บทที่ 734 ลางสังหรณ์ของพระสันตะปาปา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

“ขอรับ เราลองอัญเชิญราชาทูตสวรรค์ผ่านทางพิธีกรรมดูแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าจะยึดครองดาวเคราะห์เทียมของสภาเวทมนตร์มาได้ แต่ท่านกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลย ไม่แม้แต่จะแสดงสัญลักษณ์ของการปฏิเสธเหมือนในอดีต ท่านผู้ทรงศีลสูงสุดขอรับ เกิดอะไรขึ้นกับราชาทูตสวรรค์หรือเปล่าขอรับ” ฟิลิปบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาดูท่าทางเป็นกังวลอย่างยิ่ง

หลังจากจบสงครามในเรนทาโต อำนาจของศาสนจักรฝ่ายใต้ก็ดิ่งฮวบ ด้วยเหตุนี้ อิทธิพลของราชาทูตสวรรค์จึงกลายเป็นเสาหลักของพวกเขา ช่วยให้พวกเขาสร้างความมั่นใจให้แก่เหล่าบาทหลวงที่แตกตื่นและกังขา นอกจากนี้ ด้วยฐานะผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดที่บังคับบัญชาทูตสวรรค์เสราฟิมชั้นตำนานระดับสามแห่งหุบเขาวิมานได้ ทำให้เขามีน้ำหนักที่จะเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของสถานการณ์ในยามนี้

แน่นอนว่า สำหรับฟิลิปแล้ว คำถามสำคัญที่สุดก็คือ การไม่มีปฏิกิริยาตอบรับของราชาทูตสวรรค์นั้นมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระสันตะปาปาหรือไม่ เป็นเพราะการเผยแผ่ความลับของหนทางในการรวบรวมพลังศรัทธาหรือไม่ หรือจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อราชาทูตสวรรค์ลองทำดู

หลังจากได้ยินคำตอบจากฟิลิป เบเนดิกต์ที่สามก็มิได้แสดงสีหน้าอันใด เขาเพียงหลับตาลงช้าๆ แล้วแสงสว่างอันพิสุทธิ์สูงส่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง แสงสีขาวงาช้างแผ่ออกเป็นวงกว้าง สร้างความรู้สึกยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์

เมื่อแสงสว่างเข้าปกคลุมโอบล้อม ก็คล้ายกับจะมีประตูที่ถูกเปิดออกกลางอากาศ ซึ่งนำทางไปสู่หุบเขาวิมาน เสียงเพลงสรรเสริญดังก้องกังวานยากจะคาดเดาทิศทาง พร้อมกับที่แสงเจิดจ้าอันไร้ขอบเขตแผ่พุ่งออกมา ก่อเกิดเป็นภาพมายาสะท้อนของ ‘หุบเขาวิมาน’ ที่แทบจะจับต้องได้จริง

เหล่าเทวดานางฟ้าและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ภายในภาพมายาสะท้อนคล้ายจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ทุกตนต่างค้อมกายทำความเคารพเบเนดิกต์ที่สามอย่างเคร่งขรึม

เขาคือผู้แถลงการณ์ของพระผู้เป็นเจ้าและร่างจุติของพระองค์บนดินแดนมนุษย์ จนกว่าเขาจะได้กลับไปยังหุบเขาวิมาน เขายังนับว่ามีเกียรติและใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าเสียยิ่งกว่าราชาทูตสวรรค์!

หลังจากที่เขากลับไปยังหุบเขาวิมาน เขาก็จะหลอมรวมเข้ากับแสงแห่งพระเจ้าและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า!

หลังจากทักทายทำความเคารพ เหล่าเทวดานางฟ้าและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มสวดภาวนา สรรเสริญ และร้องรำทำเพลง ภาพมายาสะท้อนของชั้นที่เจ็ดนั้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ชั้นที่เจ็ดของหุบเขาวิมานนั้นมีเพียงแสงสว่างบริสุทธิ์เหนือธรรมดาอันไร้ขอบเขตและปราศจากมลทินใดๆ มันแผ่บรรยากาศน่าเกรงขามแบบที่พระเจ้าที่อยู่ในนั้นดูเหมือนจะทำลายล้างโลกทั้งใบได้จริงๆ!

