จากความชุลมุนที่อยากออกจากเมืองเมื่อครู่ กลายเป็นเสียงอ้อนวอนนับไม่ถ้วน
ฉินเหลียนเดิมทีเป็นคนจิตใจดี ถ้าอยากให้นางเด็ดขาดนางก็ทำได้โดยไม่หวั่นเกรง ทว่าตอนนี้เหล่าประชาชนกำลังอ้อนวอนนางเป็นเสียงเดียวกัน นางเริ่มทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ใบหน้าฉายแววความลำบากใจ
“ท่านหญิง อดทนไว้เจ้าค่ะ อย่าใจอ่อน ประชาชนเหล่านี้แม้น่าสงสาร แต่ท่านลองคิดดูว่าหากปล่อยพวกเขาออกไป หากมีคนติดโรคห่าแฝงตัวออกไปด้วยเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนโรคห่าแสดงอาการนั้นไม่มีอาการบอก ท่านนึกถึงรัชทายาทกับท่านโหวดูสิเจ้าคะ”
ฉินเหลียนรวบสติขึ้นมา ตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้ากลัวอะไร ต้องมีสมุนไพรดำม่วงแน่นอน หากไม่มีสมุนไพรดำม่วง ข้าจะตายไปพร้อมกับพวกเจ้า”
“ถึงอย่างไรท่านหญิงก็เป็นสตรี สุภาษิตกล่าวว่าสตรีกับคนถ่อยยากเข้าหา*[1] สตรีมิใช่วีรชน มีโอกาสเปลี่ยนใจและผิดคำพูดได้ตลอดเวลา หากถึงตอนนั้นไม่มีสมุนไพรดำม่วงจริง แต่ท่านหนีปัญหาออกไปจากเมืองเล่า พวกเราจะทำเช่นไร” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวขึ้น
ฉินเหลียนเดือดจัด ทราบดีว่าในเมื่อคนผู้นี้ถูกส่งมาก่อกวนอย่างลับๆ ได้ ย่อมมีวาจาคมคายแน่นอน นางเอ่ยขึ้น “ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ หากทอดทิ้งเมืองแห่งนี้หนีไป ขอให้ฟ้าผ่าตาย”
คนโบราณให้ความสำคัญกับคำสาบานที่สุด ดังนั้นเมื่อนางลั่นวาจาออกมา เหล่าประชาชนจึงพากันเงียบเสียงลงทันที
ถึงอย่างไรฉินเหลียนก็เป็นทายาทจวนอิงชินอ๋อง เติบโตจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนจากฮองเฮา เรียกได้ว่ามีฐานะสูงศักดิ์ยิ่งกว่าองค์หญิงทุกคนในราชวงศ์ นางเอาฐานะสูงศักดิ์มาทิ้งไว้ที่เมืองหลินอันที่อยู่ในวิกฤตเช่นนี้ ทั้งยังให้คำสาบานว่าหากไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็จะไม่ไปไหน ถือว่าเป็นวีรสตรีในหมู่หญิง
ประชาชนมากมายรู้สึกดีต่อท่านหญิงผู้เติบโตมาในวังหลวงท่านนี้ทันที
“ท่านหญิงเอ่ยคำสาบานจะมีประโยชน์ใด หากไม่มีสมุนไพรดำม่วง ประชาชนแสนกว่าคนในเมืองก็ต้องตาย เมื่อเทียบกับชีวิตที่เป็นตายเท่ากันแล้ว ถึงแม้ท่านเป็นท่านหญิง แต่คำสาบานของท่านก็มิได้สูงส่งขึ้น” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวขึ้น
ประชาชนได้ยินเช่นนี้ก็พลันคิดว่ามีเหตุผล ส่งเสียงคล้อยตามกัน
“ท่านหญิงรีบเปิดประตูเมืองเถิด” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวอีก
“เปิดประตู”
“เปิดประตู”
“เปิดประตู”
…
ทุกคนตะโกนขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน
“หากท่านหญิงยังไม่เปิดประตู พวกเราจะบุกออกไปแทน แม้ด้วยร่างกายอ่อนแอของข้าน้อยย่อมหวาดกลัวคมกระบี่ในมือท่านหญิง แต่ถ้ามันจะทำให้พี่น้องในเมืองได้ออกไปมีชีวิตใหม่ได้ ถึงข้าน้อยต้องถูกท่านหญิงสังหารก็ยินดี” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวขึ้นอีก
เขาลั่นวาจาเช่นนี้ ประชาชนก็ร้องโวยวายเสียงดังทันที
“ทุกคนอย่ากลัว ในเมื่อท่านหญิงไม่เปิดประตูเราก็จะบุกออกไป ออกไปได้คนเดียวก็คนเดียว ออกไปได้สองคนก็สองคน ขอเพียงพวกพี่น้องมีชีวิตรอดต่อไป ก็ถือว่าเป็นคุณงามความดีของเราประการหนึ่ง” บัณฑิตผู้นั้นตะโกนขึ้นอีก
“ถูก ถูกต้อง เราบุกออกไปเถอะ”
“ทุกคนไม่ต้องกลัวกระบี่ในมือท่านหญิง บุกเถอะ”
“บุก!”
ทุกคนพลันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พากันกรูเข้าไปหาทหารอารักขาเมือง
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ห้ามบุกออกไป ผู้ใดทำเช่นนั้นข้าจะสังหารให้หมด” ฉินเหลียนกล่าวด้วยโทสะ
เสียงของนางจมหายไปในเสียงของคนที่กำลังกรูไปข้างหน้า ประชาชนดั่งได้รับยากระตุ้น คิดแต่เพียงจะบุกออกไปให้ได้ เดิมไม่ฟังสิ่งที่ฉินเหลียนพูดอีกแล้ว
“ทำเช่นไรดี” ฉินเหลียนลนลาน เอ่ยถามคนข้างหลัง
“ท่านหญิง เราลงมือเถิด สังหารคนผู้นั้น” ซื่อฮว่าคิดว่ายามนี้ไม่ว่าฉินเหลียนพูดสิ่งใดก็ไม่เป็นผลแล้ว ทำได้เพียงลงมือเท่านั้น แต่หากลงมือต้องมีผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายเป็นแน่ ทว่าก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน
“ได้ พวกเจ้าลงมือเถอะ ระวังตัวด้วย นอกจากคนผู้นั้น เกรงว่ายังมีผู้ช่วยคนอื่นหลบซ่อนในที่ลับอีก” ฉินหลียนกำชับ
ซื่อฮว่าพยักหน้า ตวัดมือเรียกซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่าน ทั้งสี่ชักกระบี่ออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน พุ่งเป้าไปยังบัณฑิตผู้อ่อนแอคนนั้น
บัณฑิตผู้นั้นฉวยโอกาสช่วงชุลมุนคว้าตัวผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งมาขวางตนไว้
กระบี่ของซื่อม่อเป็นกระบวนท่าสังหารในคราเดียว นางกลับลำไม่ทัน ดาบทะลวงหัวใจของผู้บริสุทธิ์คนนั้น
“ท่านหญิงสังหารคนจริงๆ” บัณฑิตผู้นั้นรีบปล่อยผู้เคราะห์ร้ายแล้วตะโกนขึ้น
ประชาชนโดยรอบหันมามอง เมื่อเห็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดาบทะลวงหัวใจเข้าก็พากันโกรธแค้น “ท่านหญิงมิใช่คนดี คิดจะสังหารพวกเราจริงๆ เรารีบหนีกันเถอะ”
