ตอนที่ 90-2 ล้อมคอกก่อนวัวหาย

จารใจรัก

ไม่นานเซี่ยอวิ๋นจี้ก็เปิดประตูออกมาด้วยท่าทางสดชื่น เห็นใบหน้ากลัดกลุ้มของเซี่ยม่อหานก็สงสัย “ไม่ใช่เรื่องเจ้าเด็กบ้าคนนั้น หรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในเมืองอีกแล้ว มีคนก่อเหตุอีกแล้วรึ”

 

 

           “นั่นก็ไม่ใช่ เจ้าอย่าเดาสุ่มเลย เข้าไปคุยกันข้างใน” เซี่ยม่อหานกล่าว

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้าก่อนเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ระหว่างนั้นก็เอ่ยปากพูด “เด็กรับใช้ตัวน้อยที่เจ้าได้มาจากฉินเจิงช่างมีคุณสมบัติไม่เพียบพร้อม ใช้งานยากยิ่ง กลับไปแล้วคืนให้เขาเถอะ ข้าจะช่วยเลือกคนที่ใช้งานง่ายมาให้เจ้าแทน”

 

 

           ทิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็โมโห ทว่ายังมิทันได้โต้กลับ เซี่ยม่อหานก็ปิดประตูเสียก่อน ขณะเดียวกันก็ดันหลังเซี่ยอวิ๋นจี้เข้าไปในห้อง

 

 

           ทิงเหยียนทำได้เพียงแค่นเสียงโมโหโดยทำอันใดมิได้ พอเจอเรื่องนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ล่วงเกินใครก็ได้แต่อย่าล่วงเกินคนแบบเซี่ยอวิ๋นจี้

 

 

           หลังเข้ามาในห้อง เซี่ยม่อหานไม่ทันนั่งก็เอ่ยถามเซี่ยอวิ๋นจี้ด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าถามเจ้า หลังเจ้ากลับไปเป่ยฉี ได้พบฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าแล้วหรือยัง นอกจากนี้ ได้พบฉีเหยียนชิงกับคนตระกูลอวี้หรือไม่”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา “ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้” เขาพูดพลางก็นั่งลง รินน้ำชาสองแก้ว ยื่นแก้วหนึ่งให้เซี่ยม่อหาน แล้วยกแก้วของตนเองขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง นั่งไขว้ห้างกล่าวอย่างสบายใจ “เจอหมดแล้ว”

 

 

           “เจ้าบอกข้ามา เป็นเช่นไรบ้าง” เซี่ยม่อหานถาม

 

 

           “จะเป็นเช่นไรได้ ฉีอวิ๋นเสวี่ยจับตัวข้าไปยังเป่ยฉี ระหว่างทางข้าสร้างอุบายแอบหนีออกมา แม้นางได้รับคำสั่งของตาแก่นั่นให้มารับข้าที่หนานฉิน แต่ข้าก็ไม่อาจถูกนางจับตัวกลับไปจริงๆ มิฉะนั้นคงขายหน้าแย่ว่าข้าไร้ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสลัดฉีอวิ๋นเสวี่ยทิ้งแล้วไปยังวังหลวงแห่งเป่ยฉีด้วยตัวเองแทน นางคิดว่าข้าหนีกลับมาหนานฉินจึงสั่งคนไปสกัดที่พรมแดนเป่ยฉี แล้วตามหาตัวข้าทุกพื้นที่ ไหนเลยจะรู้ว่าข้ากลับไปวังหลวงแห่งเป่ยฉีด้วยตัวเอง” เซี่ยอวิ๋นจี้เล่าอย่างสบายอารมณ์

 

 

           “แอบหนีจากเงื้อมมือฉีอวิ๋นเสวี่ยได้ ย่อมมีความสามารถไม่น้อย” เซี่ยม่อหานพยักหน้า

 

 

           “ถูกสตรีจับตัวไว้ หนีจากเงื้อมมือนางมาได้จะนับว่ามีความสามารถอันใด แต่ตอนข้าหนีมาได้ลงโทษนางไปแล้ว ไม่ได้ติดค้างอันใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ขัดจังหวะ

 

 

           “อย่าดูถูกความสามารถของสตรี คิดดูแล้วนางเป็นองค์หญิงของราชวงศ์เป่ยฉี ถือว่าเป็นอาแท้ๆ ของเจ้า ไม่ใช่สตรีทั่วไป” เซี่ยม่อหานกล่าว

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นเสียงในลำคอ “ข้าสนใจที่ไหนว่านางเป็นอาของข้าหรือไม่ นางจับข้าไปโดยที่ข้าไม่ยินยอม ถือว่าเป็นการล่วงเกินข้า” พูดจบก็กล่าวอีก “หลังไปถึงเป่ยฉี ข้าก็แอบไปวังหลวง”