แม้ว่าเบเนดิกต์ที่สามจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นได้ด้วยเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ แต่เขาก็สังเกตเห็นได้เพียงเลือนลางว่าทูตสวรรค์แสนหยิ่งยโสผู้มีปีกสามสิบหกปีกอยู่บนหลังนั้น นอนคุดคู้อยู่บริเวณรอบนอกของแสงโดยมีตำราหน้าตาโบราณและดูศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ

“ไม่มีอะไรผิดปกติกับราชาทูตสวรรค์นี่ เขาเพียงแต่หลับใหลไปเท่านั้น” เบเนดิกต์ที่สามส่งยิ้มให้ฟิลิป “แม้ว่าพลังพระเจ้าคุ้มครองของเขาจะเหมาะกับภารกิจเช่นนี้ แต่เรามีวิธีบรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องพึ่งพาเขาหรือไม่”

ท่าทางเขาดูสงบนิ่ง แต่ดวงตากลับหรี่ลง ‘เมแคนทรอนอ่อนแอลงถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน เขาบาดเจ็บสาหัสตรงที่ใดกัน เขาไปทำอะไรมากันแน่ เขาเกิดความทะเยอทะยานขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ซาร์ดหรืออย่างไร ผู้ใดเป็นคนชักใยกัน’

แม้ว่าราชาทูตสวรรค์จะมีพลังของพระเจ้าแห่งสัจธรรมอยู่รายล้อมรอบกาย แต่เบเนดิกต์ที่สาม ที่เป็นถึงมนุษย์ครึ่งเทพก็สัมผัสถึงความอ่อนแอของเมแคนทรอนได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเมแคนทรอนไม่กล้าเข้าไปนอนด้านใน กลับนอนอยู่บริเวณชายขอบเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากสถานะแปลกประหลาดนี้

หากสภาเวทมนตร์มิได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของดาวเคราะห์เทียมผ่านการถ่ายทอดสดแล้วล่ะก็ ทางศาสนจักรย่อมไม่คิดพยายามอัญเชิญราชาทูตสวรรค์มาในขณะที่สถานการณ์ค่อนข้างสงบสุข เหมือนเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ด้วยเหตุนี้ เขาคงจะไม่มีทางสังเกตเห็นถึงความอ่อนแอของราชาทูตสวรรค์ เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าแห่งสัจธรรม มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรับรู้ถึงปัญหา

‘ข้าต้องขอบคุณสภาเวทมนตร์ ลูเซียน อีวานส์ และนาตาชา ไวโอเล็ต จริงๆ…’ เบเนดิกต์ที่สามดูท่าทางมืดมน

หลังจากได้ยินคำถามของพระสันตะปาปา ฟิลิปจึงตอบด้วยความยำเกรง “ท่านผู้ทรงศีลสูงสุด การอัญเชิญราชาทูตสวรรค์มานั้นเป็นเพียงการเพิ่มอัตราความสำเร็จและกำจัดปัจจัยที่เราคาดไม่ถึงออกไป เป็นความจริงที่ว่าเราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขา หากท่านยินดีทำภารกิจนี้ด้วยตนเอง สิ่งต่างๆ ก็คงจะง่ายดายขึ้นมากขอรับ”

“แม้ว่าข้าจะยังใช้พลังพระเจ้าเสด็จมิได้เพราะข้าเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ข้าก็ยังเป็นร่างจุติของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นมนุษย์ครึ่งเทพที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกคนเป็น เหตุใดข้าจึงจะไม่กล้าออกไปจากนครศักดิ์สิทธิ์แล้วทำภารกิจนี้ด้วยตัวเองกันเล่า” ไวเค็น ผู้อยู่ในรูปลักษณ์ของเบเนดิกต์ที่สามในตอนนี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบสบายๆ ราวกับว่าเขาเพียงพูดถึงอาหารที่เหมาะจะรับประทานในค่ำวันนี้ “หากพระเจ้าเทียมเท็จที่แสนชั่วร้ายอย่างอัลเทอร์นาไม่ได้จับตามองพื้นโลกจากบนท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ ข้าก็คงจะหยุดนักเวทชั้นตำนานทั้งหมดของสภาด้วยตนเองไปแล้ว”

