ตอนที่ 69 - 1 การปกป้องของเขา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าเขียวคล้ำเช่นกัน

 

 

นางทำหน้าตาบิดเบี้ยวยกขาขึ้น รู้สึกว่าอาการเหน็บชาบนขาในชั่วพริบตาหนึ่งเมื่อครู่ได้สลายหายไปแล้ว

 

 

“บ้าเอ้ย!” นางสบถอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง

 

 

เมื่อครู่บังคับรถม้าพุ่งไปทางใต้สะพานที่ซึ่งมีคนน้อย แท้จริงแล้วนางยังเตรียมจะช่วยเหลือคนด้วย นางคำนวณไว้แล้วว่าครู่หนึ่งนั้นที่รถม้าพุ่งเข้าไป น่าจะหายตัวไปลากเฉิงเย่าจู่ออกมาได้ทันเวลา ส่วนองครักษ์พวกนั้น จะตายก็ตายไปเถอะ

 

 

ทว่ามนุษย์คิดไม่สู้ลิขิตฟ้า พริบตาหนึ่งนั้นที่หลังคารถม้าขยับเขยื้อน นางรู้สึกขึ้นมากะหันทันว่าข้อพับเข่าเหน็บชา แล้วขยับไม่ได้ขึ้นมาในฉับพลัน

 

 

พอเหน็บชาพลันฟื้นคืน แต่ไม่ทันเวลาแล้ว รถม้าแล่นตะบึงพาเปลวเพลิงพุ่งสู่เบื้องหน้า นางต้องเลือกระหว่างเสี่ยงเสียโฉมเสียชีวิตหายตัวไปช่วยเฉิงเย่าจู่หรือตนเองถอยสู่เขตปลอดภัยทันที

 

 

นางจะไม่ยอมตายเพื่อช่วยคนแบบเฉิงเย่าจู่คนนี้

 

 

นิ้วมือลูบตรงข้อพับเข่าครั้งหนึ่งไม่เจออะไรสักอย่าง ไม่มีอาวุธลับด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ว่ามีคนลอบทำร้ายหรือตนเองเส้นยึดกะทันหัน

 

 

จิ่งเหิงปัวกลืนความอึดอัดเจือคาวเลือดที่พุ่งสู่คอหอยอึกหนึ่งลงไปอย่างแรง หันหน้ามองพื้นที่ที่รถม้าลุกไหม้ซึ่งมีเปลวเพลิงลุกโชน แล้วมองดูกงอิ้นที่เงาร่างแลดูมัวสลัวผ่านควันไฟ ในใจทั้งจนปัญญาทั้งรู้สึกเสียใจ

 

 

ความยุ่งยากมาแล้ว

 

 

กงอิ้นกำลังมองดูนางเช่นกัน

 

 

ตำหนักอวี้จ้าวไกลจากที่นี่ ตลอดเส้นทางถูกราษฎรที่กระจัดกระจายขวางทางไว้ นึกไม่ถึงว่าพอถึงที่นี่จะมองเห็นฉากหนึ่งนี้

 

 

เขามองเห็นจิ่งเหิงปัวที่ยับเยินทั่วร่างแม้แต่เส้นผมยังถูกเผาไหม้ไปกระจุกหนึ่งในปราดเดียว นางกำลังพิงอยู่ข้างราวสะพานครึ่งหนึ่งพลางไอโขลกเล็กน้อย

 

 

กงอิ้นวางใจขึ้นมา จากนั้นสีหน้าพลันเย็นชา เขามองเห็นฉากหนึ่งนั้นเมื่อครู่ชัดเจนเช่นกัน เป็นจิ่งเหิงปัวที่บังคับรถม้าเพลิงพุ่งไปทางเฉิงเย่าจู่…

 

 

ความยุ่งยากมาแล้ว

 

 

“ทหารคั่งหลง!” เขาพลันเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “พาผู้บัญชาการออกมา!”

