ตอนที่ 89 โชคดีมีอวิ๋นจี้

จารใจรัก

ฉินเหลียนจับตามองการเคลื่อนไหวหลังกำแพงตลอดเวลา เดิมไม่นึกไม่ฝันว่าบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นจะหันคมกระบี่มาลงมือกับนางแทน

 

 

           กระบี่เล่มนั้นอัดแน่นด้วยพลังทั้งหมดของบัณฑิต พุ่งมาด้วยเสียงดังแหวกอากาศ โหดเ**้ยมอย่างยิ่ง

 

 

           เซี่ยม่อหานมองกระบี่ที่มุ่งไปยังฉินเหลียนด้วยกำลังมหาศาล สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ตะโกนดังลั่น “คุ้มครองท่านหญิง!”

 

 

           ผิ่นจู๋ ผิ่นชิง ผิ่นเซวียน และผิ่นเหยียนไม่คาดคิดว่าบัณฑิตผู้นั้นหมายจะสังหารฉินเหลียนโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตนเอง พวกนางตกใจจนหน้าถอดสี ต่างชักกระบี่ออกมากันกระบี่เล่มนั้น ทว่าการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มีโดยไม่คิดถึงชีวิตของบัณฑิตผู้นั้นรุนแรงเกินไป เห็นเพียงกระบี่เล่มนั้นถูกขว้างมาด้วยกำลังมหาศาล ชั่วพริบตาก็ดีดกระบี่ที่พวกนางทั้งสี่นำออกมาป้องกันออกไปทีละคน มันทะลวงแนวป้องกันของทั้งสี่ ก่อนปักโดนฉินเหลียนดัง ‘ฉึก’

 

 

           ฉินเหลียนร้องอุทาน ก่อนที่ร่างกายจะเอนหงายหลังลงไป

 

 

           ผิ่นจู๋หันไปมองด้วยความตื่นกลัว พบว่าตำแหน่งที่ฉินเหลียนยืนนั้นอยู่ตรงกับมุมกำแพงพอดี ยามนี้นางถูกกระบี่ปักกลางหน้าอก ร่างกายเสียการทรงตัวร่วงตกไปนอกกำแพง นางตกใจ รีบพลิ้วกายไปคว้ามือนางไว้ ทว่าคว้าได้เพียงปลายแขนเสื้อนางเท่านั้น ปลายแขนเสื้อฉีกขาดดัง ‘แควก’ ฉินเหลียนร่วงตกลงไปดังเดิม

 

 

           ผิ่นจู๋เหินกายหมายตามลงไปคว้าตัวนางขึ้นมา ทว่าผิ่นเซวียนก็คว้าแขนนางไว้ก่อน “เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วรึ”

 

 

           “ท่านหญิงเหลียน…ตกลงไปแล้ว” ผิ่นจู๋ถูกห้าม ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ

 

 

           “กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ หากไม่มีเชือกช่วย กระโดดลงไปมีแต่ตาย” ผิ่นเซวียนก็หน้าซีดเช่นกัน

 

 

           “แต่ท่านหญิง…ท่านหญิงจะทำเช่นไร” ผิ่นจู๋มองฉินเหลียนที่ดั่งใบไม้ร่วงหล่นจากกำแพง นางชะโงกหน้ามองลงไป ทว่ามองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เห็นเพียงประกายกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวบริเวณหน้าอกเท่านั้น นางพึมพำขึ้น “ท่านอ๋องน้อยมีน้องสาวเพียงคนเดียว ฝากฝังให้ท่านโหวช่วยดูแล หากตายไป ท่านอ๋องน้อยต้องเอาเรื่องท่านโหวเป็นแน่ เช่นนั้น ด้วยนิสัยที่รักพี่ชายยิ่งชีพของคุณหนูแล้วจะต้องปกป้องท่านโหวแน่นอน เดิมทีนางกับท่านอ๋องน้อยมิใช่สามีภรรยากันแล้ว ความรักที่มีให้กันจางลง หากเกิดเรื่องนี้เพิ่มเติมทำให้มิอาจกลับไปเป็นแบบเดิมได้ จะ…”

