ตอนที่ 69 - 2 การปกป้องของเขา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวพิงราวสะพานหอบหายใจ แต่ไม่ได้ละทิ้งความระแวดระวัง

 

 

ความตายของคุณชายผู้บัญชาการ เสียงร้องโหยหวนของผู้บัญชาการ นางฟังอยู่โดยตลอดจึงไม่อาจหมางเมินเฉยเมย

 

 

อย่างไรก็มาจากยุคปัจจุบัน ไม่อาจมองข้ามชีวิตได้ แม้ว่านางคิดว่าเฉิงเย่าจู่กับบ่าวชั่วร้ายกลุ่มนั้น สังเกตจากท่าทางฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาในวันนี้ ในเวลาปกติคงจะเคยรังแกผู้ชายฉุดคร่าผู้หญิงกระทำเรื่องชั่วร้ายมาไม่น้อย นับว่าตายไปยังไม่สาสมกับความผิด แต่เวลาปกติชื่อเสียงขุนนางของเฉิงกูมั่วไม่เลวร้าย ยิ่งมีจิตใจซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกงอิ้น ทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้ ตระกูลเฉิงสิ้นสุดทายาท ในใจนางก็มีความรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

 

 

เฉิงกูมั่วได้ถูกกงอิ้นเรียกไปแล้ว แต่ทหารของเขายังคงอยู่ จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าแววตาเจตนาร้ายเหล่านั้นกวาดผ่านบนร่างตนเองทีละรอบ

 

 

รอบด้านยังมีราษฎรไม่น้อย บางคนกำลังสั่นเทิ้มบางคนกำลังร้องครวญคราง บางคนคลานขึ้นมาจากแม่น้ำ มีคนงงงวยไม่รู้จะทำอย่างไร ทว่าต่างชุมนุมอยู่ข้างกายนางอย่างคล้ายมิได้ตั้งใจ

 

 

“ลงมือ!”

 

 

ยามเสียงของเฉิงกูมั่วแว่วมา เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบเช่นกัน

 

 

แต่นางไม่ได้หายตัวออกไปในทันที

 

 

หน้าอกพลันเจ็บปวด นางมีสีหน้าซีดเผือด ก้าวหนึ่งนั้นหายตัวออกไปไม่ได้ พอเงยหน้าก็มองเห็นเงาดำกระโจนเหินปานวิหคดุร้ายกลางอากาศ คมมีดสว่างราวหิมะคลุมครอบลงมาดุจสาดน้ำ

 

 

นางแค่ทันได้ฝืนแรงกะพริบวูบไปข้างหลัง ก็ไม่รู้ว่าหายตัวออกไปได้มากแค่ไหน หายตัวพ้นขอบเขตคมมีดหรือยัง นางรู้สึกได้ถึงสายลมผนึกแน่นหนาวเหน็บประชิดใกล้ปลายจมูก รูขุมขนทั่วร่างรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวน่าครั่นคร้ามของอาวุธคม

 

 

ที่ซึ่งไม่ไกลเหยียลี่ว์ฉีพุ่งออกจากรถม้า

 

 

อีกทิศทางหนึ่งบนขากงอิ้นสั่นสะท้าน สะบัดเฉิงกูมั่วออกไป มุมปากของเฉิงกูมั่วมีโลหิตไหลร่างล้มลงบนพื้น กงอิ้นกะพริบกายพุ่งออกไป

 

 

“เคร้ง” เสียงหนึ่ง เสียงดังกังวานของโลหะกระทบกัน

 

 

หม้อใหญ่ใบหนึ่งพลันเหินออกมาจากข้างหลังจิ่งเหิงปัว ปะทะกับมีดที่สะบั้นลงมา น้ำมันที่เหลืออยู่ในหม้อสาดทหารหลายคนที่ลงมือนั้นทั่วร่าง

 

 

ในหูของจิ่งเหิงปัวดังหวึ่งๆ ผืนหนึ่ง คว้าราวสะพานข้างหลังไว้ เบิกตาโพลง มองเห็นหม้อใหญ่ใบหนึ่งกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น เปลวไฟหลายแห่งที่มอดดับแล้วเมื่อครู่ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง ทหารหลายคนที่ลงมือเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยคราบน้ำมันทั่วร่าง อยากจะพุ่งมาข้างหน้าทว่าไถลไปข้างหลังอย่างจนตรอก

 

 

นางหันหน้ากลับมา

 

 

ข้างหลังมีคนยืนอยู่เต็มไปหมดไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร!

