลมุนนี้ดำเนินต่อไป ไม่ต้องรอให้โรคห่าระบาดปกคลุมทั้งเมืองหลินอัน ทุกคนก็จะตายกันหมดก่อน ถึงอย่างไรเมื่อประชากรแสนกว่าคนในเมืองหลินอันรวมเข้าด้วยกัน ถึงมีทหารมากน้อยก็มิอาจควบคุมไหวเช่นกัน
“เราไปที่ประตูเมืองกันก่อน ดูสถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” เซี่ยม่อหานกล่าว
ทิงเหยียนพยักหน้าด้วยความสั่นกลัว
ทั้งสองไหลตามคลื่นมนุษย์มาจนถึงประตูเมือง
พบว่าประตูเมืองยังคงปิดสนิท เหล่าทหารถือดาบในมือ ป้องกันรอบประตูเมืองด้วยความเข้มงวด
ฉินเหลียนสวมเครื่องแบบทหารตลอดร่างราวกับแม่ทัพใหญ่ที่กำลังจะออกรบก็มิปาน นางยืนอยู่บนกำแพงเมือง ใบหน้าแม้ซีดขาว ทว่าภายใต้แสงสะท้อนจากอาทิตย์อัศดง ขับแสงสีแดงทองอันหนาวเหน็บให้เด่นชัด นางวางมาดเข้มงวดสุขุมพลางมองประชาชนล่างกำแพงเมือง ในมือถือกระบี่เล่มหนึ่ง ร่างกายบอบบางแลดูเข้มแข็งขึ้นในเวลานี้
ข้างหลังนางมีซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน ซื่อหว่าน ผิ่นจู๋ ผิ่นเซวียน ผิ่นเหยียน และผิ่นชิงแปดคนยืนอยู่
ซื่อฮว่ากับผิ่นจู๋เดิมทีออกจากเรือนพำนักของรัชทายาทฉินอวี้เพื่อไปหาเซี่ยม่อหาน ระหว่างทางพบ
เหยียนเฉิน ทั้งแปดจึงทราบว่าเซี่ยม่อหานปลอดภัยดี และทำตามคำสั่งของเหยียนเฉินด้วยการมาช่วยฉินเหลียนที่ประตูเมือง
ฉินเหลียนเดิมทีเห็นสถานการณ์ความวุ่นวายเช่นนี้ที่ประตูเมืองก็ทำอันใดไม่ถูก ทว่าหลังเห็นพวก
ซื่อฮว่าแปดคนก็พลันนึกถึงเซี่ยฟางหวา ไม่ว่ายามใดหรือต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด เซี่ยฟางหวามักจะมั่นคงดั่ง
ภูผา นิ่งสุขุมพร้อมเผชิญหน้าทุกสิ่ง เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็พลันมีความมั่นใจ หยิบกระบี่ขึ้นมาถือข้างหน้า ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากมีคนบุกถลันออกมา นางจะใช้วิธีการสังหารหนึ่งเตือนร้อย แม้นางไม่เคยสังหารใครด้วยตัวเองมาก่อน แต่ในเวลาแบบนี้มิอาจใจอ่อนได้แล้วเช่นกัน
“เปิดประตู!”
“เปิดประตู!”
“รีบเปิดประตู!”
…
มีคนนำตะโกนขึ้น ตามมาด้วยหลายคนตะโกนขึ้นตาม แม้กำลังตะโกน แต่เห็นทหารยืนอยู่ด้วยความเคร่งขรึมก็ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวออกมา
ฉินเหลียนมองคนนำตะโกนผู้นั้น พบว่าดูผอมอ่อนแออย่างยิ่ง คล้ายกับบัณฑิตผู้อ่อนแอคนหนึ่ง หากบอกว่าเซี่ยม่อหานรูปร่างผอมและอ่อนแอพอแล้ว คนผู้นี้ยังผอมยิ่งกว่าเขามาก บัณฑิตผู้นี้มีทักษะการปลุกระดมมากอย่างเห็นได้ชัด เพียงเขาเอ่ยปาก ประชาชนก็เสมือนน้ำที่ทะลักจากประตูเก็บน้ำ เดือดพล่านลุกฮือขึ้นทันที
“ท่านหญิง บัณฑิตผู้นี้มีวิทยายุทธ์แน่นอน อีกทั้งสภาพร่างกายอ่อนแอของเขานั้นเป็นการเสแสร้ง ข้าเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม แค่มองปราดเดียวก็มองออกแล้ว” ผิ่นจู๋ขยับเข้าใกล้ฉินเหลียน กระซิบกล่าวขึ้น
ฉินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเยือกเย็นทันที “กะแล้วว่าต้องมีคนยุยง” พูดจบ นางก็กระซิบถาม “พวกเจ้าว่าวิทยายุทธ์เขาเป็นเช่นไร ยับยั้งสังหารเขาได้หรือไม่”
“เขาถูกมวลชนล้อมอยู่ตรงกลาง แน่นขนัดเบียดมิได้ อีกทั้งตอนนี้ยังสว่างอยู่ เขาแค่เป็นแกนนำก่อความวุ่นวายกลางวันแสกๆ เท่านั้น ชักจูงจิตใจประชาชนได้ ทำให้ประชาชนมารวมกลุ่มกัน ถึงแม้วิทยายุทธ์ของเราสังหารเขาได้ แต่มิอาจบุ่มบ่ามลงมือ เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนโกรธเคืองมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นคงมิอาจควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว” ซื่อฮว่ากล่าว