 

 

           ฝ่ามือของผิ่นเซวียนที่คว้าแขนผิ่นจู๋ผละออกอย่างสั่นระริก

 

 

           ยามนี้ผิ่นชิงกับผิ่นเหยียนก็มองฉินเหลียนที่ตกลงไปนอกกำแพงด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน

 

 

           เซี่ยม่อหานสังหารบัณฑิตผู้นั้นในคราเดียว เขาเห็นเหตุการณ์บนกำแพงชัดเจน ใบหน้าพลันฉายแววสิ้นหวัง

 

 

           ก่อนตายบัณฑิตผู้นั้นได้แสยะยิ้มลำพองใจแก่เซี่ยม่อหาน “ชีวิตอันต่ำต้อยของข้าแลกกับชีวิตอันสูงศักดิ์ของท่านหญิง นับว่าน่าพึงพอใจแล้วเช่นกัน” สิ้นเสียงก็สิ้นใจตาย

 

 

           เซี่ยม่อหานปล่อยกระบี่ในมือด้วยตัวสั่นเทา กระบี่ร่วงตกบนพื้นดัง ‘เคร้ง’ สะท้อนก้องชัดเจน

 

 

           ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างประชาชนกับทหารสงบลงแล้วในยามนี้ ราวกับทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว

 

 

           ทั้งในและนอกกำแพงเมืองเงียบสงัดจนน่าประหลาด

 

 

           กระทั่งร่างของฉินเหลียนใกล้กระแทกลงกับพื้น ผิ่นจู๋ ผิ่นเซวียน ผิ่นชิง และผิ่นเหยียนต่างหลับตาลงพร้อมกัน กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ ถึงแม้พวกนางซึ่งมีวิทยายุทธ์กระโดดลงไปก็กระแทกจนมิตายก็บาดเจ็บเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉินเหลียนยังมีกระบี่เล่มหนึ่งปักคาหน้าอก นางที่ตกลงไปโดยไร้แรงต้านเกรงว่าร่างจะแหลกเละเป็นโคลน

 

 

           ทว่าหลังทั้งสี่หลับตาลงก็ยังมิได้ยินเสียงกระแทกพื้นตามมา จึงรีบลืมตามองโดยพร้อมเพรียง

 

 

           พบว่านอกกำแพงนั้น มีคนผู้หนึ่งรับร่างฉินเหลียนไว้

 

 

           ทั้งสี่เห็นคนผู้นั้นชัดเจน พลันพากันดีใจยกใหญ่

 

 

           “คุณชายอวิ๋นจี้!” ผิ่นจู๋รีบตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ

 

 

           “เป็นคุณชายอวิ๋นจี้จริงด้วย” ผิ่นเซวียน ผิ่นชิง และผิ่นเหยียนก็เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจเช่นกัน

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้ามอง เห็นทั้งสี่ยืนอยู่บนกำแพงก็เลิกคิ้วให้

 

 

           ผิ่นจู๋รีบหันกลับมา ตะโกนบอกเซี่ยม่อหานที่อยู่หลังกำแพงเสียงดัง “ท่านโหว คุณชายอวิ๋นจี้มาแล้ว เขารับร่างท่านหญิงไว้พอดีเจ้าค่ะ”

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ เก็บกระบี่บนพื้นขึ้นมาแล้วเหินกายบินขึ้นไป ใช้กระบี่เป็นตัวช่วยพยุงตรงกึ่งกลางกำแพง ชั่วพริบตาก็ขึ้นมาบนแนวกำแพงสำเร็จ เท้ายังไม่ทันสัมผัสพื้นดีก็ตรงไปยังขอบกำแพงแล้วมองลงไป พบว่าเป็นเซี่ยอวิ๋นจี้จริง เขาหลับตาผ่อนลมหายใจโล่งอกด้วยความดีใจแล้วเอ่ยขึ้น “อวิ๋นจี้ โชคดีที่เจ้ามาทัน หากฉินเหลียนเป็นอะไรไป ข้าจะอธิบายกับท่านอ๋อง พระชายา และน้องฉินเจิงว่าอย่างไร”