ฉินเหลียนมองจากบนกำแพง โกรธเกรี้ยวจนใบหน้าเขียวคล้ำ เอาแต่แค้นเคืองตนเองที่ไม่ยอมเรียนวิทยายุทธ์ เรียนรู้เพียงวิชาต่อสู้เบื้องต้นเท่านั้น หากมีวิทยายุทธ์ดีจะต้องสังหารบัณฑิตผู้นั้นด้วยตัวเองได้แน่นอน
ทหารอารักขาเมืองกับประชาชนที่จะออกจากเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ชุลมุนยิ่งกว่าเก่า เพียงพริบตาก็บีบบังคับให้ทหารต้องลงมือทำร้ายประชาชนไปหลายคนต่อเนื่องกัน และขณะที่ทุกคนกำลังชุลมุนก็เบียดเสียดจนเหยียบกันบาดเจ็บไปหลายคนด้วย
ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านมองหน้ากัน ทราบดีว่าบัณฑิตผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทั้งสี่จึงย้ายตำแหน่งไปยืนคนละมุมในสี่ทิศทางเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่สี่ทิศ ต้องสังหารบัณฑิตผู้นี้ก่อน เมื่อประชาชนไม่ถูกยุยงปลุกปั่นจนเหนือการควบคุมแล้วก็จะสงบลงเอง
แต่บัณฑิตผู้นี้มีวิทยายุทธ์สูงมาก ไม่นึกว่าค่ายกลกระบี่สี่ทิศของทั้งสี่ร่วมกับวิทยายุทธ์ที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจะทำอันใดเขาไม่ได้เลย กลับยิ่งถูกเขาขัดขวางด้วยการสังหารประชาชนอีกหลายคน
“พวกเจ้าก็ลงไปช่วยพวกนางเถอะ” ฉินเหลียนเห็นแล้วก็ร้อนใจ
“มิได้เจ้าค่ะ เราสี่คนต้องปกป้องท่านหญิง คุณชายเหยียนเฉินสั่งงานไว้ก่อนแล้ว ต่อให้ประตูเมืองวุ่นวายเพียงใด ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเท่าไร ก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของท่านหญิงก่อน” ผิ่นจู๋รีบกล่าว
“ยามใดแล้ว ความปลอดภัยของข้าไม่ได้สำคัญแล้ว ไปสังหารคนชั่วผู้นั้นเสีย” ฉินเหลียนไล่
“ท่านหญิงเหลียน ท่านออกจากเมืองมาพร้อมท่านโหวของเรา ท่านอ๋องน้อยเจิงฝากฝังท่านโหวให้ช่วยดูแลท่าน ดังนั้นท่านถึงเป็นอะไรไปมิได้เด็ดขาด หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา ท่านคิดดูสิว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะซักถามท่านโหวอย่างไร ยังมีอิงชินอ๋อง พระชายาที่ต้องเสียใจจนแทบใจสลาย” ผิ่นจู๋ส่ายหน้า
“พี่ชายข้าไม่ได้เป็นห่วงข้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซักถามอันใดกัน รีบไปลงช่วยพวกนาง” ฉินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยความโมโห
“ท่านหญิงพูดเช่นนี้ช่างขาดจิตสำนึกนัก ท่านทบทวนตัวเองดูให้ดีสิเจ้าคะ ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่เป็นห่วงท่านซึ่งเป็นน้องสาวเลยจริงหรือ” ผิ่นจู๋ย้อนถามอย่างไม่เห็นด้วย
ฉินเหลียนชะงัก
“ท่านหญิงสงบใจลงก่อน ข้าเห็นว่าท่านโหวมาแล้ว ท่านโหวเป็นคนฉลาด คงมีวิธีการรับมือเป็นแน่” ผิ่นจู๋กวาดตามองท่ามกลางฝูงชน มองเห็นเซี่ยม่อหานที่ปลอมตัวง่ายๆ ก็ดีใจทันที รีบกล่าวขึ้น
