ตอนที่ 740 พบเจออีกคราก็ยังรัก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 740 พบเจออีกคราก็ยังรัก

สายฝนในช่วงต้นฤดูหนาว ณ เมืองจินหลิงช่างหนาวเหน็บยิ่ง

ท่ามกลางฝนที่โปรยปรายและหนาวเหน็บนี้ หากสามารถซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและต้มสุราดื่มสักกาก็คงจะทำให้มีความสุขมิน้อย แต่หากสามารถนั่งอยู่ในเรือสำราญที่มีสตรีงดงามดื่มสุราเป็นเพื่อนได้ก็คงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก

ณ แม่น้ำฉินหวายยังคงมีเรือสำราญมากมายล่องอยู่เหนือผิวน้ำดังเดิม ในเรือสำราญเหล่านั้นยังคงเต็มไปด้วยชนชั้นสูงของเมืองจินหลิง วันที่มีฝนโปรยปรายเช่นนี้หากได้เชิญชวนสหายสักสี่ห้าคนมานั่งล้อมวงสนทนาแล้วชื่นชมการเเสดงพร้อมดื่มสุราไปด้วยก็คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด

แต่ทว่าบรรยากาศแสนครึกครื้นเช่นนี้อาจจะปรากฏให้เห็นในเรือสำราญลำอื่น แต่มิใช่ที่หงซิ่วจาวอย่างแน่นอน

นับตั้งแต่วันที่หงซิ่วจาวแห่งแม่น้ำฉินหวายถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จวบจนบัดนี้ก็ยังมิมีการเปิดรับแขกเลยสักครา

อาจารย์หูฉินมิได้ปรุงสุราขึ้นมาอีก ดังนั้นสุราเทียนเซียงจึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่า

บัดนี้ในเรือเหลือเพียงนางแค่คนเดียว แม้แต่หลิ่วเยียนเอ๋อร์ที่เป็นนักขับร้องผู้เปี่ยมชื่อเสียงของหงซิ่วจาว ก็มิรู้ว่าถูกอาจารย์หูขับไล่ไปตั้งแต่เมื่อใด

ดูเหมือนอาจารย์หูจะเหนื่อยและอ่อนล้ายิ่งนัก

นางไร้อารมณ์ขับร้องหรือประพันธ์บทเพลงอีกต่อไปราวกับย่างเข้าสู่วัยชราอย่างไรอย่างนั้น ในแต่ละวันนางจะนั่งอยู่ที่หัวเรือบนชั้นสองเพียงลำพัง บ้างก็ต้มชาดื่ม บางวันก็ต้มสุรา แน่นอนว่าสุรานั้นคือซีชานเทียนฉุนจากนั้นก็หาถั่วลิสงมาหนึ่งจานเพื่อทานเป็นกับแกล้ม ทานไปพลางดื่มไปและทอดสายตามองวัดฟูจื่อไปด้วยพร้อม ๆ กัน

หลุมที่เกิดจากการระเบิดนั้น ยังมิทันได้ถมให้เต็ม วัดฟูจื่อที่บัดนี้ไร้ผู้ใดคอยดูแล สถานที่แห่งนี้นางมีอดีตอันน่าจดจำอยู่มากมาย

ราตรีนี้ในเมืองจินหลิงมีฝนตกโปรยปราย

โคมไฟบนหงซิ่วจาวยังคงส่องสว่าง แต่ทว่ามองดูแล้วช่างโดดเดี่ยวมากยิ่งนัก คล้ายกับกำลังรอใครบางคนหวนกลับคืน

หูฉินย้ายไปนั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของชั้นสอง ด้านหน้าของนางมีฉินวางอยู่ 1 ตัว

นางเหม่อมองฉินตัวนี้เนิ่นนานทีเดียว นางมิได้ลงมือแตะต้องมัน เสียงฉินจึงมิได้ดังขึ้นแต่อย่างใด จากนั้นตัวนางก็ลุกขึ้นเดินจากไป

นางย้ายไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็จุดเตาขึ้นมาเพื่อต้มสุรา ระหว่างรอก็หันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปด้วย

ด้านนอกหน้าต่างคือแม่น้ำฉินหวายอันกว้างใหญ่ มีเรือสำราญมากมายลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และบนเรือสำราญเหล่านั้นก็ยังคงมีเสียงเพลงล่องลอยออกมา

เสียงแผ่วเบาโชยมา บางคราก็ถูกเสียงของสายลมพัดพาให้หายไปจากนั้นก็กลับมาได้ยินอีกครา… สตรีเหล่านั้นล้วนร้องบรรเลงเพลงกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมา

นางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จากนั้นก็นึกถึงฟู่เสี่ยวกวน บนใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

ทันใดนั้นเองนางก็หันศีรษะไปทางม่านประตู

ม่านนั้นค่อย ๆ เปิดออก เป็นชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีเขียวเดินเข้ามา 1 คน

เขามิได้สวมชุดคลุมขนสัตว์หรือแม้แต่หมวก ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยน้ำฝนแรกแห่งฤดูหนาว

ดวงตาของอาจารย์หูฉินเบิกโพลง ใบหน้าที่เคยเเข็งทื่อมิแสดงอารามใดออกมา แต่ทันทีที่ได้เห็นชายผู้นี้ก็บังเกิดท่าทางดีอกดีใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด !

นางลุกขึ้นยืนแต่มิได้เดินตรงเข้าไป ส่วนบุรุษผู้นั้นเดินตรงเข้ามาหานางอย่างแผ่วเบา

“จากกันครานั้นก็ผ่านไปเกือบยี่สิบปีแล้ว เจ้าสบายดีหรือไม่ ? ”

“18 ปี 4 เดือนกับอีก 12 วันต่างหากเล่า ! ”

บุรุษผู้นั้นตกตะลึงงัน ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา “ความจำของเจ้ายังดีเหมือนเดิมเลยนี่”

“จี้หยุนกุย ในเมื่อตอนนั้นเจ้าตัดสินใจจะจากไปแล้ว เหตุใดบัดนี้จึงกลับมาอีกล่ะ ? ”

บุรุษผู้นี้คือจี้หยุนกุย !

เขารีบเดินทางมาจากหนิงซานแห่งว่อเฟิงเต้า

“…พอดีว่าข้าผ่านมาทางแม่น้ำฉินหวายแล้วบังเอิญพบว่าโคมไฟบนหงซิ่วจาวยังคงส่องสว่าง ข้าจึงอยากมาเยี่ยมเจ้าก็เท่านั้น”

อาจารย์หูฉินชะงักงัน “มาเยี่ยมเท่านั้นหรือ ? ”

“…”

“แต่ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วนี่ นั่งลงก่อนเถิด ข้าจะเลี้ยงสุราซีชานเทียนฉุนที่ฟู่เสี่ยวกวนปรุงขึ้นมาแก่เจ้าสักจอก”

จี้หยุนกุยนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหูฉิน นางรินสุราจนเต็มจอกสองจอก แต่ทว่ามิได้เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด แน่นอนว่านางยื่นจอกสุราให้กับอีกฝ่ายโดยมิเอ่ยคำใดเช่นกัน

เนื่องจากเขาเพียงมาเยี่ยมเท่านั้น

วันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผิวหนังก็เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา เมื่อครานั้น… ตอนที่นางยังมีรูปร่างงดงามก็ยังมิสามารถรั้งเขาเอาไว้ได้เลย บัดนี้นางอายุมากแล้ว เมื่อเขาได้เห็นย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา

แต่ทว่าสายตาของจี้หยุนกุยยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของหูฉิน อยู่ ๆ เขาก็ยิ้มพร้อมกับยกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกในคราเดียว

“สุรายิ่งหมักยิ่งหอม คนเรายิ่งอายุมากขึ้นจิตใจก็จะยิ่งงดงามมากขึ้นไปอีก…ในใจของข้านั้นยังเห็นว่าเจ้ามิเปลี่ยนแปลง มิว่าจะเมื่อสิบแปดปีก่อนหรือว่าบัดนี้”

“ปากของเจ้าใช้หลอกลวงผู้คนมานักต่อนัก ! ”

“แต่ข้ามิเคยหลอกเจ้า ! ”

หูฉินนิ่งเงียบไปอีกครา นางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ละอองฝนโชยมาทำให้ปอยผมของนางเปียกปอน อีกทั้งยังทำให้หัวใจของนางถูกน้ำท่วมไปด้วย

เรื่องราวในอดีตก็เปรียบดั่งความฝัน แม้นางอยากจะลืมมากเพียงใด แต่ทว่าหัวใจกลับมิเคยลืมเลือนไปเลยสักวัน

“หลายปีมานี้เจ้าสบายดีหรือไม่ ? ” หูฉินเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

“ก็ดี… คุณชายเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นเยี่ยงที่คุณหนูเอ่ยไว้มิมีผิด”

หูฉินหันหน้ากลับมามองจี้หยุนกุย “ข้าจำได้ว่าในตอนนั้น คุณหนูเอ่ยว่า…เรื่องของคุณชายเจ้ามิจำเป็นต้องดูแล”

“แต่ถึงเยี่ยงไร ข้าก็มิสามารถวางใจได้”