มันคือความล้ำเลิศแห่งชีวิตในการเลื่อนระดับจากชั้นตำนานระดับสูงสุดเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ แม้ว่ามันแทบจะเป็นไม่ได้เลยที่เบเนดิกต์ที่สามจะกำจัดผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดสักคนในขณะที่เขาไม่สามารถใช้พลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’ แต่ศัตรูของเขาก็จะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ไม่ว่าจะมีชั้นตำนานระดับสูงสุดกี่คนก็ตาม

ฟิลิปกล่าวด้วยความปีติยินดี “หากท่านผู้ทรงศีลสูงสุดจะทำภารกิจนี้ด้วยตนเอง แผนการของเราก็นับว่าประสบความสำเร็จไปแล้ว 90% ขอรับ”

“ทว่า ข้าโจมตีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จันทราสีเงิน เจ้าแห่งนรก เจตจำนงแห่งอเวจี และพระเจ้าเทียมเท็จแสนชั่วร้ายตนอื่นๆ คงจะต้องเฝ้ารอโอกาสทำร้ายข้าจนสาหัสก่อนที่ข้าจะใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้อย่างแน่นอน เพื่อการณ์นั้น พวกศัตรูอาจละทิ้งความแค้นและเกลียดชังต่อกันเพื่อร่วมมือกันก็เป็นได้” เบเนดิกต์ที่สามกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

เขาไม่แน่ใจว่าลูเซียนกับนักเวทคนอื่นๆ จะตรวจจับได้ถึงความลับของสัตว์ประหลาดและหุบเขาวิมานภายในทวารานาจักรหรือไม่ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายนั้นจะต้องค้นพบบางสิ่งบางอย่างเป็นแน่ แม้ว่าเรื่องราวใน ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ จะเกินจริง แต่มันก็ยังถือเป็นความจริงส่วนหนึ่ง หากพวกเขามองผ่านปรากฏการณ์ที่เป็นฉากหน้าเข้าไป พวกเขาย่อมสังเกตได้ลางๆ ถึงความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับเจ้าสัตว์ประหลาด และล่วงรู้ว่าพลังพระเจ้าเสด็จจะใช้บ่อยๆ ไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะมันจะหนักหนาเกินไปสำหรับร่างกายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวางแผนโดยยึดจากข้อสันนิษฐานที่ว่าดักลาส เฟอร์นันโด ลูเซียน พระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน และเจ้าแห่งนรกได้ล่วงรู้ถึงความลับใหญ่ๆ ทั้งสองข้อนี้แล้ว

“เพียงครั้งเดียวก็เกินพอแล้วขอรับ” ฟิลิปตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง “ตามจริงแล้ว เราควรจะได้ครอบครองมันผ่านวิธีการทำลายดาวเคราะห์เทียมของเราเมื่อครั้งอดีต แต่เพราะสภาเวทมนตร์เปิดเผยมันอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องระมัดระวังว่าฝ่ายนั้นอาจวางกับดักเราได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องวางแผนใหม่ขอรับ”

หลายปีก่อนหน้านี้ เนื่องจากทางศาสนจักรไม่สามารถสร้างอุปกรณ์ที่คล้ายครึงกันเพื่อนำขึ้นไปอยู่บนวิถีโคจร การโจมตีของพวกเขาจึงต้องกระทำผ่านทางผู้มีพลังชั้นตำนานเพียงเท่านั้น มาตรการที่ดาวเคราะห์เทียมใช้เพื่อป้องกันตัวมันเอง เช่น ซ่อนตัวและเปลี่ยนวิถีโคจรนั้น แทบไม่มีประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีพลังชั้นตำนานที่เตรียมการมาอย่างดี สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือวงแหวนเวทที่ฝังอยู่ในดาวเคราะห์เทียมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การขอกำลังเสริมจากนักเวทชั้นตำนานและส่งรายงานสถานการณ์กลับไปยังนครอัลลิน