“เซี่ยม่อหาน เขาอยู่ไหน” ฉินเหลียนรีบมองหา
“ข้าเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม น้อยวิชาแปลงโฉมในใต้หล้าจะปิดบังสายตาข้าได้ ดังนั้นข้าจึงมองวิชาแปลงโฉมของท่านโหวออก ท่านหญิงอย่าเพิ่งวู่วาม อดใจรอสักครู่ ท่านโหวต้องมีแผนแน่” ผิ่นจู๋บอก
“ก็ได้” ฉินเหลีนได้ยินว่าเซี่ยม่อหานมาแล้วก็สงบลงทันที
ท่ามกลางกลุ่มคนก่อความวุ่นวาย กลิ่นเลือดคาวคลุ้งทั่วสารทิศ
ทิงเหยียนร้อนใจจนมืดแปดด้าน หลบข้างหลังกลุ่มคนแล้วเอ่ยถามเซี่ยม่อหานด้วยความลนลาน “ท่านโหว ทำเช่นไรดี รีบคิดหาทางสังหารบัณฑิตผู้นั้นเถิด ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าต้องตายไปอีกกี่คน”
“สิ่งที่พวกซื่อฮว่าสี่คนเชี่ยวชาญไม่ใช่วิทยายุทธ์ พวกนางแปดคน แต่ละคนเชี่ยวชาญในแขนงวิชาที่ต่างกันออกไป แรกเริ่มที่ข้าฝึกฝนพวกนางเพราะรู้ว่าน้องสาวข้าเรียนรู้ศิลปะวิชาการที่เขาไร้นาม วิชาการต่อสู้ย่อมไม่อ่อนด้อย กลัวว่านางจะขาดสิ่งอื่น จึงฝึกฝนพวกนางในแต่ละด้านเพื่อคอยช่วยเหลือนาง แต่เมื่อพบกับผู้มีวิชาการต่อสู้ที่แท้จริง แม้พวกนางวางค่ายกลก็ไม่เป็นผล” เซี่ยม่อหานกล่าว “ดูท่าข้าต้องลงมือเองแล้ว”
“ท่าน…จะลงมือ” ทิงเหยียนสะดุ้งโหยง “ท่านโหว ร่างกายท่าน…”
“ไม่มีปัญหา” เซี่ยม่อหานพูดจบก็พลันเหินกายขึ้น กระบี่ในมืออัดแน่นด้วยกำลังภายใน รัศมีสีทองโจมตีไปยังบัณฑิตผู้อ่อนแอคนนั้น
เวลานี้ กระบี่ของพวกซื่อฮว่าสี่คนต่างแยกกันทะลวงไปยังจุดตายรอบกายบัณฑิตผู้นั้นพอดี
บัณฑิตผู้นั้นมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่กลัวค่ายกลกระบี่ของพวกซื่อฮว่าสี่คน แต่เซี่ยม่อหานแม้ล้มป่วยและมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทว่าเพราะมีฐานะเป็นซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว ไม่ว่าจะการต่อสู้ในที่แจ้งหรือที่ลับ ดังนั้นจำต้องฝืนร่างกายร่ำเรียนการปกครองและการต่อสู้ให้เหนือชั้นมาด้วยความยากลำบาก เป็นเขาลงมือย่อมแตกต่างจากพวกซื่อฮว่าสี่คน โดดเด่นกว่าเป็นไหนๆ
บัณฑิตผู้นั้นหลบกระบี่ของเซี่ยม่อหานไม่ทัน ทันใดนั้นก็แผ่รังสีโหดเ**้ยม ขว้างกระบี่ของตนเองไปยังฉินเหลียนที่อยู่บนกำแพงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
กระบี่นี้ทั้งรวดเร็ว โหดเ**้ยม และรุนแรงอย่างยิ่ง หากถูกกระบี่เล่มนี้ทะลวงเข้าไป ฉินเหลียนหากมิตายก็ต้องบาดเจ็บเป็นแน่
[1] *สตรีกับคนถ่อยยากเข้าหา เป็นคำสอนของขงจื๊อ หมายความว่า หากจะเข้าหาคนสองประเภทนี้ต้องรู้จักระยะห่าง เข้าใกล้เกินก็เสียมารยาท รักษาระยะห่างเกินก็ไม่พอใจ