กระบี่ปักลงกลางหน้าอกของฉินเหลียน ทว่าหัวใจของนางดันเอียงหนึ่งชุ่นพอดี หมายความว่ามิได้บาดเจ็บถึงชีพจรหัวใจ
ขอเพียงไม่บาดเจ็บถึงชีพจรหัวใจ เช่นนั้นก็ยังช่วยชีวิตได้
“ขอแค่ช่วยชีวิตได้ ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นเรื่องเล็ก ใช้ยาชั้นเยี่ยมค่อยๆ รักษาแผลเป็นให้จางลงก็ย่อมได้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าชีวิตแล้ว” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ประสานมือกล่าวกับหมออาวุโสด้วยความดีใจ
หมออาวุโสพยักหน้า “ข้าน้อยเพิ่งพูดไปว่ามั่นใจเพียงห้าส่วน หาก…”
“หมอรักษาคนไข้ย่อมพูดเหลือสามส่วนไว้ถ่อมตนเป็นธรรมดา เจ้าบอกว่ามั่นใจห้าส่วน หมายความว่าที่จริงแล้วมั่นใจถึงแปดส่วน ในเมื่อมั่นใจถึงแปดส่วน เช่นนั้นก็รักษาชีวิตไว้ได้” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือสั่งด้วยความรำคาญใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังมัวไร้สาระทำไมอีก รีบลงมือเถอะ”
คำพูดของหมออาวุโสถูกกักในลำคอ กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกครู่หนึ่ง ทำได้เพียงมองเซี่ยอวิ๋นจี้
“เจ้ามัวมองข้าทำไม รีบช่วยนางสิ” เซี่ยอวิ๋นจี้ยกมือสั่ง
หมออาวุโสหันกลับมาอย่างจำใจ คารวะเซี่ยม่อหาน “ท่านโหว ท่านหญิงยังมิได้ออกเรือน ตัวข้าเป็นหมอ ยามรักษาคนไข้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ท่านกับคุณชายอวิ๋นจี้…”
“ข้าก็ไม่อยากอยู่ที่นี่สักเท่าไรหรอก นางมีอันใดน่ามองกัน ข้าไปล่ะ” เซี่ยอวิ๋นจี้หันหลังเดินออกไป
“ท่านผู้เฒ่าต้องการผู้ช่วยหรือไม่ ข้าจะให้สาวใช้สองคนเข้ามาช่วยงาน” เซี่ยม่อหานประสานมือกล่าว
“ทางที่ดีควรเป็นคนมีวิทยายุทธ์ จะได้ช่วยข้าดึงกระบี่ได้” หมออาวุโสกล่าว
เซี่ยม่อหานพยักหน้า ก่อนเดินออกมานอกห้องแล้วเอ่ยบอกผิ่นจู๋กับผิ่นชิงที่เฝ้าอยู่ข้างนอก “เจ้าสองคนเข้าไปข้างใน ช่วยท่านหมอดึงกระบี่ให้ท่านหญิง ต้องระมัดระวังให้มาก อย่าได้ผิดพลาดเป็นอันขาด”
“เจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋กับผิ่นชิงเข้าไปในห้อง
“หวังว่าท่านหมอจะช่วยท่านหญิงได้” เซี่ยม่อหานมองฟ้าอธิษฐาน
“นางดวงแข็งนัก ไม่ตายหรอก” เซี่ยอวิ๋นจี้ยกแขนขึ้นดม ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความรังเกียจ “รับเจ้าเด็กบ้าคนนี้ไว้ทำเอาตัวข้าเหม็นกลิ่นเลือดไปหมด กลิ่นชวนอ้วกยิ่งนัก หาห้องให้ข้าพักหน่อย ข้าอยากอาบน้ำ”
“ทิงเหยียน เจ้านำทางคุณชายอวิ๋นจี้ไปพักข้างห้องข้า สั่งคนต้มน้ำมาให้เขาอาบด้วย” เซี่ยม่อหานสั่งงานทิงเหยียน
“แล้วท่านเล่า ท่านไม่กลับหรือ” ทิงเหยียนขานรับ
