ตอนที่ 738 ค่ำคืนเงียบสงัดไฟสลัว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 738 ค่ำคืนเงียบสงัดไฟสลัว

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางข้ามผ่านสะพานผิงเฉียว และกลับไปถึงลานด้านหลังของสำนักงานเขตได้อย่างราบรื่น…

แต่ทว่าเขามองเห็นโคมไฟดวงหนึ่ง และมองเห็นคนผู้หนึ่งถูกมัดเอาไว้ที่เสาต้นนั้น !

เขามองไปรอบ ๆ มิเห็นหนิงซือเหยียนหรือจัวตงหลาย นั่นหมายความว่าทั้งสองคนมิได้จับตัวบุคคลปริศนานี้มา

แล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกัน ?

อีกทั้งคนผู้นี้เป็นผู้ใดเล่า ?

ซือหม่าเช่อขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อมองดู “จางจ้ง หลานชายของจางผิงจวี่…เขามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของจางจ้ง อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นมา…

“อ๊าก… ! ”

อยู่ ๆ จางจ้งก็ร้องขึ้นมาเสียงดัง จนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจจนสะดุ้งโหยง

“เจ้า เจ้า ข้า…”

จางจ้งที่เพิ่งได้สติกลับคืนมานั้น เขามิรู้จักฟู่เสี่ยวกวนแต่ทว่าเขารู้จักซือหม่าเช่อดี !

เช่นนั้นบุรุษที่อยู่ข้างกายของซือหม่าเช่อก็น่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิตาย ใช่ ! จี้หยุนกุย ตาเฒ่าจี้หยุนกุยทำร้ายข้า !

สายตาของเขาเหลือบมองไปรอบ ๆ แต่ทว่ากลับมิเห็นจี้หยุนกุยอยู่ที่นี่ด้วย ฟู่เสี่ยวกวนโน้มกายเข้ามา แล้วเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ดึกดื่นเช่นนี้เจ้าถูกลักพาตัวมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หา ! อ่า…ใช่ขอรับใต้เท้า ข้าน้อยเดินทางเมื่อยามค่ำ จากนั้นก็ได้พบเข้ากับกลุ่มโจรจึงถูกพวกมันทำให้สลบ แต่ก็มิรู้เช่นกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรขอรับ”

“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“ข้าน้อยแซ่จาง นามว่าจ้งขอรับ”

“เจ้าพอจะบรรยายรูปพรรณสัณฐานของโจรเหล่านั้นได้หรือไม่ ? ”

จางจ้งตกตะลึงงัน จะให้บรรยายรูปพรรณสัณฐานของจี้หยุนกุยออกมาได้เยี่ยงไรเล่า หากจี้หยุนกุยถูกจับ เรื่องที่จะลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนจะมิถูกเปิดเผยออกมาด้วยหรือ ?

“เรียนใต้เท้า เนื่องจากค่อนข้างมืด ข้าน้อยจึงเห็นโจรเหล่านั้นมิชัดนักขอรับ”

สวี่ซินเหยียนขมวดคิ้วพลางทำหน้ามุ่ย “เจ้ากล่าวเท็จ ! บนหลังของเจ้าสะพายกระบี่เอาไว้ ย่อมหมายความว่าเจ้ามีวรยุทธเพียงแต่ถูกทำลายไปแล้วก็เท่านั้น”

เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดใจมากยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนยืดกายขึ้น หากฟังจากที่ซือหม่าเช่อเล่ามาก่อนหน้านี้ พบว่าเดิมทีจางผิงจวี่หาวิธีการมากมายมาขัดขวางมิให้ตระกูลซือหม่าได้ที่ดินบริเวณหงเย่จี๋ไป แต่ในค่ำคืนนี้เขาช่างดูใจกว้างเสียเหลือเกิน

เรื่องราวผิดแปลกไปจากที่ควร จางผิงจวี่กำลังคิดทำอันใดอยู่กันแน่ ?

หลานชายของเขาผู้นี้ ถูกผู้ใดทำร้ายและมัดไว้ที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนทำหน้าเคร่งขรึมแล้วก้มตัวลงไปอีกครา เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าอกเสื้อของจางจ้ง เมื่อควานหาจนทั่วจึงได้พบกับจดหมายที่จี้หยุนกุยทิ้งเอาไว้

จางจ้งตกตะลึงงันและงุนงงเป็นไก่ตาแตก บนตัวข้านอกจากเงินจำนวนมิกี่สิบตำลึงก็มิมีสิ่งอื่นใดแล้วนี่ แต่ทว่าจดหมายนี่มาจากที่ใดกัน ?