 

 

           “ไม่ถือว่าเป็นความบังเอิญ ข้ามาถึงครู่หนึ่งแล้ว เพียงแต่เห็นความวุ่นวายหลังประตูเมืองพอดีจึงหลบดูสถานการณ์อยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นเสียงในลำคอ มองฉินเหลียนแวบหนึ่ง “เจ้าเด็กบ้าคนนี้ต่างหากที่โชคดี เจอข้ามาถึงเมืองหลินอันพอดี มิฉะนั้นตอนนี้เกรงว่าจะถูกยมทูตนำตัวไปปรโลกแล้ว”

 

 

           “ถือเป็นวาสนา” เซี่ยม่อหานกล่าวด้วยความปีติ “เจ้าช่วยชีวิตนางถือว่าช่วยชีวิตข้าด้วย มิฉะนั้นข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ”

 

 

           “ฉินเจิงหย่ากับน้องฟางหวาแล้ว ตระกูลเซี่ยของเราไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจวนอิงชินอ๋องของพวกเขาอีก ตายก็ตายสิ ยังต้องอธิบายอันใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ยี่หระ ยกมือเรียกเขาลงมา “เจ้ารีบลงมาเถอะ เจ้าเด็กบ้านี่แม้ได้ข้ารับไว้ทัน แต่กระบี่เล่มนี้ปักลงลึกมาก ทั้งตรงตำแหน่งหน้าอกอีก ไม่รู้ว่ายังช่วยได้หรือไม่”

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินแบบนั้นก็รีบลงจากกำแพงเมือง

 

 

           ผิ่นจู๋เห็นเซี่ยม่อหานลงจากกำแพงด้วยความคล่องแคล่ว จึงกัดฟันกล่าวขึ้น “หากเรามีวิทยายุทธ์แบบท่านโหว คงไม่ทำให้ท่านหญิงถูกกระบี่แทงแล้วร่วงตกลงไป”

 

 

           “กลับไปเราต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ หวังว่าบาดแผลของท่านหญิงเหลียนไม่ลึกนัก อย่าโดนถึงหัวใจเลย มิฉะนั้นถึงตายหมื่นครั้งก็ปฏิเสธความผิดของเรามิได้” ผิ่นชิงกล่าว

 

 

           ผิ่นเซวียนกับผิ่นเหยียนพยักหน้าพร้อมกัน

 

 

           หลังเซี่ยม่อหานลงจากกำแพงเมืองก็รีบสาวเท้ามาถึงตัวฉินเหลียน ย่อกายลงมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “กระบี่เล่มนี้แทงลึกมาก แต่ข้าไม่ใช่หมอ มองไม่ออกว่าโดนถึงชีพจรหัวใจหรือไม่”

 

 

           “ข้าก็ไม่ใช่หมอเหมือนกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ กล่าวกับเขา “รีบไปตามเหยียนเฉินเถอะ ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหลินอันด้วยไม่ใช่หรือ วิชาแพทย์ของเขาฟังว่าสูงกว่าน้องฟางหวาอีก ขอเพียงไม่โดนชีพจรหัวใจ เขาต้องช่วยนางได้แน่”

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าบอกคนบนกำแพง “รีบไปตามคุณชายเหยียนเฉิน”

 

 

           พวกผิ่นจู๋สี่คนรับคำ ก่อนรีบลงจากกำแพง วิ่งฝ่าฝูงชนกลับไปที่จวน

 

 

           “กลัวก็แต่เหยียนเฉินออกจากเมืองไปแล้ว หากเขาไม่อยู่ในเมืองจะทำเช่นไร” เซี่ยม่อหานหันกลับมาพูดกับเซี่ยอวิ๋นจี้เสียงต่ำ