 

 

ทหารคั่งหลงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปทั้งฉุดทั้งลากเฉิงกูมั่วที่ใกล้จะถูกไฟแผดเผาออกมา บนร่างผู้บัญชาการมีประกายไฟโผล่มาทุกหนแห่ง บนใบหน้าดำเทาลายพร้อย เหล่าทหารตบประกายไฟแทนเขาจนมือไม้พันกัน เฉิงกูมั่วคล้ายไม่มีความรู้สึกใดทั้งสิ้น เงยหน้ามองท้องฟ้าโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย ผ่านไปเนิ่นนาน หยาดน้ำตาใสสว่างสองสายค่อยๆ รินไหลอย่างเงียบเชียบ ชะล้างคราบเขม่าบนใบหน้ากลายเป็นร่องน้ำชั้นแล้วชั้นเล่าสองสาย

 

 

เหล่าทหารหยุดมืออย่างสะเทือนใจ มองหน้ากันไปมา

 

 

คนผู้นี้คือเฉิงกูมั่วนั่นหนา ผู้บัญชาการที่บัญชาคั่งหลงมานานหลายปี ผ่านศึกนับร้อย โลหิตไหลไร้น้ำตาผู้เลื่องชื่อ ชายแกร่งแห่งต้าฮวงผู้ที่ร่างเคยต้องลูกธนูนับสิบดอกยังมิเคยร้องครวญคราง

 

 

บุรุษที่บิดามารดาสิ้นชีพ ทั้งตระกูลเคยถูกศัตรูสังหารยังมิเคยหลั่งน้ำตาสักหยด ยามนั้นดิ้นรนหลุดพ้นจากสถานการณ์เกือบจะไร้ทายาทที่เลวร้ายที่สุด ทุ่มเทสุดกำลังค้ำจุนเชื้อสายอันน้อยนิดของตระกูลเฉิงอีกครั้ง ความพยายามทุกสิ่งในชีวิตนี้ก็เพื่อสืบทอดการเซ่นไหว้และความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉิง

 

 

ทว่าวันนี้ มองเห็นการเซ่นไหว้ของเขาดับสูญกับตา มองเห็นเขาสิ้นสุดเชื้อสายกับตา มองเห็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มาอย่างลำบากลำบนสิ้นชีพโดยอนาถกับตา สุดท้ายแลกมาซึ่งน้ำตาร้อนผ่าวสองสาย

 

 

ยามไร้น้ำตา คือโลหิต

 

 

ทุกผู้คนนิ่งเงียบสั่นเทิ้ม รู้สึกเพียงถูกความเจ็บปวดแสนสาหัสขนาดมหึมานั้นบีบเคล้นจนแทบจะหยุดหายใจ

 

 

เฉิงกูมั่วร่ำไห้เพียงพริบตาเดียว จากนั้นเขาพลันหันหน้าจดจ้องจิ่งเหิงปัว

 

 

ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าอ่อนเพลีย กำลังไอโขลกแผ่วเบาโดยตลอด พยายามควบคุมอาการหอบหืดตรงหน้าอก รู้สึกเพียงว่าใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น ตอนนี้ไม่อยากขยับเขยื้อนแม้เพียงก้าวเดียว

 

 

นางรู้สึกถึงแววตาเ**้ยมโหดโกรธแค้นนักของเฉิงกูมั่ว ในใจมีความรู้สึกเสียใจและจนปัญญา แต่ว่าไม่มีความหวาดกลัว นางทุ่มเทสุดกำลังแล้ว ครู่สุดท้ายยังคงอยากช่วยเฉิงเย่าจู่ ถึงที่สุดแล้วทำไม่ได้ คนเป็นพ่อคนนี้มีเหตุผลจะมาแก้แค้นนาง แต่คงต้องดูว่าจะแก้แค้นหรือไม่เท่านั้น

 

 

กงอิ้นมาถึงแล้ว จะยอมให้เขาสังหารตนเองไหม?