เพราะฉะนั้น แผนการของพวกเขาจึงเป็นแบบง่ายๆ มาโดยตลอด พวกเขาจะยืนยันข้อมูลว่าผู้มีพลังชั้นตำนานของสภาเวทมนตร์ออกไปทำภารกิจเสียก่อน และรอให้สบโอกาสที่ฝ่ายตนมีจำนวนมากกว่าศัตรู แม้ว่าวงแหวนเวทตรวจตราจะส่งข่าวกรองกลับไปทางนครอัลลิน และนักเวทชั้นตำนานในอัลลินจะสามารถมาที่ดาวเคราะห์เทียมเพื่อร่วมการต่อสู่ พวกเขาก็จะไม่มีทางหยุดยั้งความเสียหายได้ ยามที่นักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ จากสภาเวทมนตร์มาช่วยเหลือ ดาวเคราะห์เทียมก็จะถูกทำลายไปแล้ว

แผนการของพวกเขาดูเหมือนจะง่าย แต่แท้จริงแล้วยากมากทีเดียว ประการแรก พวกเขาจำต้องแน่ใจว่านักเวทชั้นตำนานออกไปทำภารกิจจริงๆ เพราะชีวิตพวกเขาคงตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่แท้หากคำนวนจำนวนศัตรูและความแข็งแร่งของอีกฝ่ายผิดพลาด ยามใดที่นักเวทชั้นตำนานเตรียมตัวมาดี ก็เป็นเรื่องยากที่ผู้พิทักษ์ราตรีที่ไม่ได้มีพลังชั้นตำนาน จะระบุตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขาได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่จนถึงตอนนี้ ทางศาสนจักรสามารถทำลายดาวเคราะห์ได้เพียงสองดวงเท่านั้น

และมันยังเป็นเหตุผลที่ฟิลิปเป็นกังวลว่าพวกตนอาจติดกับดักของสภาเวทมนตร์ขณะปฏิบัติภารกิจ อย่างไรมันก็มิใช่ประสบการณ์ที่น่าอภิรมย์นักหากพวกตนไปถึงวิถีโคจรผ่านวงแหวนเคลื่อนย้ายที่ติดตั้งไว้ก่อนแล้วพบว่าดักลาส บรูก เฟอร์นันโด แฮทธาเวย์ ลูเซียน อีวานส์ และคนอื่นๆ กำลังรอพวกเขาอยู่ นอกจากนี้ บนวิถีโคจรหาได้มีวงแหวนเวทป้องกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์ และนักเวทชั้นตำนานก็สามารถปิดกั้นอวกาศได้อย่างง่ายดาย เพื่อขัดขวางมิให้กำลังเสริมเคลื่อนย้ายข้ามมิติมา หากเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะกลายเป็นน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด

“นักเวทชั้นตำนานที่จดจ่ออยู่กกับโลกจุลภาคสนให้ความสนใจโลกภายนอกน้อยลงทุกที พวกเขาต่างอุทิศตนให้กับการปะทะกันของอนุภาค…” ตอนที่เขาได้ยินฟิลิปพูดถึงแผนการในอดีต เบเนดิกต์ที่สามก็ส่ายศีรษะและถอนหายใจ

ในโลกจุลภาค การทดลองทางเวทมนตร์นั้นมีความสำคัญกว่าการออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆ ดังนั้น นักเวทชั้นตำนานทั้งหลายจึงออกไปทำภารกิจน้อยลงมาก แต่โชคยังดีที่พวกเขาจำเป็นต้องทำการทดลองทางอนุภาคในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป และสำรวจดูว่ามีอนุภาคใดหรือไม่ที่ยังไม่ถูกค้นพบในสภาพแวดล้อมแปลกๆ เช่น โพซิตรอน นั่นจึงเป็นที่เหตุผลที่พวกเขามิได้อยู่ในอัลลินตลอดเวลา หากไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถสร้างกลุ่มชั้นตำนานที่น่าหวาดกลัวได้ทุกเมื่อ

