ตอนที่ 739 เผยโฉมใหม่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 739 เผยโฉมใหม่

“คุณหนู…”

ใบหน้าของเสี่ยวซิงเอ๋อร์เขียวคล้ำไปทั้งหน้า

สองมือของนางจับชายเสื้อเอาไว้แน่นด้วยความประหม่า พร้อมกับจ้องมองคุณหนูที่กำลังนั่งตัดรอยสีแดงบนผ้าปูที่นอนออกอย่างพิถีพิถัน นางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่… ผ้าปูที่นอนมีรูเช่นนี้ มันคือสถานการณ์อันใดกันเล่า ?

“อือ”

“19 ปี…หายไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”

ใบหน้าของซือหม่าเช่อดูอิ่มเอม นางเก็บผ้าที่เปื้อนรอยแดงนั้นเอาไว้อย่างบรรจง “เจ้าอยากให้ข้าผู้นี้กลายเป็นหญิงชราขึ้นคานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“แต่ว่า แต่ว่า… มันจะเป็นการทำตามใจตนเองเกินไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ? ”

คุณหนูใหญ่ของตระกูลซือหม่าเชียวนะ บุรุษไร้ยางอายผู้นั้น มิใช่ว่าควรตบแต่งคุณหนูใหญ่เข้าตระกูลอย่างเอิกเกริกก่อนเยี่ยงนั้นหรือ ?

พวกเขา… พวกเขาได้ร่วมกันกระทำเรื่องที่สำคัญที่สุดของมนุษย์อย่างเงียบ ๆ กันแล้วหรือ… เสี่ยวซิงเอ๋อร์ยากที่จะเข้าใจและมิสามารถรับได้

ซือหม่าเช่อหัวเราะน้อย ๆ ภายในเวลาชั่วข้ามคืนนางได้เปลี่ยนจากเด็กสาวกลายมาเป็นหญิงสาวเสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงของเขาอีกด้วย

นางมิได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นเสียด้วยซ้ำ

“รอให้เจ้าโตขึ้น รอให้เจ้าได้พบกับชายที่ชอบ เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าพิธีการก็เป็นเพียงแค่พิธีการเท่านั้น”

เสี่ยวซิงเอ๋อร์ชะงักงันอยู่เนิ่นนาน นางมิสามารถเข้าใจได้ จากนั้นจึงชี้ไปยังรูที่อยู่บนผ้าปูที่นอน “นี่… นี่คือเรื่องอันใดกันเจ้าคะ ? ”

ซือหม่าเช่อเหลือบสายตามองนาง “เด็กสาวที่ยังมิเข้าใจก็อย่าได้เอ่ยถาม ! ”

มิเข้าใจก็มิใช่ว่าต้องถามหรอกหรือเจ้าคะ ?

เสี่ยวซิงเอ๋อร์รู้สึกมิเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ได้ยินซือหม่าเช่อเอ่ยขึ้นมาว่า “ไปเตรียมน้ำร้อนเถิด ข้าจะอาบน้ำแล้ว”

……

……

สวี่ซินเหยียนกำลังถูหลังให้กับฟู่เสี่ยวกวน

นางถูอย่างตั้งใจ น้ำหนักมือกำลังพอดีส่งผลให้ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ในถังไม้รู้สึกสบายมากยิ่งนัก

ใบหน้าของสวี่ซินเหยียนสุกปลั่งราวกับดอกท้อ แต่ทว่าภายในใจของนางกลับสงบสุขอย่างไร้ที่เปรียบ

นางถูกครอบครัวทอดทิ้งตั้งแต่อายุ 5 ปี ในที่สุดวันนี้นางก็มีบ้านอีกหนึ่งหลัง

บุรุษในบ้านหลังนี้ช่างแข็งแกร่งมากยิ่งนัก เขามีความรับผิดชอบและมิว่าในอนาคตเขาจะเจอกับพายุที่โหมกระหน่ำมากเพียงใด แต่เขาย่อมมิทอดทิ้งบ้านไปอย่างแน่นอน

เขาสามารถค้ำจุนบ้านหลังนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถเป็นที่กำบังลมฝนให้แก่ทุกคนภายในบ้านหลังนี้ได้อีกด้วย

ท่านอาจารย์…ขอบพระคุณในคำอวยพรของท่าน ที่ทำให้ข้าได้พบกับเขา และจากนี้สืบไปข้าจะมิใช่คนร่อนเร่อีกต่อไปแล้ว

ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อนข้างปลงอนิจจัง เขามาถึงโลกนี้ได้เกือบ 3 ปีแล้ว คนข้างกายก็มีเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ดังนั้นน้ำในชามนี้ต้องราบเรียบมิสามารถเอนเอียงได้

พวกนางล้วนเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจของเขา และยังเป็นแรงผลักดันให้เขาได้พยายามอย่างมิลดละอีกด้วย

ความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับไปในอดีตนั้นมิเหลือแล้ว แม้แต่จะกลับไปเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน ณ หลินเจียงก็มิมีอีกต่อไปแล้ว

ราวกับโชคชะตากำลังผลักดันให้เขาทิ้งร่องรอยเอาไว้ในโลกนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ยังมีอีกมากมายหลายสิ่งที่ต้องกระทำ

เพื่อเหล่าภรรยาและบุตรที่อยู่ข้างกาย เพื่อชายอ้วนผู้นั้นรวมถึงแม่เลี้ยงทั้งหลาย

เมื่อหวนนึกถึงบิดาอ้วนก็นึกไปถึงท่านอาจารย์ที่บัดนี้ก็ยังมิเคยพบหน้ากันมาก่อน นึกไปถึงวัดฟูจื่อและทรัพย์สมบัติใต้วัดนั้น นึกไปถึงสวี่หยุนชิงอีกทั้งยังมีบุคคลลึกลับที่ทิ้งจดหมายไว้เมื่อคืนวาน

แต่เยี่ยงไรเสียคนเหล่านี้ก็มิใช่ศัตรู

พวกเขาคอยจับตาดูอย่างเงียบ ๆ เพื่อช่วยเหลือเขา แม้แต่ในภวังค์บางคราเขายังสัมผัสได้ถึงมารดาผู้ลึกลับคนนั้นได้อีกด้วย ราวกับว่านางกำลังแอบดูเขาอยู่เช่นกัน

ใช่ ! และยังมีจักรพรรดิเหวินพระบิดาที่ถูกหิมะฝังกลบเอาไว้ใต้ภูเขาหิมะนั่นอีก… พระองค์สามารถวางพระทัยได้ เพราะราชวงศ์อู๋จะต้องงดงามมากขึ้นกว่าเดิม !

พายุฝนในฤดูใบไม้ร่วงทำให้มนุษย์เศร้าสร้อย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนที่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำไม่เพียงแต่ไร้ท่าทีกังวลใจเท่านั้น ตรงกันข้ามเขายังมีจิตใจที่เร่าร้อนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

หลังจากผ่านการบำรุงกำลังเมื่อคืนนี้แล้ว ก็ราวกับว่าเขาได้เผยโฉมใหม่ของตนออกมา

ความเหนื่อยล้าในร่างกายได้มลายหายไปจนสิ้น เขาจึงปรากฏตัวต่อหน้าหนิงซือเหยียนและจัวตงหลายด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

“เหมือนว่าข้าต้องหาหญิงสาวบ้างสักคนแล้วล่ะ” หนิงซือเหยียนเหยียดยิ้ม

“รอให้กลับไปยังราชวงศ์อู๋ เจ้าก็จงไปที่ทะเลสาบสือหลี่อีกครา เพื่อดูว่าหานลู่แต่งงานกับผู้ใดไปแล้วหรือยัง”

“หากนางยังมิแต่งงาน ข้าจะมิขโมยไก่นางแล้ว แต่ข้าจะขโมยคนมาแทน ! ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

จัวตงหลายมิเข้าใจ เนื่องจากความฝันในวัยหนุ่มของเขาถูกฟู่เสี่ยวกวนพังทลายลงตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเมืองกวนหยุนแล้ว อู๋หลิงเอ๋อร์ที่เขาแอบรักมาโดยตลอดก็กลายเป็นภรรยาของคนผู้นี้ไปแล้ว ทั้งยังมีบุตรชายด้วยกันอีก 1 คน ในตอนนี้สามารถเรียกท่านพ่อได้แล้ว… แล้วเขายังสามารถคิดอันใดได้อยู่อีกหรือ ?

ในภายภาคหน้าเมื่ออีกฝ่ายกลับไปครองบัลลังก์ ณ ราชวงศ์อู๋ ตนย่อมต้องเป็นขุนนางให้กับเขา แล้วตนจะยังคิดอันได้อีกกัน ?

มีเพียงแค่ลืมเท่านั้น !

หรือไม่ก็… หาผู้ใดสักคนมาทดแทน

……

……

สองสามวันถัดมาฟู่เสี่ยวกวนก็ยังอยู่ที่หนิงซาน

คดีลอบสังหารเต้าถายโดยเจตนาของจางผิงจวี่ก็ได้จบลงไปแล้วในวันนี้

ทหารของจวนโจวนำทุกคนในเรือนใหญ่ตระกูลจางทั้งหมดไปคุมขังไว้ในเรือนจำ ส่วนจางผิงจวี่และหลานชายจางจ้งได้ถูกผู้พิพากษาทรมานจนอยู่มิสู้ตาย…

เหยียนซีไป๋อยู่ในระหว่างเดินทางกลับจินหลิงเพื่อไปขายหุ้น และในระหว่างเดินทางก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในชิงโจว !

หากติ้งอันป๋อสิ้นชีพที่ชิงโจวจริง ๆ เกรงว่าขุนนางน้อยใหญ่ในชิงโจวคงได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส

ตาเฒ่าจางผิงจวี่คาดว่าคงจะเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว !

ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ดังนั้นคำพิพากษาของคนตระกูลจางจึงถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งว่อเฟิงเต้า

บัดนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี ตระกูลจางจำนวน 1,126 คนถูกตัดศีรษะจนหมดสิ้น !

เครือญาติตระกูลจางอีก 100,000 คนพลอยโดนหางเลขไปด้วย เดิมทีสมควรถูกเนรเทศ แต่ทว่าในตอนนี้คำพิพากษาคือให้ไปเป็นแรงงานสร้างถนนทั้งหมด !

จางเพ่ยเอ๋อร์อยู่ที่เมืองว่อเฟิงและกำลังดูแลร้านที่เมืองนี้อยู่

ร้านค้าทั้งห้าภายในตรอกจิ่วหยู่ล้วนถูกนางกว้านซื้อไปทั้งหมดแล้ว ในวันนี้สินค้าจากทั้งสิบสามมณฑลก็มีวางจำหน่ายแล้วที่นี่แล้วเช่นกัน อีกทั้งยังขายดีมากอีกด้วย

แน่นอนว่านางมิเคยปรากฏตัว เพราะนางได้จ้างหลงจู๊มาดูแลกิจการแทนนาง หลงจู๊คนนี้จังชีเยวี่ยเป็นผู้แนะนำให้กับนางด้วยตนเอง

ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยไว้ว่าเขาจะสร้างโรงงานกลั่นสุราที่เมืองว่อเฟิง ไหนจะเรื่องของสำนักศึกษาการแพทย์ แต่ยังมิได้ดำเนินการ ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนความตั้งใจไปเสียแล้ว

ในยามนี้นางกำลังนั่งสนทนาอยู่กับจังชีเยวี่ยที่ลานบ้าน จึงเพิ่งได้ทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนเกือบถูกสังหารที่หนิงซาน

“หากรู้แต่เนิ่น ๆ ข้าก็คงจะตามไปแล้ว”

“ติ้งอันป๋อเป็นผู้มีวาสนาและโชคชะตายิ่งใหญ่ เขามีเทพเจ้าคอยอำนวยพรจึงมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ทว่าตระกูลจางนั้น… คงไร้อนาคตอย่างแท้จริงแล้ว”

จังชีเยวี่ยค่อนข้างปลงอนิจจัง ในยามที่ข่าวนี้แพร่มาถึงเมืองว่อเฟิง บิดาของนางเองก็นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานและเอ่ยอย่างเชื่องช้าออกมาว่า “เฉียวลิ่วเยเสียชีวิตแล้ว ตระกูลจางก็ล่มสลายแล้ว จากนี้ว่อเฟิงเต้า…จะได้มีสภาพอากาศที่ปลอดโปร่งเสียที”

นางเข้าใจความหมายในคำเอ่ยของบิดาดี และการตายของผู้นำตระกูลเฉียวในวันนี้ก็ไร้หนทางจะสืบสวน ท้ายที่สุดแล้วจึงกลายเป็นคดีที่ปิดมิได้

ไหนจะข่าวที่ตระกูลจางประสงค์ร้ายต่อติ้งอันป๋อ ทั้งสองเหตุการณ์ล้วนเชื่อมโยงกัน การตายของเฉียวลิ่วเยย่อมเกี่ยวข้องกับติ้งอันป๋ออย่างแน่นอน

ขุนนางของเมืองว่อเฟิงมิได้ตามสืบสวนครอบครัวของเฉียวลิ่วเยแต่อย่างใด บางทีนี่อาจจะเป็นเคราะห์ดีของพวกเขาแล้วก็ได้

“ได้ยินมาว่าพี่สาวจะออกเดินทางไปจินหลิงเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”

“อืม… จะออกเดินทางวันพรุ่งนี้ เพื่อไปรวมตัวกับเขาที่หนิงซาน”

“ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าก็จะไปจากเมืองว่อเฟิงเช่นกัน”

จางเพ่ยเอ๋อร์ชะงักงันเล็กน้อย “ไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

จังชีเยวี่ยยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าหมั้นหมายกับเฉาเฟิงแล้ว พวกเราวางแผนไว้ว่าจะแต่งงานกันในเดือนสิบสอง หลังจากนั้น… เฉาเฟิงกล่าวว่าในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าพวกเราจะไปยังราชวงศ์อู๋”

“ไปทำอันใดที่ราชวงศ์อู๋เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เขาเอ่ยว่า… ไปตามหาอนาคตที่สดใสยิ่งกว่าเดิม ! ”