 

 

           “เขาอยู่ในเมืองหลินอันและติดตามเจ้าตลอดไม่ใช่หรือ ไฉนถึงไม่อยู่” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย

 

 

           เซี่ยม่อหานกล่าวเสียงต่ำ “เขามีอีกแผนการล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกมา ออกจากเมืองไปสมทบกับฟางหวาแล้ว” หยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวด้วยใบหน้ากลุ้มใจ “ตอนนี้เป็นไปได้มากว่าจะออกจากเมืองไปแล้ว มิฉะนั้นเมื่อครู่ข้าคงไม่ได้สังหารคนผู้นั้นลงอย่างง่ายดาย ไม่มีคนมีฝีมือสูงกว่าซุ่มอยู่ในที่ลับออกมาช่วยคนผู้นั้น ดูท่าทางคนมีฝีมือในเมืองน่าจะถอนกำลังออกไปหมดแล้ว”

 

 

           “โอ้ แผนของเขาดีหรือไม่ น่าสนุกหรือเปล่า ข้าก็อยากไปร่วมสนุกด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้ฟังแล้วก็กระตือรือร้นขึ้นมา

 

 

           “อันตรายอย่างยิ่ง เจ้าอย่าตามไปเลย แผนของเขาจะได้ไม่แตกเอา อีกอย่างข้าติดโรคห่าเข้าแล้ว ตอนนี้ฉินเหลียนก็ยังน่าเป็นห่วง เจ้ามาได้ตรงจังหวะพอดี อยู่ช่วยข้าดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเมืองก่อนเถอะ หากเหยียนเฉินออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ ข้าจำต้องรีบหาหมอมารักษานาง” เซี่ยม่อหานมองเขา

 

 

           “ก็ได้” เซี่ยอวิ๋นจี้ท้อใจ ก่อนกล่าวบอกเขา “ข้าไม่อยากอุ้มเจ้าเด็กบ้าคนนี้แล้ว เจ้ามาอุ้มแทน”

 

 

           เซี่ยม่อหานทราบดีว่าตอนที่เซี่ยอวิ๋นจี้กับฉินเหลียนอยู่ที่จวนจงหย่งโหวนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตากัน เขาจึงอุ้มฉินเหลียนไว้แทน

 

 

           “เปิดประตู” เซี่ยอวิ๋นจี้สะบัดแขนเสื้อ ก่อนตะโกนบอกคนหลังกำแพง

 

 

           ทหารอารักขาเมืองมองทั้งสามนอกกำแพง เขาไม่รู้จักเซี่ยอวิ๋นจี้ และไม่รู้จักเซี่ยม่อหานที่กำลังแปลงโฉมอยู่ รู้จักเพียงฉินเหลียนที่ถูกอุ้มอยู่เท่านั้น จึงลังเลว่าจะเปิดประตูเมืองดีหรือไม่

 

 

           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านมาที่หน้าประตูเมือง ออกคำสั่งแก่ทหารนายนั้น “คนด้านนอกคือท่านโหวเซี่ยซึ่งแปลงโฉมอยู่และคุณชายอวิ๋นจี้แห่งจวนโรงเก็บเกลือ พวกเขาช่วยชีวิตท่านหญิงไว้ รีบเปิดประตู”

 

 

           ทหารอารักขาเมืองได้ยินเช่นนั้นก็รีบเปิดประตูทันที

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้เป็นฝ่ายเดินเข้าไปก่อน เซี่ยม่อหานยกมือดึงหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าเดิม ก่อนอุ้มฉินเหลียนเข้าไปในตัวเมือง

 

 

           หลังกำแพงเมืองยุ่งเหยิงหาความเป็นระเบียบมิได้ ศพสิบกว่าชีวิตนอนเกลื่อนขวางทางบนพื้น มีดหอกกระบี่ง้าวของเหล่าทหารต่างเปื้อนคราบเลือด บนตัวประชาชนบางคนก็เปื้อนเลือดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าประชาชนข้างหน้าหรือทหารต่างตกอยู่ในสภาพจนตรอกทั้งนั้น