 

 

เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นแฉลบเข้ามาดังคาดการณ์

 

 

ในขณะเดียวกันนั้นเองในสายตาของเฉิงกูมั่วมีประกายโหดเ**้ยมอำมหิตสายหนึ่งเฉียดผ่าน กระซิบกระซาบวาจาแผ่วเบาหลายประโยคกับองครักษ์ที่ไว้ใจข้างกายแล้วหันหลังกลับเข้าสู่กองทัพ

 

 

เห็นเขากลับเข้าสู่กองทัพ กงอิ้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าวางใจขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งแล้วตัดสินใจไม่เข้าไปหานางในฉับพลัน ปลอบโยนควบคุมเฉิงกูมั่วที่อยู่ในสภาวะอันตรายเสียก่อนแล้วค่อยเอ่ยเรื่องอื่น

 

 

ยามนี้เหยียลี่ว์ฉีได้กลับสู่รถม้าแล้วเริ่มล่าถอยเชื่องช้าเช่นกัน รอบด้านเป็นกองทัพของกงอิ้นทั้งสิ้น ยามเขาออกมาไม่ได้พาองครักษ์มามากมายเท่าใด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้โดยปกติแล้วเขาจะหลบลี้ไปก่อน

 

 

“ผู้บัญชาการ” กงอิ้นเผชิญหน้ากับเฉิงกูมั่ว จ้องมองดวงตาของเขา เอ่ยว่า “โปรดระงับความเศร้าโศก ผู้บัญชาการรักษาสุขภาพ อย่าได้โศกศัลย์มากหลาย ประเดี๋ยวเปิ่นจั้วจะหาวิธีเชิญท่านอาจารย์จื่อเวยแห่งเขาชีเฟิงให้เจ้า เจ้ายังคงมีโอกาส”

 

 

เขาไม่เก่งเรื่องการปลอบโยนผู้อื่น เอ่ยวาจานี้ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยเช่นเดิม ทว่าผู้คนรอบด้านต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ

 

 

ท่านอาจารย์จื่อเวยแห่งเขาชีเฟิงคือเซียนชราอายุร้อยปีที่มีความสามารถรอบรู้ทั่วฟ้าดินในตำนานของต้าฮวง คือผู้วิเศษลำดับหนึ่งแห่งต้าฮวงที่อยู่อย่างสันโดษนอกแดนมนุษย์ไม่ข้องเกี่ยวเรื่องทางโลกมานานหลายปี หลายปีมานี้ปลีกวิเวกใช้ชีวิตเพนจร คนมากมายต่างนึกว่าเขาคงสำเร็จเป็นเซียนแน่แล้ว ลูกศิษย์เจ็ดคนบนโลกมนุษย์ของเขาคือผู้แทนวาจาของเขา ยามนี้ต่างมีตำแหน่งสูงส่ง คนธรรมดายากจะได้พบเจอ ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงท่านอาจารย์จื่อเวย

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาราชครูไม่เคยผิดวาจา ในเมื่อเขาเอ่ยวาจานี้แล้ว เช่นนั้นย่อมมีความมั่นใจ หากเชิญท่านอาจารย์จื่อเวยมาได้จริง หากรักษาโรคมีทายายากตามตำนานของตระกูลเฉิงให้หายได้จริง เช่นนั้นบุตรชายสิ้นชีพไปคนเดียวคงไม่นับว่าเป็นอะไร

 

 

ทว่าคิดแล้วย่อมรู้ว่าท่านอาจารย์จื่อเวยเชิญยากเพียงใด? การเชิญเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนระดับใด? ราชครูเอ่ยวาจานี้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ถึงการให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้และต่อผู้บัญชาการ

 

 

บนใบหน้าของเฉิงกูมั่วมิได้มีสีหน้ามากมาย พอเฉิงเย่าจู่สิ้นชีพ กำลังวังชาของเขาคล้ายหมดสิ้นไปด้วย ทว่ายังคงยกกำปั้นคารวะอย่างเปี่ยมด้วยมารยาท เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ขอบคุณราชครูที่เมตตาขอรับ”

 

 

สายตาของกงอิ้นข้ามผ่านเหนือศีรษะเขา มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้บัญชาการคงจะเหน็ดเหนื่อยแล้ว อย่างไรเสียจงกลับไปพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บเถิด เปิ่นจั้วย่อมจัดการเรื่องราวในภายหลังแทนเจ้า พวกเจ้า จงส่งผู้บัญชาการไปพักผ่อน”

