ตอนที่ 741 ปืนของเฮ้อซานเตา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 741 ปืนของเฮ้อซานเตา

ฤดูหนาวของหลินเจียงจะรุนแรงกว่าที่ว่อเฟิงเต้า

ใบไม้เหี่ยวแห้ง ต้นหญ้าในท้องทุ้งเหี่ยวเฉา เมื่อมองดูแล้วเริ่มมีสภาพที่แย่ลงเรื่อย ๆ

แต่ภายในภูเขาเฟิ่งหลินยังคงครึกครื้นยิ่ง โดยเฉพาะวันนี้…

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสิบสอง วันที่สาม ทหารดาบเทวะจำนวน 30,000 นายจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กองพลที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ส่วนในวันนี้จะเริ่มทำการประเมินรอบปลายปีเป็นเวลา 10 วัน

เฮ้อซานเตาเพิ่งมาถึงภูเขาเฟิ่งหลินในวันที่ยี่สิบเดือนห้า ช่วงเวลาฝึกของเขาจึงสั้นกว่าของผู้อื่น โดยเขาได้ฝึกเพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น !

ต่อให้เทียบกับกวนเสี่ยวซีหรือเว่ยอู๋ปิ้งก็ยังล่าช้าอยู่กว่า 1 เดือน

แต่ทว่าคุณชายเศรษฐีที่ดิน ณ หลินจื๋อผู้นี้ กลับทำให้ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งทั้งสามหมื่นนายต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ !

หลังจากชายผู้นี้มาถึงภูเขาเฟิ่งหลินก็ได้ใช้มีดโจมตีไป๋ยู่เหลียนถึง 3 กระบวนท่าด้วยกัน !

แน่นอนว่าเขาถูกไป๋ยู่เหลียนจับทุ่มได้อย่างง่ายดายและด้วยเหตุนี้ไป๋ยู่เหลียนจึงมอบ ‘พระสูตรดาบทรราช’ และ ‘ดาบทรราชสามรูปแบบ’ ของภูเขาดาบให้เขาอย่างละ 1 เล่ม

ในตอนนั้นเองที่เฮ้อซานเตารู้สึกขอบคุณจงสือจี้อย่างสุดซึ้ง เพราะหากมิมีจงสือจี้คอยสอนตัวอักษรให้ แล้วเขาจะฝึกพระสูตรดาบทรราชนี้ได้เยี่ยงไร

ไป๋ยู่เหลียนเพิ่มอาหารมื้อใหญ่ให้เขารวมถึงกวนเสี่ยวซีและเว่ยอู๋ปิ้ง… หลังจากที่จบการฝึกประจำวันแล้วทั้งสามก็ยังต้องฝึกต่อไป !

เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม กวนเสี่ยวซีและเว่ยอู๋ปิ้งต่างก็รู้สึกว่าแบกรับมิไหวอีกต่อไปแล้ว แต่ทว่าเฮ้อซานเตากลับทำตัวเหมือนเพชรที่แข็งแกร่ง

“เหตุใดเจ้าถึงพยายามอย่างสุดชีวิตเยี่ยงนี้กัน ? ” กวนเสี่ยวซีเอ่ยถาม

เฮ้อซานเตาปักดาบลงกับพื้น “อาจารย์กล่าวว่าเวลาปกติจงเสียเหงื่อให้มาก เวลารบจงเสียเลือดให้น้อย… มีอันใด ? กลัวเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเจ้าช่างมิได้เรื่องเลยจริง ๆ แม้แต่คุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋อเยี่ยงข้าก็สู้มิได้ เช่นนั้นก็กลับบ้านไปเลี้ยงลูกเลยไป ! ”

บัดซบ !

ประโยคซื่อ ๆ นี้ ทำให้กวนเสี่ยวซีและเว่ยอู๋ปิ้งโกรธเสียจนมิรู้จะด่าว่าเยี่ยงไรดี

พวกข้าจะมิพ่ายแพ้ให้กับเจ้าโง่นี่เป็นอันขาด !

ข้ามาจากกองทัพทหารประจำการ !

เว่ยอู๋ปิ้งลอบคิดว่าข้านั้นเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสอง !

ดังนั้นทั้งสามคนจึงฝึกฝนอย่างหนักและก่อนที่ไป๋ยู่เหลียนจะจากไปในเดือนเจ็ด เขาได้ทำการประเมินผลภาคปกติของทั้งสามคน คาดมิถึงว่าจะติดหนึ่งในสามอันดับแรกของทั้งกองทัพ !