 

 

พ่อค้าคนหนึ่งสองมือเปรอะเปื้อนน้ำมันท่วม บนมือยังมีบาดแผลกว้าง กำลังคงไว้ซึ่งท่าทางยกหม้อเขวี้ยงคน ยิ้มแย้มด้วยในใจมีความหวาดผวาให้นาง

 

 

จิ่งเหิงปัวจำได้เลือนรางว่าเขาคือพ่อค้าที่ขายแป้งทอดน้ำมันข้างสะพาน ต่อมาถูกองครักษ์ของเฉิงเย่าจูไล่ไปอีกทาง

 

 

พ่อค้าคนนั้นยิ้มกว้างให้นาง เอ่ยว่า “แม่นาง เมื่อครู่พวกเรามองเห็นกันหมดแล้ว รถคันนั้นผิดปกติ รถคันแรกเจ้าเป็นผู้ทำให้หยุดลง รถคันที่สองเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนทิศทาง หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราคงตายกันหมดแล้ว”

 

 

“ใช่ หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราคงหนีไม่พ้น” ฝูงชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งข้างหลังเขาต่างพุ่งเข้ามา ก้าวผ่านนาง ปกป้องนางไว้ข้างหลัง ถลึงตามองทหารที่คิดจะคว้ามีดก้าวเข้ามาอีกครั้งเหล่านั้นด้วยความโกรธเคือง

 

 

“อย่าเข้ามา มิเช่นนั้นพวกเราจะไม่เกรงใจ!”

 

 

“นางเป็นผู้ขัดขวางรถม้าต้นเหตุเพลิงไหม้ไว้ พวกเจ้าอาศัยสิ่งใดมาสังหารนาง!”

 

 

“เฉิงเย่าจู่ก่อเรื่องอันธพาลในตี้เกอ สมควรถูกชนจนสิ้นชีพ เป็นเขาเองที่ยึดตำแหน่งใต้สะพานหาเรื่องตายด้วยตนเอง พวกเจ้าหวังจะอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว ถามพวกเราก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่!”

 

 

“ใช่ ถามพวกเราก่อน!”

 

 

ฝูงชนท่าทางโหดร้ายน่ากลัว ผู้ขัดขวางดุจกำแพง ทหารหลายนายคิดไม่ถึงว่าจะพบกับการต่อต้านเช่นนี้ สีหน้ากังวลเล็กน้อย ไม่กล้าก้าวไปเบื้องหน้าอีก ได้แต่คุมเชิงกันถลึงตามองด้วยความโกรธ ไม่ถอยร่นให้กันและกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวน้ำตาคลอเบ้าในชั่วพริบตา

 

 

ลำบากลำบนติดตามขัดขวางตลอดทาง ทุกสิ่งที่นางทุ่มเทไปไม่ได้จมดิ่งใต้ละอองธุลี วันนี้ฟ้ารับรู้ ดินรับรู้ ราษฎรทุกคนที่อยู่ในตลาดกลางคืนตรอกหลิวหลีแห่งนี้ต่างรับรู้!