 

 

           “ไปพบท่านป้าก่อนหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม

 

 

           “ไปพบอวี้กุ้ยเฟย” เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า

 

 

           “เจ้าไปถึงเป่ยฉี เข้าไปในเมืองได้แล้ว ทั้งไปถึงวังหลวง เหตุใดถึงไม่ไปพบท่านป้าแต่ไปหาพบ

 

 

อวี้กุ้ยเฟยก่อน พบนางไปทำไมกัน” เซี่ยม่อหานชะงัก

 

 

           “ลือกันว่าอวี้กุ้ยเฟยงดงามอย่างยิ่ง ข้าอยากเห็นว่านางงามสักเพียงใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ตอบ

 

 

           เซี่ยม่อหานหมดคำจะกล่าว

 

 

           “กะแล้วว่าคำเล่าลือนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นเพียงสตรีอาฆาตพยาบาทในวังหลวงคนหนึ่งเท่านั้น” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าวด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง

 

 

           “อวี้กุ้ยเฟยงดงามเป็นเรื่องจริง ข้าเคยเห็นภาพวาดเหมือนครั้งหนึ่ง เพียงแต่ท่านป้ากับฮ่องเต้เป่ยฉีต่างรักใคร่กัน ท่านป้าทั้งฉลาดเป็นกรด เข้าใจกลอุบายการควบคุมสมดุลดีจึงมัดพระหฤทัยของฮ่องเต้เป่ยฉีไว้ได้ อวี้กุ้ยเฟยแม้เล่นกับฮ่องเต้เป่ยฉีมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้มีตระกูลอวี้ช่วยสนับสนุน แต่ฮ่องเต้เป่ยฉีก็ทรงเข้าข้างท่านป้า สะสมนานวันเข้าย่อมกลายเป็นความคับแค้นกลุ้มใจ ทำให้ไม่งดงามเหมือนเมื่อก่อน” เซี่ยม่อหานกล่าว

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก “หากท่านแม่ฉลาดจริง ไฉนถึงไปชอบตาแก่นั่นได้ ไฉนต้องทะเลาะเบาะแว้งกับพระสนมในวังหลัง ถึงแม้ความโปรดปรานเพิ่มพูนยากเสื่อมคลาย แต่ก็ไม่ใช่หัวใจคน”

 

 

           “ไฉนฮ่องเต้เป่ยฉีถึงกลายเป็นตาแก่ไปแล้ว” เซี่ยม่อหานหลุดยิ้ม

 

 

           “ถึงอย่างไรก็ไม่มีอันใดน่ามอง เป็นตาแก่ผู้หนึ่ง อ่อนเยาว์กว่าโหวเหยียผู้เฒ่าเล็กน้อยเท่านั้น” เซี่ยอวี้นจี๋บอก

 

 

           เซี่ยม่อหานส่ายหน้า ไม่เข้าใจความไม่จริงจังของเขา กล่าวด้วยใบหน้านิ่งขรึม “ข้ารีบร้อนมาหาเจ้าเพราะเมื่อครู่คำพูดของทิงเหยียนเตือนสติข้าได้ เขาบอกว่าเป่ยฉีกับหนานฉินปรองดองกัน คำว่าปรองดองนี้ ตอนนี้เจ้าไปเป่ยฉีแล้วกลับมารอบหนึ่ง แม้ฐานะเจ้าพิเศษกว่าใครอื่น แต่เพราะเติบโตมาในหนานฉินตั้งแต่เด็ก ดังนั้นควรมีความคิดเที่ยงธรรม เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”

 

 

           “ปรองดอง” เซี่ยอวิ๋นจี้หัวเราะเยาะ “ท่านแม่หลายปีมานี้เป็นโฉมสะคราญวางแผนการได้ดี สยบความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่จะยกทัพไปสังหารของตาแก่ได้สนิท ไม่มีความคิดอยากรุกรานดินแดนหนานฉินอีกแล้ว มีเพียงอยากให้หนานเป่ยปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าคนอื่นไม่ได้คิดเช่นนี้ หากพูดถึงความปรองดองก็เป็นเพียงน้ำที่ทะลักออกมาปกคลุมบนแผ่นน้ำแข็งชั้นบางเท่านั้น”

 

 

           “ในเมื่อเจ้าก็คิดเช่นนี้ ใช่รู้อันใดมาหรือไม่” เซี่ยม่อหานมองเขา “ข้าถามเจ้าอีก ใช่ตระกูลอวี้กับ

 

 