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี” ฉินเหลียนโมโหจนกัดฟันพูด
“ท่านหญิงนิ่งไว้ก่อนเจ้าค่ะ เจรจาด้วยถ้อยคำดีๆ หากควบคุมไม่อยู่จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องลงมือกับคนผู้นั้น จากนั้นค่อยประกาศต่อประชาชนว่ามีคนฉวยโอกาสที่โรคห่าระบาดคิดทำลายเมืองหลินอัน ต้องโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้ได้ถึงจะควบคุมสถานการณ์ได้” ซื่อฮว่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ถึงอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองหลินอันก็อยู่ที่นี่มาหลายชั่วคน หากมิใช่ว่าส่งผลกระทบต่อชีวิต ย่อมไม่อยากออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่นเช่นกัน”
“เจ้าพูดมีเหตุผล ดี จัดการเช่นนี้ก่อน” ฉินเหลียนผงกศีรษะ เมื่อได้ยินความคิดเห็นของซื่อฮว่าก็สงบใจได้ครึ่งหนึ่ง นางกวาดตามองไปเบื้องล่างแล้วกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “แม้เสด็จพี่รัชทายาทติดโรคห่า แต่ได้คุณชายเหยียนเฉินใช้ยายับยั้งไว้แล้ว ตอนนี้มีการส่งคนไปตามหาสมุนไพรดำม่วงอย่างเต็มที่ ท่านโหวเซี่ยก็เพิ่งติดโรคห่าเท่านั้น ตอนนี้คงฟื้นขึ้นมาแล้ว และต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก อย่าถูกผู้ไม่หวังดียุยง สงบใจรอสมุนไพรดำม่วงมาถึงเถิด”
“ตั้งกี่วันมาแล้ว ยังไม่มีวี่แววสมุนไพรดำม่วงเลย” มีคนตะโกนขึ้น “ท่านหญิงเหลียน ท่านเป็นบุตรีในตระกูลควรอยู่แต่ในหอนอนเฉยๆ มากกว่า ออกมาปิดประตูเมืองทำไมกัน ฝ่าบาทมิใช่ตรัสว่าทรงระแวงการให้สตรีกุมอำนาจที่สุดหรือ”
“ข้าเป็นสตรีแล้วอย่างไร ข้ารักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เช่นกัน ทำในสิ่งที่บุรุษทำไม่ได้ เมืองหลินอันมีภัย พี่ชายรัชทายาทกับท่านโหวเซี่ยล้มป่วย ข้าจึงได้รับหน้าที่ในยามขับขัน ข้าเป็นทายาทจวนอิงชินอ๋อง เติบโตจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก เชื่อฟังคำสั่งสอนของเสด็จอาตลอดมา การรักษาเมืองหลินอันให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเกี่ยวอันใดกับกิจบ้านเมือง” ฉินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็เดือดดาล
พูดจบ นางไม่รอให้ประชาชนเอ่ยแทรกก็เอ่ยถามเสียงแข็ง “เมื่อครู่ผู้ใดตั้งข้อสงสัยกับข้า คนผู้นี้ต้องมีเจตนาร้ายเป็นแน่ หากเจตนาดีคงไม่ตั้งข้อสงสัยข้าเช่นนี้แน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยสาบานร่วมกับรัชทายาทและท่านโหวเซี่ยว่าจะผ่านวิกฤตการณ์นี้ร่วมกับประชาชนในเมืองหลินอัน” หยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวด้วยเสียงดุดัน “ใครก็ได้ จับตัวผู้ที่กล่าวเยี่ยงนั้นมาให้ข้าแล้วสังหารเสีย!”
เหล่าประชาชนอุทานเสียงต่ำทันที พากันเงียบลง
ผู้พูดประโยคนั้นคือคนที่อยู่ข้างบัณฑิตผู้อ่อนแอ นึกไม่ถึงว่าฉินเหลียนพูดเพียงสองประโยคก็จะประหารชีวิตเขาแล้ว เขารีบมองขอความช่วยเหลือจากบัณฑิตผู้นั้นทันที
“ท่านหญิงโปรดระงับโทสะ ตอนนี้ประชาชนครึ่งหนึ่งในเมืองล้วนติดโรคห่า หลายวันแล้วยังไม่มีวี่แววของสมุนไพรดำม่วง มีศพกองใหญ่ถูกเผาในทุกวัน พวกเราตรงนี้แค่ไม่อยากตายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ตรงนี้ไม่มีใครติดโรคห่า ปล่อยพวกเราออกไปเถิด” บัณฑิตผู้นั้นกระแอมไอขึ้นมา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรงท่ามกลางความเงียบ
“ใช่แล้ว เราแค่อยากออกจากเมืองเท่านั้นเอง ปล่อยพวกเราไปเถิด”
“ขอท่านหญิงมีเมตตา ปล่อยพวกเราออกไปเถิด”