แน่นอนว่า เหล่านักเวทชั้นตำนานมิได้จดจ่ออยู่แต่เพียงโลกจุลภาคเท่านั้น พวกเขายังจำเป็นต้องสอดส่องดูแลมิติอื่นๆ อีกสี่อาณาจักรทางฝั่งหนึ่งของช่องแคบ และแนวชายฝั่งทางตอนเหนืออีกด้วย

“พวกเขาเห็นแย้งกันอย่างมากในเรื่องโลกจุลภาค จนแทบจะทะเลาะกันเอง…” ฟิลิปเอ่ยเยาะหยัน ก่อนจะพูดต่อ “เพื่อขัดขวางมิให้พระเจ้าชั่วร้ายฉวยโอกาสโจมตีท่าน เราจึงจำเป็นต้องให้ท่านเดินทางไปยึดครองดาวเคราะห์เทียมบนวิถีโคจรโดยตรง แทนที่จะ…”

เขาอธิบายถึงแผนการทั้งหมด

เบเนดิกต์ที่สามรับฟังโดยไม่แสดงสีหน้าใด ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงโทนเดิม “ตกลง”

หลังจากที่ฟิลิปกล่าวลา เบเนดิกต์ที่สามก็เดินไปทางหน้าต่างและมองออกไปยังมวลดอกไม้บานสะพรั่งทางด้านนอกที่ทำให้ดูไม่เหมือนกับอยู่ในฤดูหนาวเลยสักนิด เขาพยักหน้า “เราจะต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น”

บนดินแดนรกร้างจันทราเงิน…

แนสเดลที่เดินทางกลับมาอย่างเร่งรีบ บัดนี้ยืนอยู่ต่อหน้าดูเบนอล ศีรษะของเขาก้มลงต่ำ ไม่กล้ามองสบตากับเจ้าชายเลยสักนิด

“สรุปแล้ว เรนทาโตกลายเป็นสถานที่ที่อันตรายถึงเพียงนั้นแล้วสินะ…” ดูเบนอลกล่าวเสียงแหบต่ำ

แนสเดลพลันรู้สึกอยากจะร้องไห้โฮ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว มันช่วยให้เจ้าชายได้เห็นถึงความอันตรายของสภาเวทมนตร์และนครเรนทาโต เจ้าพวกที่หัวเราะเยาะเขาทันทีที่เห็นบาดแผลบนตัวเขาย่อมไม่มีทางเข้าใจคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ของเขา!

“ด้วยเหตุฉะนี้ การร่วมมือกับสภาเวทมนตร์จึงเป็นทางเลือกที่ควรค่าแก่การพิจารณาพะยะค่ะ” ในหมู่มนุษย์หมาป่านั้น เจ้าชายบางตนมีความสนิทชิดเชื้อกับสภาเวทมนตร์ และบางตน ซึ่งรวมถึงดูเบนอล กลับไม่เป็นมิตร ดังนั้น แนสเดลจึงคิดว่าตนสามารถเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าชายได้ด้วยการตรวจสอบของเขา

“ไม่” ดูเบนอลกล่าวอย่างหนักแน่น

‘หา?’ แนสเดลเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายของตนด้วยความประหลาดใจ

“เราควรจะโจมตีสภาเวทมนตร์ ในเมื่อพวกมันแข็งแกร่งและเป็นภัยอันตรายถึงเพียงนี้แล้ว การร่วมมือกับพวกมันย่อมมีแต่จะส่งผลให้เกิดศาสนานักบุญสัจธรรมแบบใหม่ขึ้นมา” ดูเบนอลประกาศด้วยความมั่นใจและภาคภูมิใจ

แนสเดลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงชื่นชมสรรเสริญ “ฝ่าบาท พระองค์คือผู้ที่เปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพที่สุดในหมู่มวลมนุษย์หมาป่า พระเนตรอันเฉียบแหลมของพระองค์มองผ่านความจริงของสรรพสิ่งมาโดยตลอด แต่กระหม่อมกลับไม่รู้อะไรเลย

“ฮ่าๆๆ” ดูเบนอลหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี เขาชื่นชมแนสเดลมาตลอดเพราะเจ้าหมอนี่ซื่อตรงมากและมิได้ฉลาดอะไรนัก ซึ่งสร้างความแตกต่างให้กับตนเป็นอย่างดี

………………………………….