ฉีเหยียนชิงมีแผนการลับคิดโจมตีหนานฉินหรือไม่ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหนานฉินครั้งนี้ เท่าที่ข้าทราบมานั้นเกี่ยวข้องกับสายลับของภูเขาลับในราชสำนัก ใช่เกี่ยวข้องกับตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉีด้วยหรือไม่”

 

 

           “อาจจะกระมัง ใครจะรู้เล่า ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเป่ยฉีนานสักหน่อย แค่ไปสำรวจดูรอบหนึ่งเท่านั้น เห็นว่าท่านแม่สบายดี ตาแก่นั้นเพราะได้แต่จำใจส่งข้าออกไป พอพบหน้าข้าก็เกิดความละอายใจ แทบอยากจะคว้าเดือนคว้าดาวมาให้ดังปรารถนา ส่วนคนตระกูลอวี้เห็นข้าแล้วก็แทบจะกลืนกินข้าลงไป ในวังหลวงเป็นไฟ หลังออกจากวังมาเป็นน้ำแข็ง ข้ารับไม่ได้จึงถือโอกาสกลับมาดีกว่า หนานฉินดีกว่าตั้งเยอะ สูดอากาศแล้วบริสุทธิ์กว่า” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ

 

 

           “เจ้าเพิ่งอยู่ได้ไม่กี่วันเอง” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรอง “ตระกูลอวี้ไม่ต้อนรับเจ้าเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรหลายปีที่ผ่านมาอวี้กุ้ยเฟยกับตระกูลอวี้ก็ทำอะไรท่านป้าไม่ได้ ครั้งก่อนท่านป้าป่วยหนัก เดิมคิดว่าจะทำให้นางตายได้ แต่กลับกลายเป็นเรือล่มเมื่อจอด ตอนนี้เจ้ากลับไปเป่ยฉีอีก ทั้งยังเป็นทายาทแท้ๆ ท่านป้าวางรากฐานมาหลายปี ไม่อาจดูถูกได้เลย หากเจ้าต้องการตำแหน่งนั้น ด้วยแรงสนับสนุนจากท่านป้าและฮ่องเต้เป่ยฉี ถึงแม้เจ้าไม่อยู่เป่ยฉีนานก็ไม่ต้องกลัวว่าครองตำแหน่งนั้นไม่ได้ เดิมฉีเหยียนชิงซึ่งเป็นลูกหลานทายาทเพียงคนเดียวกับตำแหน่งของอวี้กุ้ยเฟยนั้นอันตรายนัก ไม่แปลกที่คนตระกูลอวี้แทบอยากสังหารเจ้า”

 

 

           “ใครอยากได้ตำแหน่งนั้นกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ “ต้องทนทุกข์และมีแต่ความเหนื่อยล้า ถึงนำมาประเคนตรงหน้าก็ไม่อยากได้ พวกเขาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ไม่ใช่ข้าสักหน่อย ตำแหน่งนั้นไหนเลยจะมีความสุข แค่โฉมสะคราญรายล้อม ทิวทัศน์งดงาม อาหารรสเลิศจะทำให้สุขสบายได้หรือ”

 

 

           เซี่ยม่อหานหมดคำพูด เงียบลงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ทุกคนล้วนชอบที่สูง แต่ไม่รู้ว่าที่สูงนั้นเอาชนะความหนาวเหน็บไม่ได้ โดยเฉพาะตำแหน่งจักรพรรดิที่ยิ่งต้องตัดอารมณ์ทั้งเจ็ด*[1] ดับปรารถนาทั้งหก**[2] ถึงขยันหมั่นเพียรทำงานหนักทุกวันก็ไม่เห็นว่าจะเหลือไว้ซึ่งชื่อเสียงอันดีงามร้อยปีหรือถูกจารึกชื่อไว้พันปี ยิ่งไปกว่านั้นหากเกียจคร้านในวันหนึ่ง ทำให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ เกิดภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์ เช่นนั้นก็ต้องทบทวนและลงโทษตัวเอง เจ้าไม่ต้องการตำแหน่งนั้น หากคนทั่วไปทราบเข้าคงไม่เข้าใจ แต่สำหรับข้าไม่ใช่สิ่งที่ผิดอันใด ไม่ต้องการก็ดีแล้ว”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า ดื่มน้ำชาอึกใหญ่ก่อนทอดถอนใจขึ้น “แม้เมืองหลินอันเต็มไปด้วยโรคห่าระบาด แต่ดื่มชาแก้วนี้แล้วยังได้กลิ่นหอมฉุย”

 

 

           “ตอนนี้ฐานะเจ้ายังไม่ถูกประกาศต่อใต้หล้า ใช่เพราะเจ้าไม่ชอบตำแหน่งนั้น ไม่อยากได้มันหรือไม่” เซี่ยม่อหานถามขึ้นอีก

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ “ตาแก่ละอายใจ หยั่งเชิงถามข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนท่านแม่กลับเหมือนพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดก็มิปาน เห็นแจ้งทุกอย่างจึงไม่กดดันข้า บอกเพียงนางถูกขังอยู่ในวังหลวงมาทั้งชีวิตแล้ว วันข้างหน้าหากข้าต้องการชีวิตแบบใดก็ขอให้ข้าเป็นคนเลือกเอง แม้นางให้กำเนิดข้ามาแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงดูจึงไม่อาจก้าวก่ายชีวิตข้าได้ ทุกสิ่งให้ข้าเป็นคนตัดสินใจเอาเอง”

 

 

           “ชีวิตนี้ของท่านป้าไม่ง่ายนัก วังหลวงเป่ยฉีกักขังนางมาทั้งชีวิตแล้ว” เซี่ยม่อหานถอนหายใจ “ตั้งแต่นางไปเป่ยฉีก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกเลย ในใจมีหรือจะไม่คิดถึงบ้านเกิด มีหรือจะไม่อยากก้าวออกจากวังหลวง ออกไปทัศนาจรภูเขาเลื่องชื่อธาราผืนใหญ่ ท่านปู่บอกว่าท่านป้ามีนิสัยกระตือรือร้นชอบเที่ยวเล่น น่าเสียดายที่การตามท่านแม่ไปม่อเป่ยเพียงครั้งเดียว ชั่วชีวิตก็ถูกผูกติดไว้ที่ม่อเป่ยแล้ว”

 

 

           “นั่นเป็นการตัดสินใจของนาง นางยินยอมแต่โดยดี” เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก

 

 

           “เจ้ากลับมาหนานฉิน ฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าทราบหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม

 

 

           “ข้าแอบหนีตาแก่นั่นมา แต่ท่านแม่ทราบแล้ว นางมอบองครักษ์เงาให้ข้ากลุ่มหนึ่ง” เซี่ยอวิ๋นจี้พูดพลางนัยน์ตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “ท่านแม่ช่างร้ายกาจนัก องครักษ์เงาของนางแม้มีจำนวนไม่มาก ทว่าแต่ละคนยอดเยี่ยมมาก ใช้งานเพียงคนเดียวก็ต่อกรกับร้อยคนได้ ไม่เสียแรงที่ไปถึงเป่ยฉี ระหว่างทางคนตระกูล

 

 

อวี้คิดสังหารข้า บาดเจ็บไปไม่น้อย หึหึ…”

 

 

           “แล้วองครักษ์เงาที่ท่านป้ามอบให้เจ้าตอนนี้เล่า ไฉนข้าถึงไม่รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ใกล้เลย” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว

 

 

           “ข้าทิ้งไว้ที่พรมแดนม่อเป่ย ฉีเหยียนชิงคิดจะทำสิ่งใด สายตาที่ข้าได้รับการฝึกฝนในจวนโรงเก็บเกลือมาตั้งแต่เด็กไม่อาจมืดบอดได้ ถึงไม่ใช้ตาก็มองออกเช่นกัน หนานฉินวุ่นวายตลอดมา แถมเจ้ายังติดอยู่ที่เมืองหลินอัน ไม่อาจปลีกตัวไปยังพรมแดนม่อเป่ยได้ในตอนนี้ หากเขาลงมือในเวลานี้ พรมแดนม่อเป่ยวุ่นวายขึ้นมา หนานฉินจะยิ่งผีซ้ำด้ำพลอย ดังนั้นข้าจึงให้คนเหล่านั้นอยู่ที่ม่อเป่ย ขอเพียงฉีเหยียนชิงเคลื่อนไหวที่พรมแดน พวกเขาจะได้เข้าสกัดได้ทันกาล ถ้าต้านไม่อยู่ก็มารายงานข้า จะได้ช่วยเจ้าถ่วงเวลาออกไปก่อน เป็นการล้อมคอกก่อนวัวหาย” เซี่ยอวิ๋นจี้ยกมือปัด

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ “ข้ามาหาเจ้าก็เพราะเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าเตรียมการให้ข้าล่วงหน้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็สบายใจ โชคดีที่มีเจ้า”

 

 

       

 

 

[1] *อารมณ์ทั้งเจ็ด คือ อารมณ์ความรู้สึกอย่างคนทั่วไป ประกอบด้วย ดีใจ โกรธ กังวล ครุ่นคิด โศกเศร้า หวาดกลัว และตกใจ

 

 

[2] **ปรารถนาทั้งหก คือ ความปรารถนาของมนุษย์อันเกิดจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