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขามอบการตอบแทนอย่างสาสมที่สุดให้นางในทันที…ใช้ชีวิตร่วมปกป้อง ต่อต้านอาวุธแห่งแคว้นอย่างอาจหาญ

 

 

ความรู้สึกถาโถมในใจ นางอดจะน้ำตารื้นไม่ได้ ยื่นมือจับไหล่ของราษฎรที่ไม่รู้ว่าเป็นใครข้างหน้า กล่าวว่า “เอ่อ…ข้าไม่เป็นไร อย่าได้โต้เถียงกับทหารเลย…”

 

 

“ฝ่าบาท!” จากที่ห่างไกล ไม่รู้ว่าผู้ใดโก่งคอตะโกนเต็มที่ว่า “พระองค์ทรงให้อาตมาไล่ตามขัดขวางรถม้าอีกสามคันที่ภายในซุกซ่อนโคลนไฟตลอดทาง อาตมาได้ช่วยพระองค์กระทำเสร็จสิ้น รถม้าสามคันถูกสกัดให้จอดแล้วทั้งสิ้น ไม่อาจก่อเรื่องได้อีก ขอพระองค์ทรงวางพระทัย!”

 

 

เสียงหนึ่งออกมาดุจมหาศิลากระแทกคลื่น ซัดสาดคลื่นเสียงอุทานอย่างตกตะลึงนับไม่ถ้วน

 

 

“ฝ่าบาท? นางคือองค์ราชินีหรือ?” นี่คือผู้ที่ประหลาดใจในฐานะ

 

 

“ยังมีรถม้าเพลิง! ยังมีอีกสามคัน! โอ้สวรรค์คราวนี้จะมีคนล้มตายมากเพียงใด!” นี่คือผู้ที่หวาดผวาว่าภัยพิบัติยังคงอยู่

 

 

“ถูกสกัดให้จอดแล้ว! ถูกฝ่าบาททรงส่งคนส่งทหารขัดขวางให้จอดแล้ว! โอ้สวรรค์ นึกไม่ถึงว่านอกจากรถม้าสองคันทางนี้ ฝ่าบาทยังทรงขัดขวางไว้อีกสามคัน! นี่คือบุญคุณยิ่งใหญ่ต่อผู้คนนับไม่ถ้วน!” นี่คือผู้ที่รู้สึกถึงข่าวสารที่แฝงนัยในวาจาประโยคนั้นในที่สุด

 

 

กงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีที่เฉียดเข้ามาชะงักไปแล้วเช่นกัน

 

 

พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่ารถม้าไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว แม้ว่ามองทิศทางการมาถึงรถม้า รถม้าที่ปรากฏตรงนี้คือรถม้าสองเส้นทาง ทว่านึกไม่ถึงว่ายังมีอีกหนึ่งเส้นทาง

 

 

ครุ่นคิดให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก ในเมื่อรถม้าที่ถูกสกัดให้จอดอีกหนึ่งเส้นทางคือสามคัน เช่นนั้นรถม้าอีกสองเส้นทางคงจะไม่น้อยกว่าสามคันเช่นกันถึงจะถูกต้อง ทว่ารถม้าสองเส้นทางที่ปรากฏที่นี่ต่างมีเพียงหนึ่งคัน เอ่ยอีกอย่างหนึ่งคือแท้จริงแล้วบนเส้นทางคงจะมีรถม้าเช่นนี้ทั้งสิ้นเจ็ดคันถูกสกัดให้จอด!

 

 

เจ็ดคัน!

 

 

พอนึกว่าอาจจะยังมีรถม้าสยองขวัญเช่นนี้ พุ่งชนมั่วซั่วกลางตรอกหลิวหลีที่ซึ่งฝูงชนชุมนุมเช่นนี้ กลิ้งทับไม่หยุดหย่อน นำพาเปลวเพลิงและชีวิตคนนับไม่ถ้วนตลอดทางเข้าสู่ใจกลางตี้เกอ เส้นผมของทั้งสองคนต่างเริ่มลุกชัน

 

 

คราวนี้ต้องพลีชีวิตคนเพียงใด? ก่อเกิดความวุ่นวายมากเพียงใด? ก่อเกิดเงามืดให้ผู้คนมากเพียงใด ก่อเกิดความไม่สงบที่ตามมามากเพียงใด? คราวนี้จะกระทบทั่วทั้งตี้เกอ ถึงขนาดกระทบทั่วทั้งแคว้น! ประวัติศาสตร์ของต้าฮวงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพราะเหตุนี้!