 

 

           ทว่าหลังเปิดประตูเมือง ไม่มีใครหน้าไหนกล้าก้าวเท้าออกจากเมืองแม้แต่คนเดียว

 

 

           เซี่ยม่อหานกวาดตามองด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “ปิดประตูเมือง ห้ามผู้ใดออกจากเมืองทั้งนั้น จนกว่าสมุนไพรดำม่วงมาถึงก็จะห้ามเปิดประตูโดยเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกเผาเซ่นวิญญาณ”

 

 

           เหล่าประชาชนได้ยินดังนั้นก็ขาแข้งอ่อนแรง ทรุดลงนั่งบนพื้น

 

 

           สิ่งใดคือถูกเผา นั่นคือการจุดไฟเผาคนโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ การลงโทษผู้กระทำความผิดเช่นนี้เป็นหนึ่งในกฎหมายอาญาของหนานฉิน

 

 

           ถึงอย่างไรโบราณก็มีคำกล่าวว่าฝังดินสู่สุขคติ การเผาทั้งเป็นทำให้ไม่เหลือศพ ชิ้นส่วนและจิตวิญญาณสูญสลาย แม้แต่โอกาสกลับมาเกิดใหม่ก็หามีไม่ ดังนั้นนี่จึงเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด

 

 

           เซี่ยม่อหานเดิมเป็นคนอ่อนโยนใจดี พูดจาด้วยรอยยิ้มสามส่วน มีนิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ทว่าครั้งนี้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

 

           ตั้งแต่ท่านโหวเซี่ยมาถึงเมืองหลินอัน ในเมืองประสบอุทกภัย เขาช่วยเหลือประชาชนให้พ้นเคราะห์ ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากให้มีชีวิตรอดต่อไป ต่อมาก็ติดอยู่ที่เมืองหลินอัน รัชทายาทขุดลอกคูคลองมาถึง เขาก็ช่วยรัชทายาทขุดลอกคูคลองอีกแรง ตามด้วยเมืองหลินอันประสบโรคห่าระบาด เขาก็ช่วยเหลือประชาชนอีก ที่ผ่านมาเหล่าประชาชนต่างคิดว่าอดีตซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว ท่านโหวเซี่ยในปัจจุบันท่านนี้ แม้อยู่ในตระกูลเลื่องชื่อและมีอำนาจยิ่งใหญ่ มีฐานะสูงศักดิ์ มีตำแหน่งสูงส่งและอำนาจน่ายำเกรง ทว่าไม่เคยวางมาดและมีนิสัยแบบคุณชายรุ่นอนุชนผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย หากแต่อ่อนโยนน่าคบหาด้วยอย่างยิ่ง ดังนั้นยามนี้เมื่อเห็นเขาโกรธจัดขึ้นมา แม้ยังสวมอาภรณ์ครบชิ้นส่วนบนร่าง ทว่ากลับปกปิดกลิ่นอายความเย็นยะเยือกไม่อยู่ ใบหน้านิ่งขรึมเย็นชา ชวนให้ผู้คนคิดว่าเขาพูดจริงทำจริง ขอเพียงมีคนบุกฝ่าประตูเมืองออกไป เขาจะต้องสั่งเผาทั้งเป็นเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่ตายไปในเมืองหลินอันเป็นแน่

 

 

           ทุกคนกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

 

 