อันดับที่หนึ่งคือกวนเสี่ยวซี ! บุรุษผู้นี้เคยได้รับแต่งตั้งจากไป๋ยู่เหลียนให้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่หนึ่งของทหารดาบเทวะกองที่สอง

อันดับที่สองเว่ยอู๋ปิ้ง ! เขาเคยได้รับแต่งตั้งจากไป๋ยู่เหลียนให้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่สองของทหารดาบเทวะกองที่สอง

อันดับที่สามคือเฮ้อซานเตา ! เขาเคยได้รับแต่งตั้งจากไป๋ยู่เหลียนให้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่สามของทหารดาบเทวะกองที่สอง

หลังจากที่ไป๋ยู่เหลียนจากไป เฉินป๋อก็ได้เข้ามาแทนที่

เฉินป๋อแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมทหารดาบเทวะมาจากมือของหยูเวิ่นเต้า และได้แจ้งเรื่องการปรับเปลี่ยนทหารดาบเทวะให้ฟู่เสี่ยวกวนได้ทราบแล้วว่า บัดนี้การก่อตั้งกองทัพทหารดาบเทวะกองที่หนึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กองพล แต่ละกองพลจะแบ่งออกเป็น 2 กองพลน้อย แล้วแต่ละกองพลน้อยจะแบ่งออกเป็น 5 กองพัน

ให้กวนเสี่ยวซีเป็นรักษาการผู้บังคับการกองพลน้อยที่หนึ่ง เว่ยอู๋ปิ้งเป็นรักษาการผู้บังคับการกองพลน้อยที่สอง เฮ้อซานเตาเป็นรักษาการผู้บังคับการกองพลน้อยที่สาม ส่วนหยูเวิ่นเต้าให้เป็นผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง

เฮ้อซานเตานอนอยู่บนเนินเขา ในปากกำลังเคี้ยวเศษหญ้าแห้งอยู่ ทันใดนั้นก็หันหน้าไปกล่าวกับกวนเสี่ยวซีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าอยากจะฟันหยูเวิ่นเต้าผู้นั้นสักดาบสองดาบกันนะ ? ”

กวนเสี่ยวซีชำเลืองมอง “เจ้ากำลังอิจฉาน่ะสิ ! ”

เฮ้อซานเตาลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “แล้วเจ้ามิอิจฉาเยี่ยงนั้นหรือ ? ตำแหน่งผู้บัญชาการทั้งสามกองพลนี้เขาครองไปแล้ว 1 กองพล ทว่ามันควรจะเป็นของพวกเราสามคนมิใช่หรือ ? ”

เว่ยอู๋ปิ้งยังคงนอนมองท้องนภา “คิดอันใดอยู่ ? ก่อนอื่นต้องลบคำว่า ‘รักษาการ’ ที่อยู่ข้างหน้าคำว่าผู้บังคับการกองพลน้อยออกไปให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยมาเอ่ย”

“การทดสอบครานี้ ข้าต้องได้อันดับที่หนึ่งอย่างแน่นอน”

กวนเสี่ยวซีเหยียดยิ้ม “ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้ามากมายถึงเพียงนี้กัน ? ”

“ข้าฝึกพระสูตรดาบทรราชจนถึงขั้นสามแล้ว… เสี่ยวซีซี เจ้ายังจะสู้ข้าได้อยู่อีกหรือ ? ”

กวนเสี่ยวซีตกใจจนสุดขีด ตากนั้นก็จ้องมองเฮ้อซานเตาอย่างจริงจัง “นี่เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น เจ้าฝึกไปจนถึงขั้นที่สามแล้วจริงหรือ ? ”

เฮ้อซานเตาพลิกร่างขึ้นมา พลางชักดาบตรงเอวดัง ‘ชริ้ง… ! ’ เขากระโดดขึ้นไปในเวหา จากนั้นก็ได้เห็นดาบของเขาถูกแบ่งออกเป็นหลายเล่ม แล้วพุ่งทะยานไปฟันต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าระยะทางราว 3 จั้งเห็นจะได้

เสียงกระแทกดังสนั่น ดาบของเฮ้อซานเตาได้ตัดต้นไม้ขนาดเท่าเอวคนจนหัก บังเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

เว่ยอู๋ปิ้งลุกขึ้นยืน จ้องมองเฮ้อซานเตาที่กำลังเหินเวลาลงมาด้วยความตกตะลึงงัน… คนผู้นี้คือปิศาจ !

คาดมิถึงว่าเขาจะใช้เวลาฝึกฝนเพียงครึ่งปีเท่านั้น บัดนี้เขาได้จิตวิญญาณทรราชไปครอบครองแล้ว !

เห็นได้ชัดว่าอยู่ในระดับผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสองแล้วด้วย !

เฮ้อซานเตาหมุนดาบ บังเกิดเสียงเก็บดาบเข้าฝักดังขึ้น ‘ชริ้ง…’ และเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “ข้ามิเคยโกหกเหมือนที่ติ้งอันป๋อมิเคยโกหก ! ”

กวนเสี่ยวซีกลืนน้ำลายหนึ่งอึก เจ้าโง่ผู้นี้ ดูเหมือนว่าการประเมินครานี้ ข้าจะสู้เขามิได้แล้วจริง ๆ

ใช่แล้ว ! การประเมินความแม่นปืนมีสัดส่วนคะแนนที่สูงมาก และความแม่นยำของเฮ้อซานเตาย่อมมิได้ดีไปกว่าข้าเป็นแน่

กวนเสี่ยวซีหัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็ชักปืนตรงเอวออกมาแล้วเล็งไปยังเป้าฝึกที่ห่างออกไป 9 – 10 จั้ง จากนั้นก็ลั่นไกดัง ‘ปัง… ! ’