 

 

ช่วงหนึ่งนี้ทั่วร่างสองคนเหน็บหนาว ดวงใจกลับร้อนผ่าวขึ้นมา

 

 

เรื่องนี้คือการกระทำของจิ่งเหิงปัวผู้แม้ว่าฉลาดเฉลียวทว่าเกียจคร้าน แลดูมีน้ำใจไมตรีทว่ายังมีส่วนเฉยเมยในกระดูกหรือ?

 

 

ความสามารถของนางพลิกผันเปลี่ยนแปร ระหว่างนั้นจะทุ่มเทลำบากยากเข็ญอย่างไร?

 

 

แววตาของสองคนอดจะเบนไปทางจิ่งเหิงปัวไม่ได้

 

 

นางยับเยินไปทั่วร่าง ไร้ซึ่งเสน่ห์งดงามเพริศแพร้วยามปกติ ถึงขนาดกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าพอมองดูในยามนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความดีงามจวบจนสิ้นสุดแดนมนุษย์

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้สังเกตแววตาของทุกคน ยุ่งอยู่กับการเขย่งเท้าชะเง้อมองที่มาของเสียง นี่คือเสียงของพระปลอม ดูท่าเส้นทางหนึ่งนั้นของเขาคงสำเร็จจริงแล้ว

 

 

เขายังรีบตามมาโก่งคอตะโกนยากลำบากอีก เดิมทีนางยังกลัดกลุ้มว่าจะเปิดเผยฐานะโดยไม่เหลือร่องรอยอย่างไร? ทำความดีไม่เปิดเผยชื่อนั่นไม่ใช่การสวมชุดแพรท่องราตรีหรอกเหรอ? ราชินีที่ไร้เส้นสายแบบนางนี้ ไม่ฉวยโอกาสนี้สร้างฐานมวลชนจะฉวยโอกาสไหน?

 

 

นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนนี้จะช่วยนางแก้ไขปัญหายุ่งยาก จิ่งเหิงปัวอยากจะลากเขาออกมาจุ๊บๆ บนศีรษะของพระปลอมแบบเขานั้นสักฟอดเหลือเกิน

 

 

“องค์ราชินี!” ราษฎรพุ่งเข้ามามากยิ่งขึ้น สีหน้าทั้งตื่นตกใจทั้งปีติยินดีผสานความซาบซึ้งใจ มือของคนมากมายสั่นเทิ้มอย่างฮึกเหิม หวังลูบคลำชายผ้าของนาง ทว่ามิกล้าล่วงเกิน ยืนต่อกันทีละแถวด้วยท่าทางเคารพนบนอบ

 

 

ความประทับใจที่มีต่อความงามน่าตะลึงพรึงเพริดของราชินีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จยามนั้นยังคงอยู่ ทว่านั่นเป็นเพียงความประทับใจในความเฉลียวฉลาด รูปโฉมงดงามและความอัศจรรย์เท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของราษฎร ผ่านไปไม่กี่วันย่อมจืดจางลงไป ทว่ายามนี้ย่านตลาดสะท้านวิญญาณ รอดชีวิตหลังภัยพิบัติ พอมองเห็นองค์ราชินีที่ช่วยราษฎรนับหมื่นเพียงผู้เดียวอีกครั้ง พลันรู้สึกว่าทั้งสนิทสนมทั้งบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ล่องลอยเหนือเมฆา ร่างเปล่งประกายรัศมีโดยไร้สรรพเสียง

 

 

ทว่าความรู้สึกของผู้มีฐานะแตกต่างกันมักจะตรงข้ามกัน

 

 

สำหรับเฉิงกูมั่ว สำหรับทหารคั่งหลง กลับรู้สึกเพียงว่าโกรธแค้น

 

 

รู้สึกถึงความโกรธแค้นที่ราชินีบีบบังคับเจตนารมณ์ของราษฎรมาต่อต้านอำนาจบารมีของกองทัพ

 

 

“ผู้ใดอนุญาตพวกเจ้าชุมนุมกันในย่านตลาด? ทหารคั่งหลง ใช้กำลังขับไล่!” เฉิงกูมั่วลุกขึ้นมาจากพื้น เสียงโกรธแค้นดังขึ้นมา

 

 

เสียงของกงอิ้นขานรับรวดเร็วยิ่งว่า “หยุดนะ! ทหารคั่งหลงไม่ได้รับคำสั่งข้า ห้ามกระทำการฉุนหันพลันแล่น!”