           “เหตุการณ์ในวันนี้มีผู้ไม่หวังดีจงใจยุยงปลุกปั่นเพื่อคิดจะลอบสังหารท่านหญิง ตอนนี้ท่านหญิงบาดเจ็บสาหัส และคนผู้นั้นก็ถูกข้าสังหารไปแล้ว” เซี่ยม่อหานเห็นทุกคนสงบลงก็กล่าวเสียงเข้มขึ้นอีกครั้ง “ประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายตรงนี้ในวันนี้ให้จัดพิธีศพทั้งหมด ส่วนผู้ที่ก่อความวุ่นวายเพื่อจะบุกออกจากเมือง ครั้งนี้จะอนุโลมไม่หาตัวออกมา แต่หากฝ่าฝืนอีกก็ดังที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้”

 

 

           เหล่าประชาชนฟังแล้วก็ผ่อนหายใจโล่งอก

 

 

           “เนื่องจากท่านหญิงบาดเจ็บ ข้าต้องตามหมอมารักษาท่านหญิง นับจากวันนี้เป็นต้นไป เรื่องรักษาเมืองยกให้คุณชายอวิ๋นจี้เป็นผู้ดูแล” เมื่อเซี่ยม่อหานรีบพูดให้จบก็อุ้มฉินเหลียนสาวเท้ากลับไปที่จวน

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้มองความไร้ระเบียบที่หน้าประตูเมือง ก่อนยกมือไล่เหล่าประชาชน เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ต้องหาสมุนไพรดำม่วงได้แน่นอน ทุกคนจงอยู่แต่ในบ้าน ปิดประตูรอคอยแต่โดยดีเถอะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ข้าอีก เผาทั้งเป็นแค่คนเดียวเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าไม่ใช่คนจิตใจดีงามอันใด หากมีผู้ใดไม่ทำตามกฎระเบียบของข้า ข้าจะสั่งเผาทั้งตระกูล”

 

 

           เหล่าประชาชนได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นกลัว ก่อนพากันแยกย้ายสลายตัว

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ค่อนข้างพอใจกับพลานุภาพของตนเอง ยกมือสั่งเหล่าทหารหย็อยๆ “เก็บกวาดตรงนี้ให้เรียบร้อย รักษาประตูเมืองให้ดี” จากนั้นก็กล่าวกับพวกซื่อฮว่าสี่คน “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลินอัน ยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมือง พวกเจ้ามาได้หลายวันแล้วกระมัง จับตามองในเมืองอย่าให้เกิดเรื่องใด หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นอีกก็มาบอกข้า” พูดจบ ไม่รอให้ทั้งสี่ขานรับก็ยกมือปิดจมูกหนีกลิ่นคาวเลือดด้วยความรังเกียจที่หน้าประตูเมือง ก่อนตามเซี่ยม่อหานไป

 

 

           พวกซื่อฮว่าสี่คนมองหน้ากัน นับว่าเป็นการยอมรับโดยนัย

 

 

           เซี่ยม่อหานอุ้มฉินเหลียนกลับมาที่เรือน พวกผิ่นจู๋สี่คนออกมารับด้วยเหงื่อโชกหน้า “ท่านโหว เราหาจนทั่วทุกพื้นที่แล้วรอบหนึ่ง แต่คุณชายเหยียนเฉินไม่อยู่เจ้าค่ะ”

 

 

           “แสดงว่าเขาออกไปแล้วจริงๆ” เซี่ยม่อหานรีบกล่าว “รีบไปตามหมอในเมืองหลินอันมา”

 

 

           “เมื่อครู่ตอนหาคุณชายเหยียนเฉิน บ่าวสี่คนได้ให้คนไปตามมาแล้ว เมืองหลินอันมีหมอที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ทั้งหมดสามคน หนึ่งในนั้นไปรักษาคนป่วยนอกเมือง จนป่านนี้ยังมิกลับมา อีกคนติดโรคห่า รักษาตัวเองมิได้จึงตายไปแล้ว ยังเหลืออีกเพียงคนเดียวเท่านั้น ทิงเหยียนไปตามมาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นหมอธรรมดา ด้วยอาการของท่านหญิง ถึงตามมาก็เกรงว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ตามมาดีกว่า” พวกผิ่นจู๋กล่าว

 

 