 

 

อวี่ชุนกับเหมิงหู่ต่างตามขึ้นมาแล้ว มุมปากของเฉิงกูมั่วแบะครั้งหนึ่งคล้ายยิ้มเยาะคราหนึ่งแลคล้ายมิได้ยิ้มเยาะ ดุจดั่งมองไม่เห็นองครักษ์ของกงอิ้น หันหน้าเอ่ยกับกงอิ้นอย่างจริงจังว่า “ราชครู ในใจข้ามีข้อสงสัยยากแก้ไข ขอเอ่ยวาจาเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”

 

 

กงอิ้นจ้องมองดวงตาของเขา พยักหน้าเพียงน้อย ผายมือนำทางด้วยตนเอง

 

 

สองคนเดินไปยังข้างทาง

 

 

องครักษ์รอบด้านล้อมรอบขึ้นมาแน่นขนัด ครึ่งหนึ่งคือทหารคั่งหลง อีกครึ่งหนึ่งคือราชองครักษ์

 

 

“ราชครู” เฉิงกูมั่วเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาว่า “ท่านมองเห็นฉากหนึ่งเมื่อครู่หรือไม่?”

 

 

กงอิ้นตอบอย่างสงบเงียบว่า “มองเห็น”

 

 

“ท่านคิดอย่างไร?”

 

 

“เรื่องนี้คงมีลับลมคมใน จะต้องสืบสวนให้กระจ่างแจ้ง”

 

 

“ท่านและข้าต่างเห็นด้วยตาตนเอง”

 

 

“เมื่อครู่เปิ่นจั้วสอบถามราษฎร ต่างเอ่ยว่าก่อนหน้านี้ราชินีทรงเคยขัดขวางรถม้าคันหนึ่งซึ่งคล้ายกันไม่มีผิดเพี้ยน รถยังจอดอยู่ข้างนั้น ซ้ำยังเอ่ยว่าราชินีเคยได้ตรัสเตือนคุณชาย”

 

 

“ทว่าสิ่งที่ข้ามองเห็นคือราชินีทรงบังคับรถม้าพุ่งไปทางเย่าจู่”

 

 

“เปิ่นจั้วเอ่ยแล้ว เรื่องนี้คงมีลับลมคมใน มิอาจรีบร้อนกระทำการ”

 

 

“ราชครู”

 

 

“อืม?”

 

 

“ตลอดหลายปีมานี้ ข้าติดตามท่าน ท่านรู้สึกว่าข้ากระทำได้เป็นอย่างไร?”

 

 

“จิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดี มิอาจทดแทนได้”

 

 

“เช่นนั้น ท่านรู้สึกว่าเรื่องนี้ ข้าควรจะกระทำอย่างไร”

 

 

“โปรดรอคอย รอคอยให้ข้าทูลถามราชินี มอบคำอธิบายให้เจ้า”

 

 

เฉิงกูมั่วนิ่งเงียบไประลอกหนึ่ง สีหน้าหม่นหมองในแสงสายัณห์มัวสลัว เวียนวนวูบวาบด้วยเงามืดของปีกวิหคไพรที่หวนคืนยามค่ำ

 

 

กงอิ้นยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ ดุจภูผาหิมะตั้งตระหง่านมิอาจสั่นคลอน

 

 

ผ่านไปสักพักเฉิงกูมั่วเอ่ยอย่างอ่อนเพลียว่า “ได้ ในเมื่อยากแรกเริ่มสาบานจะจงรักภักดีต่อท่าน คงมิอาจไม่รักษาคำสัตย์ในบั้นปลาย ข้าย่อมเชื่อฟังวาจาของท่าน…”

 

 

สีหน้าของกงอิ้นอ่อนโยนเล็กน้อย ยกมือไปตบไหล่ของเฉิงกูมั่ว เอ่ยว่า “เช่นนี้ใจข้าย่อมคลายกังวล…”

 

 

ไหล่ของเฉิงกูมั่วสั่นเทิ้ม หลบหลีกโดยสำนึก

 

 

มือของกงอิ้นหยุดค้างกลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน

 

 

เขากำลังหวาดผวา!

