จำนวนนักฆ่านั้นมีมากกว่าทหารคุ้มกันของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าตาจน พวกเขาสามารถตอบโต้การโจมตีของมือสังหารได้แต่พวกเขาไม่สามารถกำจัดพวกมันได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูหลิน ชูจิ่วที่กำลังถูกม้าโจมตีเท่านั้น
“ หวางเฟย หวางเฟย….โปรดระวังด้วย” พ่อบ้านเฮ้าพูดในขณะที่เขาม้วนตัวขึ้นจากภายในรถม้า ตะเกียงน้ำมันด้านในดับไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีไข่มุกรัตติกาลอยู่สองสามลูกภายในรถม้า พ่อบ้านเฮ้าก็จะไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลิน ชูจิ่ว อยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นกรณีนั้นพ่อบ้านเฮ้า ก็ยังกล้าที่จะรีบเร่งออกไปและเพิ่มความวุ่นวายให้กับทหาร
ร่างของม้ามีขนาดใหญ่มาก จึงมองเห็นได้อย่างง่ายดาย นักฆ่าเพียงแค่ต้องยกดาบขึ้นเพื่อทำร้ายม้า เมื่อม้าบาดเจ็บและรู้สึกเจ็บปวดมันจึงวิ่งหนีไปอย่างรุนแรงเพื่อพยายามช่วยตัวเอง
“ แล้วเสี่ยวหวางเฟยเล่า?” ม้าที่ได้รับบาดเจ็บส่งเสียงร้องและวิ่งออกไปไกล ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าแม้ว่าหลิน ชูจิ่วจะพยายามซ่อนตัว นางก็จะถูกเหยียบครั้งหรือสองครั้ง ตราบใดที่นางได้รับบาดเจ็บจากเกือกม้า นางก็จะไม่สามารถหนีไปไหนได้ การฆ่านางจะง่ายมากขึ้น แต่… …
ม้าวิ่งออกไปไกลเกินกว่าสิบเมตรแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นหลิน ชูจิ่ว
“ เร็วเข้า เอาไฟมาแล้วออกไปตามหานาง ค้นดูว่านางไปอยู่ที่ไหน” แสงของมุกที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นมีจำกัด มันไม่สามารถส่องแสงออกไปถึงระยะไกลๆ ได้
นักฆ่าจุดประกายคบเพลิงขึ้นและเดินไปรอบ ๆ แต่พวกเขาก็ยังไม่พบหลิน ชูจิ่ว
“เสี่ยวหวางเฟยคงต้องกอดท้องม้าเอาไว้ แล้วซ่อนตัวอยู่ข้างใต้มัน”
ใช่เมื่อนักฆ่าเตรียมพร้อมที่จะทำร้ายม้า หลิน ชูจิ่วก็เครื่องไหวอย่างรวดเร็วและดึงเชือกรอบร่างของม้าเอาไว้ เธอโอบขาของเธอไปรอบ ๆ ท้องม้าแล้วซ่อนตัวอยู่ข้างใต้มัน
นักฆ่าไม่กล้าสนใจทหารคุ้มกันของตำหนักเสี่ยวหวางฟู่อีกต่อไป พวกมันรีบวิ่งไล่ตามม้าออกไปทันที เมื่อพวกทหารได้ยิน พวกเขาก็ไล่ตามหลังม้าและตะโกนขึ้น
“หวางเฟย ปีนขึ้นไปบนหลังม้า คว้าสายบังเหียนแล้วกลับไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่”ทหารคุ้มกันกังวลว่าหลิน ชูจิ่วอาจจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เขาจึงแนะนำขึ้น แต่……
พวกเขายังเตือนนักฆ่าอีกด้วย
“ ฆ่าม้าซะ!” ถ้าไม่มีม้า หลิน ชูจิ่ว ซึ่งเป็นผู้หญิงอ่อนแอยอมไม่สามารถไปที่อื่นได้
“ ช่างทำตัวราวกับหมูตัวหนึ่งจริงๆ!” หลิน ชูจิ่ว ยังคงกอดท้องม้าเอาไว้ ตอนนี้มือของเธอรู้สึกเมื่อยล้าและเจ็บ แต่เธอก็ยังคงพยายามปีนขึ้นไป เธอไม่หวังที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเธอได้ยินบทสนทนาระหว่างทหารคุ้มกันและมือสังหาร
เป็นเวลาครู่หนึ่งที่หลิน ชูจิ่วรู้สึกขมขื่น
เธอไม่ได้โง่อย่างที่ทหารคุ้มกันคิดและเธอก็ไม่ต้องการการเตือน เธอรู้ว่าต้องทำอย่างไร
คราวนี้นักฆ่าหยุดไล่ตาม หลิน ชูจิ่ว เขาขว้างดาบของเขาเข้าหานางแทน เมื่อเห็นเท้าของหลิน ชูจิ่ว อยู่ที่หลังม้าและร่างของนางก็แขวนอยู่ที่ด้านข้าง นักฆ่าจึงไม่ลังเลที่จะโยนดาบเข้าหานาง
ใบมีดพุ่งตรงไปที่หลิน ชูจิ่ว…
“สารเลว!” หลิน ชูจิ่วช่วยไม่ได้ที่จะสาปแช่งขึ้น เธอพยายามอย่างหนักที่จะปีนขึ้นม้า แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปล่อย
ใช่ หลิน ชูจิ่ว ไม่ต้องการปล่อยม้า แต่เธอก็ต้องคลายมือของเธอออกและผลักตัวเองออกไปจากม้า……
การหลบหนีในขณะขี่ม้าเป็นทางเลือกที่ดี แต่ถ้านั้นหมายถึงถ้าเธอมีโอกาส!
โดยไม่มีความลังเลใดๆ หลิน ชูจิ่ว ปล่อยมือของเธอ เธอหลับตาแล้วปล่อยให้ตัวเองตกลงไปบนพื้น……
ม้ายังคงวิ่งไปข้างหน้าแม้ความเร็วจะไม่เร็วมากนัก แต่ถ้าหากว่าเธอตกลงไปหลิน ชูจิ่วก็คงจะแขนหรือไม่ก็ขาหัก อย่างไรก็ตามโดยไม่คาดคิด … …
จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดพรวดผ่านร่างเธอไปทางด้านหลัง เมื่อเธอได้สติกลับมา เธอก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
เธอรอดแล้วหรือ!
หลิน ชูจิ่ว ลืมตาขึ้นและเห็นร่างของเสี่ยวเทียนเหยา “ หวางเย่? ท่าน..ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” จริง ๆ แล้วมันก็คือเสี่ยวเทียนเหยา… มันไม่น่าเชื่อจริงๆ
“ นอกเหนือจากเปิ่นหวางแล้ว จะเป็นใครไปได้อีก?” เสี่ยวเทียนเหยาอุ้มหลิน ชูจิ่วและเตะดาบที่อยู่บนพื้น ดาบนั้นลอยขึ้นมาแล้วก็ตกลงมาบนมือของเขา จากนั้นเขาก็โยนมันไปข้างหลังของเขา ก่อนจะได้ยินเสียงร้องของนักฆ่าที่กำลังจะตาย และเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างช่วยไม่ได้