“ข้าจะรอตรงนี้ก่อน มั่นใจว่าท่านหญิงปลอดภัยแล้วค่อยกลับ” เซี่ยม่อหานยกมือไล่
ทิงเหยียนพยักหน้าแล้วเดินนำทางเซี่ยอวิ๋นจี้ไปยังห้องพักข้างห้องเซี่ยม่อหาน
เซี่ยม่อหานรอหน้าห้อง
ผ่านไปพักหนึ่ง ผิ่นจู๋ก็เดินออกมาด้วยความรีบร้อน
“ไฉนถึงออกมาแล้ว” เซี่ยม่อหานรีบถาม
“บ่าวไปนำน้ำสะอาด” ผิ่นจู๋ตอบ
เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วบอก “รีบไปเถอะ” ก่อนสั่งงานผิ่นเซวียนกับผิ่นเหยียนที่รออยู่ข้างนอกกับตน “เจ้าสองคนก็รีบไปตักน้ำสะอาดมาด้วย”
ทั้งสองขานรับพร้อมเพรียง
ไม่นานทั้งสามคนก็ยกน้ำสะอาดสามอ่างเข้าไปในห้อง ผ่านไปพักหนึ่งก็ยกน้ำเปื้อนเลือดสามอ่างออกมา น้ำเปื้อนเลือดแดงฉานอย่างยิ่ง เห็นแล้วชวนตกอกตกใจนัก
เซี่ยม่อหานเม้มปากแน่น ยืนรอหน้าห้อง ไม่ส่งเสียงใดทั้งนั้น
นำน้ำสะอาดเข้าไป ออกมาด้วยน้ำเลือดเช่นนี้ หลังไปกลับได้ราวสามสี่รอบก็ไม่มีน้ำเลือดถูกยกออกมาอีกแล้ว
ผิ่นจู๋สาดน้ำเลือดออกแล้ววกกลับมาที่ประตู เห็นใบหน้าซีดขาวของเซี่ยม่อหานก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านโหว ท่านวางใจเถิด เมื่อครู่ท่านหมอบอกว่าดึงกระบี่ออกได้ราบรื่น ท่านหญิงพ้นขีดอันตรายแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจลง
ผิ่นจู๋กลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง
เวลาสองถ้วยชาถัดมา หมออาวุโสก็เดินออกมาจากข้างใน ยกมือซับเหงื่อบนหน้าผากก่อนประสานมือกล่าวกับเซี่ยม่อหาน “ท่านโหว ข้าน้อยมิทำให้ผิดหวัง ช่วยท่านหญิงพ้นขีดอันตรายแล้ว ลำดับต่อไปต้องคอยดูว่าหากท่านหญิงไม่มีไข้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว รอรักษาบาดแผลให้หายดีก็พอ”
“ขอบคุณท่านหมอมาก” เซี่ยม่อหานโค้งตัวขอบคุณ ก่อนเอ่ยขอร้องจากใจจริง “ในจวนหลังนี้ไม่มีหมออยู่เลยสักคน ขอให้ท่านอยู่ที่จวนก่อนได้หรือไม่ จะได้ติดตามอาการป่วยของท่านหญิงได้ตลอดเวลา ขอเพียงท่านหญิงปลอดภัยดี ฝ่าบาทและฮองเฮาในวังหลวง ท่านอ๋อง พระชายา รัชทายาท ท่านอ๋องน้อยเจิง รวมถึงข้าล้วนรู้สึกขอบคุณยิ่ง”
“ท่านโหวกล่าวหนักไปแล้ว กู้ชีพประคองอาการบาดเจ็บเดิมเป็นหน้าที่ของหมอ ถึงแม้ท่านโหวไม่ขอร้อง ระหว่างท่านหญิงยังไม่หายดี ข้าน้อยก็ตัดสินใจแล้วเช่นกันว่าจะอยู่ดูอาการท่านหญิงก่อน เมื่อท่านหญิงปลอดภัยดีแล้วค่อยกลับไป” หมออาวุโสรีบกล่าว
“เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก” เซี่ยม่อหานหันกลับมาสั่งงานผิ่นจู๋ “รีบไปจัดหาห้องว่างในเรือนให้ท่านหมอพัก”
“เจ้าค่ะ ท่านโหว” ผิ่นจู๋ย่อตัวให้หมออาวุโส “เชิญตามข้ามา”
หมออาวุโสพยักหน้า เช็ดเหงื่อพลางเดินตามผิ่นจู๋ไป