“ใต้เท้าขอรับ โจรผู้นั้นต้องการใส่ร้ายข้าน้อย ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้ม “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่านี่คือการใส่ร้าย ? ”

คำเอ่ยนี้ทำให้จางจ้งชะงักงัน แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้สนใจเขาต่ออีก รีบเปิดจดหมายฉบับนั้นอ่านทันทีจากนั้นสีหน้าของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงเสียจนต้องอ้าปากค้าง

‘ข้าจากไปอย่างเงียบ ๆ เฉกเช่นที่ข้ามาเยือนอย่างเงียบ ๆ

หญ้าเขียวชอุ่มบนดินนุ่ม ใบเงาวับเคล้าเคลียใต้ท้องน้ำ

ในเกลียวคลื่นละมุนแห่งแม่น้ำคัง

ข้ายอมเป็นพืชน้ำจะดีกว่า

สวัสดี คุณชาย !

จากหลินเจียงมายังจินหลิง จากจินหลิงมายังว่อเฟิงเต้า คุณชายเติบโตเยี่ยงที่คุณหนูเคยกล่าวเอาไว้จริง ๆ ข้าชื่นชมคุณชายมากยิ่งนัก แต่ก็น่าเสียดายที่ข้ามิสามารถอยู่เคียงข้างคุณชายได้ จึงมิสามารถร่วมยินดีกับการเติบโตของคุณชายได้แม้แต่น้อย

บัดนี้จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ได้มองคุณชายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดไปเสียแล้ว ส่วนทหารดาบสวรรค์ของชาวฮวงก็ได้ก่อตั้งเป็นกองทัพขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังสามารถผลิตปืนคาบศิลาขึ้นมาได้ถึง 3,000 กระบอกแล้วด้วย ชาวฮวงตั้งใจเดินทางลงมาทางใต้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ได้ยินมาว่าคุณชายเองก็ตั้งใจจะเข้าโจมตีชาวฮวงในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน เดิมทีข้าคิดว่าคุณชายจะมิสนใจเสียอีก

ข้าต้องไปแล้ว ขอคุณชายอย่าได้เอ่ยถามถึง เพราะข้าจะไปตามหาสหายเก่าและเรื่องราวในอดีต แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้พบกันอีกคราอย่างแน่นอน

ขอคุณชายจงรักษาสุขภาพของตนเองให้ดี ! ’

ฟู่เสี่ยวกวนอ่านจดหมายฉบับนี้ซ้ำไปซ้ำมาถึง 3 ครา !

ระหว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ส่วนริมฝีปากก็เม้มแน่น

ผู้ที่ทิ้งจดหมายฉบับนี้เอาไว้เรียกข้าว่าคุณชาย อีกทั้งประโยคที่ว่าข้าได้เติบโตเยี่ยงที่คุณหนูเคยกล่าวเอาไว้… คาดว่าคุณหนูที่เขาเอ่ยถึงคงเป็นสวี่หยุนชิงมารดาของข้า แต่ท่านแม่ก็ได้จากไปตั้งแต่ปีไท่เหอที่ห้าสิบแล้ว นางจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าจะเติบโตมาเป็นแบบใด ?

คนผู้นี้คาดว่าเป็นบ่าวรับใช้ของท่านแม่ แต่ในที่นี้ได้ใช้คำแทนว่า ‘ข้า’ ซึ่งอาจจะเป็นสหายของมารดาก็เป็นได้

อีกฝ่ายรู้จักบทกวีอำลาเคมบริดจ์หรือว่ากวีบทนี้… ท่านแม่เป็นคนทิ้งเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อคิดได้ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกมิได้ ท่านแม่ก็ทะลุมิติมาเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิน่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าหากท่านแม่ทะลุมิติมาจริง นางจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าบุตรชายจะเติบโตขึ้นมาเป็นแบบใด ?

เช่นนั้นถ้านางมิได้ทะลุมิติมา แล้วนางจะรู้จักกวีบทนี้ได้เยี่ยงไร ?

คนผู้นี้กล่าวว่าจะไปตามหาร่องรอยเก่า ๆ จะเกี่ยวข้องกับสวี่หยุนชิงหรือไม่ ?