 

 

ในขณะเดียวกันนั้นเองสองนิ้วที่ไพล่ไว้ข้างหลังของเฉิงกูมั่วดีดเพียงครั้ง ดอกไม้ไฟสีแดงเข้มสายหนึ่งพุ่งตรงสู่ท้องฟ้า!

 

 

“ลงมือ!” เขาตะโกนลั่น

 

 

ท่ามกลางทหารคั่งหลงที่ยืนอยู่ที่เดิมยังคงช่วยดับไฟและค้นหาซากศพ พลันมีเงาคนหลายสายพุ่งออกมา มีดกระบี่สว่างวูบกลางอากาศ พุ่งตรงไปยังจิ่งเหิงปัว!

 

 

“เฉิงกูมั่ว!” กงอิ้นยากจะใช้เสียงสูงขนาดนี้ สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธยิ่งนัก สะบัดเฉิงกูมั่วออกในฝ่ามือเดียวแล้วพุ่งตรงไปยังจิ่งเหิงปัว ตะโกนว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!”

 

 

เขาไม่อาจเคลื่อนกายออกไปได้

 

 

พอก้มหน้า เฉิงกูมั่วที่ล้มลงบนพื้นกอดขาของเขาไว้

 

 

“ราชครู!” เสียงของเฉิงกูมั่วเศร้าเสียใจ เอ่ยว่า “ท่านจะไปช่วยผู้ใด!”

 

 

“หลีกไป! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้องราชินี!”

 

 

“นางสังหารบุตรชายข้า!” เสียงของเฉิงกูมั่วดุจเจือด้วยโลหิต เอ่ยว่า “ใจท่านคลายกังวลแล้ว แล้วผู้ใดจะคลายกังวลข้า? บุตรชายของข้า บุตรชายที่ได้มาอย่างยากลำบากของข้า!”

 

 

“ข้ารับปากเจ้าว่าจะมอบคำตอบให้เจ้า!”

 

 

“สิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองยังหวังหลอกลวงให้ผ่านพ้น ท่านปกป้องเข้าข้างนางเช่นนี้ ยังจะมอบคำตอบใดให้ข้าได้!” เฉิงกูมั่วใช้เรี่ยวแรงทั่วร่างจนหมดสิ้น ผนึกขาสองข้างของกงอิ้นไว้ ร้องว่า “ราชครู! ข้าจะไม่ทรยศท่าน ข้าเพียงขอให้ท่านอนุญาตให้ข้าแก้แค้น! จากนั้นข้าจะขอรับโทษประหาร! ข้าติดตามท่านมานานหลายปีขนาดนี้ ทหารคั่งหลงมีจิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อท่าน ท่านจะไม่สนใจความทุกข์ที่บุตรชายข้าถูกสังหาร แล้วกระทืบข้าจนสิ้นชีพในเท้าเดียวเบื้องหน้าทหารคั่งหลงจริงหรือ?”

 

 

กงอิ้นสะท้านไปทั่วร่าง

 

 

พอเงยหน้าอีกครั้ง แม้ว่าทหารคั่งหลงรอบกายยังนิ่งเงียบเช่นเดิม ทว่าความเศร้าเสียใจและความสงสารในสายตาลุกโชนโชติช่วงแล้ว!

 

 

ยามนี้หากไร้ความเมตตาต่อเฉิงกูมั่วอีก สิ่งที่แลกมาต้องเป็นผลลัพธ์ยากจะกอบกู้แน่แท้!

 

 

อวี่ชุนกับเหมิงหู่ระมัดระวังโดยสำนึก นำพาราชองครักษ์ค่อยๆ เข้าใกล้ทางนี้ ทว่าถูกทหารคั่งหลงที่ขยับเขยื้อนฝีเท้าคล้ายตั้งใจแลมิได้ตั้งใจขวางไว้

 

 

ทหารกำลังจะก่อกบฏ!