“เจ้าจึงคอยมองดูอยู่ห่าง ๆ สินะ เช่นนั้นข้าขอเอ่ยถามเจ้าสักหน่อยว่าเหตุการณ์หิมะถล่มที่เมืองกวนหยุนเมื่อครานั้นเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร ? ”

จี้หยุนกุยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “ข้าคิดว่าประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดการเปลี่ยนเเปลง”

“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ”

หูฉินจ้องมองจี้หยุนกุยด้วยท่าทางตกตะลึงงัน “เจ้าหมายความว่า…เดิมทีมิควรเกิดเหตุการณ์หิมะถล่มเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีคนตั้งใจทำให้หิมะถล่มเพื่อให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนเเปลง”

“…”

“ข้าสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง”

หูฉินเลิกคิ้วด้วยความอยากรู้ “เรื่องอันใดกัน… ? ”

“เช่นว่า… คุณหนูได้เรียนรู้วิชากัศยปแสร้งตาย และนางก็ได้สอนวิชานี้ให้แก่จักรพรรดิเหวินด้วยเช่นกัน ! ”

“……”

ค่ำคืนนี้ หงซิ่วจาวเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นอีกครา

หงซิ่วจาวที่ล่องลอยอยู่บนแม่น้ำฉินหวายมากว่ายี่สิบปีก็ได้สิ้นสุดลงนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

อาจารย์หูฉินผู้เลื่องชื่อแห่งแม่น้ำฉินหวายข้าได้ยินมาว่านางถูกเผาไปพร้อมกับทะเลเพลิงและแม้แต่ศพก็หามิพบ

ห้าวันผ่านไปในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสิบสอง วันที่สิบ เมืองจินหลิงได้บังเกิดหิมะตกลงมาเป็นคราแรกของปี

ค่ำคืนนี้ สวี่เช่ากวง หัวหน้าตระกูลสวี่บิดาของสวี่หยุนชิงก็ได้นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับส่งเสียงร้องหาแต่สวี่หยุนชิงก่อนจะสิ้นลม

เขาได้ทิ้งสมบัติชิ้นหนึ่งเอาไว้ให้ฟู่เสี่ยวกวน

นั่นก็คือบักฮื้อที่เขาใช้เคาะมากว่ายี่สิบปีนั่นเอง

……

……

ณ ป้านเยี่ยนซวน วังหลังแห่งราชวงศ์หยู

หิมะที่ตกลงมาทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสีขาวโพลนราวกับภาพวาด

ที่ป้านเยี่ยนซวนได้มีการจุดไฟขึ้นมาสองกองจึงมีควันจากชาที่ถูกต้มลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ฮองเฮาซั่งต้มชาไปพลางสนทนากับพระสวามีที่ประทับอยู่ตรงหน้าต่างไปพลาง “จี้หยุนกุยกลับมาแล้ว เขาเอ่ยว่า…จะไปสืบหาเรื่องราวในอดีตเพคะ”

ฮ่องเต้ชะงักงัน จากนั้นก็หันพระวรกายกลับมา “เรื่องราวเหล่านั้นจบลงเนิ่นนานแล้ว ยังมีสิ่งใดให้สืบอีกเล่า ? ”

ฮองเฮาซั่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “บางที อาจจะสืบเจอบางอย่างก็เป็นได้เพคะ”

“…ในตอนนั้นเจ้าและสวี่หยุนชิงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เจ้าเคยเห็นบันทึกหนานเคอหรือไม่ ? ”

ฮองเฮาซั่งส่ายพระพักตร์ จากนั้นก็รินน้ำชามาสองถ้วย “คนที่เคยพบเห็นบันทึกเล่มนั้นจริง ๆ มีน้อยจนนับนิ้วได้เลยเพคะ บัดนี้เวลาผ่านไป 18 ปีแล้ว แต่ก็ยังมิได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับบันทึกหนานเคอเลยเพคะ หม่อมฉันจึงเดาว่าสวี่หยุนชิงได้ทำลายมันไปเนิ่นนานแล้ว”

ฮ่องเต้มิได้นำเรื่องนี้มาใส่พระทัยมากนัก เนื่องจากเดิมทีพระองค์กำลังนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนอยู่

“เสี่ยวกวนกลับมาแล้ว” พระองค์ตรัสออกมาอย่างแผ่วเบา

“ใกล้จะปีใหม่แล้ว เขากลับมาดูแลลูกเมียก็ถูกต้องแล้วนี่เพคะ”

“แต่ทว่าสถานที่ที่เขาเดินทางไปคือภูเขาเฟิ่งหลิน”

“…”