“มิต้องมอง ข้าก็สามารถยิงเข้ากลางเป้าได้”

เฮ้อซานเตาตกตะลึงงัน ชักปืนออกมา ‘ปัง… ! ’ ลั่นไกออกไปทั้งอย่างนั้น

กวนเสี่ยวซีหัวเราะร่า “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… คนโง่เยี่ยงเจ้า สุดท้ายก็พลาดเป้า ! ”

เฮ้อซานเตาชำเลืองมองกวนเสี่ยวซีอย่างเหยียดหยาม เขาเก็บปืนแล้วนอนลงกับพื้นอีกครา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปดึงหญ้าอ่อนขึ้นมาเคี้ยว

“คู่หมั้นของข้าส่งจดหมายมาให้ 2 ฉบับ… แต่นางมิได้ป่วยอันใดหรอกนะ เจ้าว่าสตรีผู้นี้แปลกประหลาดหรือไม่ เดิมทีข้าอยู่ที่หลินจื๋อก็โดนนางมองราวกับเป็นตัวน่ารำคาญ แต่ทว่าในยามนี้ที่ข้าอยู่ห่างไกลจากตัวนาง นางกลับกล่าวว่าคิดถึงข้ามากยิ่งนัก… คิดถึงกับผีน่ะสิ เล่นกับปืนมิใช่ว่าสนุกกว่าเล่นกับสตรีหรอกหรือ ? ”

“เจ้าหุบปากไปเลย…” เว่ยอู๋ปิ้งรับมิได้อย่างถึงที่สุด คนผู้นี้กำลังโอ้อวดความรัก ข้าก็มีจดหมายจากคู่หมั้นเหมือนกันมิใช่หรือ ?

เว่ยอู๋ปิ้งเดินเข้าไปหาเป้าแล้วยืนมองอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากนั้นก็เดินอ้อมไปยังด้านหลังของเป้า

ด้านหลังเป้าที่ห่างออกไปราว 10 จั้งเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ และตรงกลางหินก้อนนั้นก็ได้ปรากฏรอยกระสุนจุดหนึ่งขึ้นมา

เว่ยอู๋ปิ้งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดแรง พิงหลังกับหินก้อนโต แล้วหรี่ตามองไปยังเป้า…

บัดซบ !

ปืนของเฮ้อซานเตามิถือว่าพลาดเป้าแม้แต่น้อย !

แต่ทว่ามันลอดผ่านรูตรงกลางเป้านั้นไปเลย !

เว่ยอู๋ปิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ลอบคิดว่ากวนเสี่ยวซีคงจะรักษาอับดับหนึ่งเอาไว้มิอยู่เสียแล้ว

กวนเสี่ยวซีเองก็เดินเข้าไปเช่นกัน เขาตรวจดูจริงจังยิ่งกว่าเว่ยอู๋ปิ้งเสียอีก เขามิได้กล่าวอันใดออกมา พอตรวจดูเสร็จก็หันหลังออกเดินและเอ่ยทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า “หลังจากสิ้นสุดการประเมิน เจ้าต้องเลี้ยงสุราพวกข้าที่หมู่บ้านเสี้ยชุน ! ”

เว่ยอู๋ปิ้งมิได้เดินตามไป แต่เขากลับล้มตัวลงข้าง ๆ เฮ้อซานเตา จากนั้นก็หยิบต้นหญ้าขึ้นมาคาบไว้ในปาก “เจ้าทำได้เยี่ยงไร ? ”

“ข้ารู้สึกว่าการสัมผัสดาบหรือปืนก็เหมือนกับการสัมผัสสตรีชั้นยอดของหอชุ่ยหง”

“…เจ้ามันโรคจิต ! ”

“ฮึ ๆ… เดิมทีเหล่าสตรีในหอชุ่ยหงก็เอ่ยกับข้าเยี่ยงนี้เช่นกัน”

“แม่ทัพเฉินกล่าวว่าจะมีสงครามในปีหน้า”

เฮ้อซานเตาผุดลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเปล่งประกายแวววับ “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? แล้วจะรบกับผู้ใดกัน ? ”

“ชาวฮวง นี่คือแผนการรบที่ติ้งอันป๋อได้วางแผนการเอาไว้เนิ่นนานแล้ว”

เฮ้อซานเตาตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ก็ดี ! หากหยูเวิ่นเต้าผู้นั้นตาย พวกเราทั้งสามก็จะได้ครองตำแหน่งผู้บัญชาการของแต่ละกองพล ! ”

เว่ยอู๋ปิ้งรู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง เขาจ้องมองเฮ้อซานเตาด้วยสายตาดุดัน “มารดาเจ้าสิ ลดเสียงลงหน่อย คนผู้นั้นคือองค์ชายห้า ! ในอนาคตเขาย่อมได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์อู๋ ! ”

“…เจ้ากลัวอันใดกัน ? ติ้งอันป๋อของพวกเรามิใช่ว่าเขาก็เป็นจักรพรรดิในอนาคตของราชวงศ์อู๋หรอกหรือ ? ”