เซี่ยม่อหานมองส่งหมออาวุโสจนลับตา เห็นทิงเหยียนกลับมาแล้วก็เอ่ยถาม “จัดห้องพักให้อวิ๋นจี้เรียบร้อยแล้วหรือ”
ทิงเหยียนพยักหน้า ก่อนบ่นอุบ “คุณชายอวิ๋นจี้เอาใจยากนัก เกิดมาในตระกูลเซี่ยเหมือนกันแท้ๆ ท่านเกิดมาในจวนจงหย่งโหว เขาแค่เกิดมาในจวนโรงเก็บเกลือ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเรื่องมากยิ่งกว่าท่านเสียอีก ปัญหามากนัก น้ำร้อนเกินน้ำเย็นไปก็มิได้ ต้องปรับให้ได้อุณหภูมิที่พอดีเท่านั้น ลำพังมาตัวเปล่า มิได้นำเสื้อผ้ามาด้วย ข้าจึงหาเสื้อผ้าเก่าของท่านไปให้ แต่เขาก็ยืนกรานไม่ยอมสวมใส่ ต้องให้ข้านำตัวใหม่มาเท่านั้น ในเมืองมีแต่โรคห่าระบาด ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าล้วนปิดร้านเงียบ ไหนเลยยังมีร้านขายเสื้อผ้าใหม่ ด้วยความจนปัญญา ข้าจึงได้แต่นำเสื้อผ้าใหม่ของท่านให้เขา”
เซี่ยม่อหานฟังจบก็เบิกบานใจ บอกทิงเหยียนว่า “เจ้ารู้แค่เขาเกิดมาในจวนโรงเก็บเกลือ กลับไม่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา เขาเป็นบุตรชายของเซี่ยเฟิ่งท่านป้าของข้ากับฮ่องเต้เป่ยฉี เพียงฝากฝังให้จวนโรงเก็บเกลือเลี้ยงดูเท่านั้น เจ้าว่าด้วยฐานะนี้สมควรที่จะเรื่องมากเช่นนี้หรือไม่”
ทิงเหยียนตะลึงตาค้าง “มิน่าเล่า” พูดจบก็เกาศีรษะ “ฐานะของคุณชานอวิ๋นจี้ถูกปิดเป็นความลับตลอดมากระมัง ไฉนท่านโหวถึงบอกข้าเช่นนี้ หากข้าสติฟั่นเฟือนหลุดปากพูดออกไปขึ้นมาเล่า จะทำเช่นไร”
“ตอนนี้สถานการณ์บีบบังคับ ราชสำนักหนานฉินกับตระกูลเซี่ยมิได้ไม่ลงรอยกันเหมือนน้ำกับไฟอีกแล้ว สถานการณ์ไม่เหมือนวันวานแล้ว อวิ๋นจี้กลับมาจากเป่ยฉีครั้งนี้ แม้ข้ายังไม่มีเวลาพูดคุยกับเขา แต่ก็ทราบดีว่าการประกาศฐานะของเขาให้ทุกคนทราบเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว จะเร็วหรือช้าก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อีกอย่างรัชทายาท ฉินเจิง คนไม่น้อยก็ทราบเป็นการส่วนตัวแล้วเช่นกัน” เซี่ยม่อหานกล่าว
“โชคดีที่หนานฉินของเราปรองดองกับเป่ยฉีมาตลอด” ทิงเหยียนกะพริบตาปริบ
“ปรองดอง…” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ ทันใดนั้นก็กล่าวเสียงต่ำ
“ท่านโหวเป็นอันใดไป ข้าพูดผิดหรือ” ทิงเหยียนมองเซี่ยม่อหาน เห็นว่าเขามีสีหน้าแปลกไปก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าคำว่าปรองดองนั้นฟังดูแปลกพิกล หนานฉินกับเป่ยฉีไม่ได้ปรองดองกันเหมือนอย่างฉากหน้า ท่านป้าข้าออกเรือนไปยังเป่ยฉี ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอน ช่วยฮ่องเต้เป่ยฉีปกครองในฐานะฮองเฮา ย่อมไม่ปรารถนาเห็นสงครามระหว่างสองดินแดน