           เซี่ยม่อหานพยักหน้า

 

 

           ไม่นาน หมออาวุโสคนหนึ่งกับทิงเหยียนก็กระหืดกระหอบเข้ามาในเรือน

 

 

           พวกผิ่นจู๋รีบแหวกม่านออกให้ เชื้อเชิญเข้าไปในห้อง

 

 

           เซี่ยม่อหานเห็นหมออาวุโสมาถึงก็รีบผละออกจากหน้าเตียงแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านผู้เฒ่า ต้องช่วยชีวิต

 

 

ท่านหญิงให้ได้”

 

 

           หมออาวุโสวางกระเป๋ายาลง มองฉินเหลียนก่อนแวบหนึ่งก็พลันตกใจ จากนั้นก็ประสานมือกล่าวกับเซี่ยม่อหาน “ท่านโหว ข้าน้อยเป็นหมอมาครึ่งชีวิต ทราบดีว่าอาการป่วยและบาดเจ็บแบบใดที่ข้าน้อยข้าหรือช่วยมิได้ กระบี่เล่มนี้ดูแล้วแทงลงลึกเกินไป ทั้งยังเป็นตำแหน่งทรวงอก ข้าน้อยเกรงว่าจะช่วยมิได้”

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

 

 

           เวลานี้เซี่ยอวิ๋นจี้ก็เดินเข้ามาจากข้างนอก ข้ามธรณีประตูเข้ามา บังเอิญได้ยินหมออาวุโสกล่าวเช่นนี้พอดี จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าแค่มองประเมินเท่านั้น ยังไม่ทันตรวจชีพจรไฉนถึงมั่นใจนักว่าช่วยไม่ได้ ไม่แน่ว่าหัวใจของนางอาจเอนเอียงก็เป็นได้ เจ้าเด็กน้อยคนนี้มีจิตใจไม่ชอบธรรม ไม่แบ่งแยกขาวดำ ไม่แบ่งแยกดีเลว หากไม่ใช่ว่ามีจิตใจเอนเอียง ไฉนถึงเอาแต่มีความคิดไม่ชอบธรรมและเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้”

 

 

           “อวิ๋นจี้” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ห้ามปรามอย่างจนปัญญา “ยามใดแล้วยังพูดจาหยาบคาบอีก” พูดจบก็หันไปกล่าวกับหมออาวุโส “คำพูดของน้องชายข้าคนนี้แม้ไม่เข้าหูแต่ก็มีเหตุผล ท่านลองตรวจชีพจรดึงกระบี่ดูก่อน ไม่แน่ว่าอาจช่วยได้”      

 

 

           “เช่นนั้นก็ได้” หมออาวุโสก้าวขึ้นมาตรวจชีพรให้ฉินเหลียน สักพักใหญ่ก็เปลี่ยนไปตรวจชีพจรอีกข้างหนึ่ง ผ่านไปอีกสักพักเขาก็ปล่อยมือออก มองดูกระบี่ที่หน้าอกฉินเหลียนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็เลื่อนมือเข้าใกล้ส่วนที่ถูกกระบี่ปักคาอยู่เชื่องช้า คว่ำมืออยู่พักหนึ่งก็พลันแสดงสีหน้าดีใจ หันกลับมาประสานมือกล่าวกับ

 

 

เซี่ยม่อหานและเซี่ยอวิ๋นจี้ “ท่านโหว จริงดังที่คุณชายท่านนี้กล่าว หัวใจของท่านหญิงเอียงหนึ่งชุ่นจริงๆ ข้าน้อยมั่นใจว่าจะช่วยนางได้ห้าส่วน แต่ถึงอย่างไรวิชาแพทย์ของข้าน้อยก็ไม่เชี่ยวชาญพอ เกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นบนกายท่านหญิง”

 

 

           เขาพูดจบ เซี่ยอวิ๋นจี้ก็ตาถลนอ้าปากค้าง เดิมเขาแค่พูดส่งๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นจริงดังที่พูด