สวี่หยุนชิงถูกจักรพรรดินีเซียวแห่งราชวงศ์อู๋วางยาพิษจนสิ้นใจ…หรือเรื่องนี้ยังมีความลับใดซ่อนอยู่อีกกัน ?

คำถามมากมายผุดขึ้นมาในสมองของฟู่เสี่ยวกวน เสมือนต้นหญ้าในฤดูใบไม้ผลิที่แตกยอดอ่อนอย่างบ้าคลั่ง

เขาถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็พับจดหมายเก็บใส่อกเสื้อของตนเอง เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่มืดมิดแล้วพึมพำเบา ๆ ว่า “เจ้า…เจ้าเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ? ”

สวี่ซินเหยียนและซือหม่าเช่อจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ทว่าจางจ้งยังคงหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ

“ข้าน้อย ข้าน้อยสมควรตาย…”

“หุบปาก ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตะคอก “นำตัวมันไปขังคุกแล้วสอบสวนให้ดี…”

“อ่า… จงรีบส่งคนไปยังชิงโจวเพื่อระดมกำลังทหารเข้าจับกุมตัวทุกคนในตระกูลจาง ! ”

ซือหม่าเช่อตกตะลึงงัน แต่ก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหนิงซือเหยียนและจัวตงหลายก็กลับเข้ามา ในมือของแต่ละคนได้พาคนผู้หนึ่งมาด้วย

ในมือของหนิงซือเหยียนคือจางผิงจวี่ ส่วนในมือจัวตงหลายคือหลานชายคนโตจางชิงหยาง

สีหน้าของจางชิงหยางตกอยู่ในความงงงวย ส่วนสีหน้าของจางผิงจวี่นั้นดูสิ้นหวังยิ่ง

เมื่อทั้งสองได้พบกับจางจ้งก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงเสียแล้ว ตระกูลจาง…เกรงว่าจะมิสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไปแล้ว

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีอารมณ์มาไต่ถามเรื่องราวเหล่านี้ เขาเพียงจ้องมองไปที่ร่างของจางผิงจวี่ด้วยสายตาเยือกเย็น ทำให้จางผิงจวี่รู้สึกราวกับตกอยู่ในฤดูหนาวอันแสนยาวนาน

……

……

ราตรีที่มืดมิด ในลานนี้จึงเงียบสงบลงอีกครา

แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิอาจข่มตาหลับลงได้ เขายังคงนั่งอยู่ที่ลานกว้างนี้ โดยมีสวี่ซินเหยียนและซือหม่าเช่อนั่งเป็นเพื่อนเงียบ ๆ

หนิงซือเหยียนและจัวตงหลายถูกฟู่เสี่ยวกวนไล่กลับไปที่ห้อง พวกเขาทั้งสองคนจึงรู้สึกงุนงงมากยิ่งนัก

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จัวตงหลายเอ่ยถาม

“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่า”

“…ไฟที่ลานมอดดับลงแล้ว”

“อย่าคิดมากเลย นอนเสียเถิด วันรุ่งขึ้น สุริยาก็ยังขึ้นในทิศเดิมเสมอ”

“อืม…กล่าวมีเหตุผล ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนดับโคมไฟในลาน ดูเหมือนเขาจะมิต้องการคิดถึงเรื่องปวดหัวเหล่านี้อีกแล้ว

เขาจับมือสวี่ซินเหยียนและซือหม่าเช่อจากนั้นก็ดึงพวกนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “ไปกันเถิด พวกเราก็เข้านอนกันได้แล้ว”

สวี่ซินเหยียนและซือหม่าเช่อใจเต้นโครมคราม ความมืดมิดบดบังใบหน้าแดงก่ำของพวกนาง จากนั้นทั้งสามคนก็เดินตรงเข้าไปในห้องนอน

ค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงัดราวกับสายน้ำนิ่ง

ในห้องมีเทียนหนึ่งเล่มที่ถูกจุด บังเกิดแสงสลัวขึ้นมา

ภายใต้เเสงเทียน ม่านพลิ้วไหวไปตามแรงลม อีกทั้งยังมีฝนตกโปรยปรายกอปรกับเสียงครวญครางแผ่วเบา มนต์เสน่ห์ร้อนแรง…กระทั่งเทียนเล่มนั้นดับลง

ข้างนอกหน้าต่างจึงเริ่มมีแสงสว่างพร้อมกับเสียงไก่ขันดังขึ้นมา