ทว่าองค์ชายรองแห่งเป่ยฉีไม่ได้คิดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านป้าป่วยหนักแต่ก็ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ต่อมาฉีเหยียนชิงก็เดินทางมาหนานฉินเมื่อหลายเดือนก่อนโดยมีแผนการลับ แม้ต่อมาจะถูกฉินเจิงใช้ประโยชน์กลับ แต่ก็เป็นเพียงการประลองฝีมือระหว่างรัชทายาทกับฉินเจิงเท่านั้น ส่วนการปรองดองนั้น หากฉีเหยียนชิงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทครองบัลลังก์จักรพรรดิแห่งเป่ยฉี เกรงว่าจะเกิดสงครามในใต้หล้า” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า
“ไม่หรอกกระมัง” ทิงเหยียนเบิกตากว้าง
“เรื่องนี้ไหนเลยจะบอกได้แน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้ในหนานฉินเกิดความวุ่นวาย ทั้งในและนอกเมืองไร้ความเป็นระเบียบ ข้าติดอยู่ที่เมืองหลินอัน ผู้บัญชาการรักษาพรมแดนม่อเป่ยยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง หากฉวยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวายขึ้น อีกทั้งอวิ๋นจี้กลับมาที่หนานฉินแล้ว เช่นนั้นหากฉีเหยียนชิงลอบกระทำการบางอย่าง อนาคตไม่อาจคิดในแง่ดีได้เลย” เซี่ยม่อหานพูดจบก็พลันตะโกนขึ้น “ผิ่นจู๋”
“ท่านโหว” ผิ่นจู๋รีบเดินออกมาจากข้างใน
“ในเมื่อท่านหญิงปลอดภัยข้าก็ไม่เข้าไปดูนางแล้ว เจ้ากับผิ่นเซวียน ผิ่นชิง และผิ่นเหยียนเฝ้าที่นี่ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องใดขึ้นอีก หากท่านหญิงฟื้นแล้วก็ไปตามท่านหมอมา” เซี่ยม่อหานสั่งงาน
“เจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋รับคำ
เซี่ยม่อหานเดินไปยังห้องพักของเซี่ยอวิ๋นจี้
ทิงเหยียนฉงนใจว่าไฉนท่านโหวพูดพลางถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาร้อนรนขึ้นมาก็ไม่เข้าใจ แต่มีลางสังหรณ์ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเซี่ยอวิ๋นจี้จึงรีบเดินตามเขาไปด้วย
เซี่ยม่อหานเดินมาถึงห้องของเซี่ยอวิ๋นจี้ด้วยความรีบร้อน ก่อนยกมือเคาะประตู
“ผู้ใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ถามอย่างเกียจคร้าน
“ข้าเอง”
“เจ้าเด็กบ้านั่นปลอดภัยแล้วรึ ไฉนเจ้าถึงมาหาข้าไวถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่านางไม่รอด ให้ข้าคิดหาวิธีการอื่น ข้าไม่มีวิธีใดให้คิดแล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย
“ไม่ใช่ เจ้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า เป็นเรื่องสำคัญ” เซี่ยม่อหานพูดเน้นย้ำด้วยใบหน้าจริงจัง
“ในเมื่อเจ้ามีเรื่องจะคุยด้วย ข้าก็ไม่อาบน้ำต่อแล้ว รอสักครู่” เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน
“ได้” เซี่ยม่อหานพยักหน้า