 

 

เฉิงกูมั่วเช็ดโลหิตตรงมุมปากครั้งหนึ่ง หันหน้ามาจ้องมองกงอิ้นอย่างโกรธแค้น สายตาดุจหมาป่าบาดเจ็บ

 

 

ในแววตาของกงอิ้นคือหิมะขาวโพลนชั่วกาล ไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เฉิงกูมั่วฝ่าฝืนต่อต้านคำสั่ง ขยับเขยื้อนกองทัพล้อมโจมตีราชินีโดยพลการ มีโทษล่วงเกินเบื้องสูง หยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการชั่วคราว รอตรวจสอบ!”

 

 

ทหารคั่งหลงส่งเสียงเซ็งแซ่

 

 

เฉิงกูมั่วมีสีหน้าตกตะลึง หันหน้าฉับพลัน ตวาดว่า “ราชครู! จะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลจริงหรือ!”

 

 

“เบื้องบนมีกฎหมาย เบื้องล่างมีกฎเกณฑ์” กงอิ้นไม่อ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะข้อใดต่างไม่อนุญาตให้เจ้าล้อมปลงพระชนม์ราชินีกลางตลาด บัญชากองทัพโจมตีราษฎรบริสุทธิ์!”

 

 

“แล้วข้อใดเล่าอนุญาตให้ราชครูพักตำแหน่งมหาขุนพลในราชวงศ์นี้โดยพลการ?” เฉิงกูมั่วตะโกนอย่างเศร้าเสียใจว่า “ลููกน้องคั่งหลง! จงบอกข้า! หลายปีมานี้ ข้าพาพวกเจ้ารบรามากเพียงใด!”

 

 

“รัชศกเทียนสื่อปีแรกถึงรัชศกหมิงเฉิงปีที่ห้า ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงขานรับเกรียงไกรดุจเสียงอสนีบาต

 

 

“รบชนะกี่ครั้ง!”

 

 

“ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงสะเทือนท้องนภา

 

 

“มีกี่ครั้งที่สู้รบเพื่อตี้เกอ!”

 

 

“ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงตะโกนกึกก้อง

 

 

“ศึกครั้งใดเกิดการบาดเจ็บล้มตาย?”

 

 

“ศึกน้อยใหญ่สี่สิบเอ็ดครั้ง!” เสียงยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น

 

 

“ครั้งใดศึกบาดเจ็บล้มตายมากที่สุด!”

 

 

“กบฏตี้เกอรัชศกหมิงเฉิงปีที่ห้า เพื่อปกป้องราชครู คั่งหลงบาดเจ็บสามพัน สิ้นชีพหนึ่งพัน ผู้บัญชาการต้องลูกธนูสิบเจ็ดดอก เอ็นมือซ้ายขาด จนบัดนี้ใช้การไม่ได้!”

 

 

แม่น้ำอวี้ไต้ ตรอกหลิวหลี โคมแดงสิบลี้แลแสงตะเกียงสามพันต่างสั่นสะท้านท่ามกลางเสียงตะโกนก้องของคั่งหลง

 

 

ทุกคนหน้าถอดสี เหล่าราษฎรหวาดกลัวสั่นเทิ้มกลายเป็นกลุ่มเดียว ใจรู้ว่าพริบตาต่อมาอาจจะต้องเผชิญหน้าภัยพิบัติครั้งหนึ่งอีกครา…การก่อกบฏของทหารที่เกิดขึ้นในย่านตลาดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ต้าฮวง!

 

 

มีเพียงใจกลางที่สุดของลมพายุ กงอิ้นคลายคิ้วหลุบตาต่ำ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง