บทที่ 735 ความโกลาหลมาเยือน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

ทิศเหนือของแนวชายฝั่งทางตอนเหนือนั้นเป็นดินแดนรกร้างหนาวเหน็บ ต้นไม้แข็งๆ และภูมิประเทศแสนเลวร้ายได้เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้เป็นดั่งสวรรค์สำหรับมนุษย์หมาป่าและหมีน้ำแข็ง และยังมีอสูรเวทมนตร์แสนแข็งแกร่งที่ร่อนเร่ไปมาในส่วนลึกของดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ เช่น มังกรสีเงิน มังกรสีขาว หรือยักษ์น้ำแข็ง

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเส้นทางสู่อีสต์เฮเวนจะถูกสร้างขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจากเหล่านักผจญภัยหลายต่อหลายรุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่อันตรายที่สุด แต่กลุ่มพ่อค้าและผู้สัญจรไปมาที่เดินทางบนถนนเส้นนี้ก็ยังต้องเผชิญกับการโจมตีทุกรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ดินแดนทางตอนเหนืออาบย้อมไปด้วยสีแดงฉานของโลหิต มันจึงถูกขนานนามว่าสวรรค์ของเหล่าอาชญากร

ในเดือนแห่งน้ำแข็ง พื้นที่บริเวณนี้ก็ถูกปกคลุมด้วยสีขาวโพลนแล้ว แม้แต่ป่าอันกว้างใหญ่ก็ยังถูกปกคลุมประดับประดาด้วยผืนหิมะบริสุทธิ์ มองเห็นเพียงสีสันเดียวจนสุดลูกหูลูกตา หากผู้ใดจดจ้องหิมะตลอดเวลา คนผู้นั้นอาจไม่สามารถลืมตาได้อีกก็เป็นได้

ทว่า บนถนนที่เส้นทางถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะหนาเตอะ กลับปรากฏหยาดโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว ดาบ หอก ค้อน และอาวุธอื่นๆ กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด บ่งชี้ถึงการต่อสู้ที่แสนดุเดือดในบริเวณนี้

เมื่อเดินออกจากถนนหลักและมุ่งหน้าไปทางเหนือ ตามรอยเท้าไป ก็จะเห็นป่าที่มีต้นไม้อายุยืนยาวแสนกว้างใหญ่ไพศาล ที่กลางป่านั้น มีช่องว่างที่ไม่เด่นสะดุดตาอยู่ ซึ่งเป็นทางที่นำไปสู่ถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่

คบเพลิงบนผนังถ้ำใต้ดินส่องแสงสว่างให้กับพื้นที่ แต่เปลวไฟบนคบเพลิงเหล่านั้นกลับมีสีซีดดูน่าสยดสยองเป็นที่สุดราวกับไม่มีความร้อนเลยสักนิด ภายในนั้นไม่มีเสียงใดนอกจากความเงียบงัน

แสงสว่างสีซีดแผ่ออกมาจากคบเพลิงและสาดส่องไปบนกลุ่มคนในชุดคลุมตัวยาวสีดำที่หมอบตัวต่ำอยู่ภายในถ้ำ ยิ่งเสริมความน่าขนพองสยองเกล้าให้กับพวกเขา

กลุ่มคนในชุดคลุมตัวยาวสีดำแนบหน้าผากติดกับพื้นดินไม่ขยับเขยื้อน เมื่อพิจารณาจากร่างกายและใบหน้าของพวกเขาแล้ว ก็เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาหาใช่มนุษย์เสียทุกคน บ้างก็เป็นมนุษย์หมาป่าที่มีขนขึ้นข้างแก้ม บ้างก็มีสัญลักษณ์โดดเด่นของสัตว์อสูร และบ้างก็เป็นยักษ์น้ำแข็งซึ่งกินพื้นที่เป็นวงกว้าง…

พวกเขาหมอบตัวนิ่งงันราวกับตายไปแล้ว และต่างหันหน้าไปทางแท่นบูชาที่สร้างจากกองกระดูก นักบวชผู้หนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำผู้ที่ดวงตาราวกับมีกองไฟสีซีดเต้นระบำอยู่ จดจ้องไปที่ลวดลายลึกลับที่แผ่กลิ่นไอแห่งความตายแสนเข้มข้นออกมา เช่นเดียวกับเคียวขนาดยักษ์บนแท่นบูชาที่เป็นตัวแทนของการพรากชีวิต

“การเกิดคือจุดเริ่มต้นของความตาย โชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของเรา…”

จู่ๆ นักบวชในชุดคลุมสีดำก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นและสวดภาวนาด้วยบทสวดอันคลุมเครือ กองเพลิงสีซีดพลันลุกโชติช่วงบนแท่นบูชาท่ามกลางความเงียบงัน

“การเกิดคือจุดเริ่มต้นของความตาย…”

ผู้ศรัทธาในชุดคลุมตัวยาวสีดำที่เหมือนกับซากศพในที่สุดก็ขยับตัว ร่างกายของพวกมันสั่นสะท้านภายใต้กระแสเสียงแหบพร่าของพวกมันเอง

นักบวชที่อยู่เบื้องหน้าไม่อาจดูน่าขนลุกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ความกระตือรือร้นของเขาแสดงออกมาในรูปแบบที่เย็นยะเยียบอย่างที่สุด “เมื่อเทียบกับความเป็นนิรันดร์หลังความตาย ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะมีความหมายอะไร ความมืด ความหนาวเหน็บ และความตายคือแก่นแท้แห่งชีวิตที่ไม่สิ้นสุด…”

“ท้ายที่สุดเราจักเน่าเปื่อยดับสูญ หากเพียงแต่วิญญาณของเราจะเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งความตายและการหลับใหล มันจึงจะไม่มีวันเสื่อมถอยลงช้าๆ อีก…”

ฉับพลันนั้น ดวงตาของนักบวชก็กลายเป็นว่างเปล่า “วันนี้ เราขอมอบของสังเวย และชีวิตของเรา ให้แก่ท่านเจ้า เพื่อที่ดวงวิญญาณของเราจักมีที่ให้พักผ่อนไปชั่วนิรันดร์!”

“เราขอมอบชีวิตให้แก่ท่านเจ้าเพื่อให้ดวงวิญญาณของเรามีที่พักพิง…” กลุ่มคนสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำดูเหมือนจะถูกสะกดจิตและสั่งให้ขานตอบอย่างไร้ความรู้สึก

หลังจากได้ยินคำขานรับ นักบวชก็ให้รู้สึกโล่งอกเป็นที่ยิ่ง เขาได้นำกลุ่มผู้ศรัทธาแรงกล้าในตัวท่านเจ้าอีกกลุ่มใหญ่มามอบให้ หลังจากเทศนาเรื่องความหมายที่แท้จริงของความตาย จาก ‘ประเพณีดวงวิญญาณ’ ที่ท่านเจ้ามอบให้กับเขา เขาจะได้เข้าใกล้ท่านเจ้ายิ่งๆ ขึ้นเมื่อทำเช่นนี้ และเขาก็จะสละร่างกายและดวงจิตบนโลกมนุษย์และเติบโตขึ้นเป็นผู้นำพาความตายที่แท้จริง”

เมื่อถึงตอนนั้น ชีวิตและดวงวิญญาณของเขาก็จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว เขาจะได้เป็นผู้สูงส่งเหมือนกับอัศวินและนักเวทชั้นตำนาน!

ยามคิดถึงเรื่องนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนว่าดวงไฟสีซีดแห่งความตายในหัวใจเขากำลังแผดเผาอย่างรุนแรงและแปลกประหลาดยิ่งขึ้น มันเหมือนกับจะสร้างโลกแห่งความตายอันเลือนรางขึ้นภายในสมองและรอบๆ กายเขา ซึ่งเป็นโลกที่สงบเงียบอย่างที่สุด และเปี่ยมล้นด้วยสัตว์อสูรผีดิบ

‘นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าข้ากำลังเข้าใกล้ท่านเจ้าขึ้นไปอีกขั้นจริงๆ ข้าสัมผัสถึงสรวงสวรรค์แห่งความตายอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่ข้าสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน ก็จะเป็นเวลาที่ข้าจะได้เลื่อนขั้นระดับสูงสุด!’

ในตอนนั้นเอง บรรดามนุษย์ที่หมดสติอยู่รอบๆ แท่นบูชาก็ฟื้นคืนกลับมา บางคนอยู่ในชุดหรูหรา และบางคนก็สวมชุดเกราะทำจากหนังสัตว์ พวกเขาดูไม่ต่างจากกลุ่มพ่อค้าบนดินแดนทางตอนเหนือเลย

“เจ้า…เจ้าทำอะไรน่ะ” ใครบางคนโพล่งออกมาด้วยความแตกตื่น

“พวกโจรบัดซบ เจ้าจักต้องชดใช้ที่ทำแบบนี้!” ใครบางคนยังคงเดือดดาล

“ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถิด เจ้าจะเอาสินค้ากับเงินไปทั้งหมดเลยก็ได้ การฆ่าเรามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรต่อเจ้าหรอก” ยังมีคนอื่นๆ ที่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวหลังจากที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสภาพแวดล้อม

นักบวชเงยหน้าขึ้น แล้วดวงไฟสีซีดจางก็โจนออกมาจากดวงตาสีเข้มมืดมัวของเขา ทันทีที่เห็นดวงไฟลูกนั้น เหล่ามนุษย์ก็ตัวแข็งทื่อและไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้อีก

“จงเดินไปตรงกลางแท่นบูชาแล้วสังเวยชีวิตพวกเจ้าแก่ท่านเจ้าเสีย” นักบวชออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าไร้อารมณ์

บรรดาพ่อค้าและทหารรับจ้างพลันหน้าซีดเผือดและหวาดกลัว แต่พวกเขากลับไม่สามารถต่อต้านคำสั่งของนักบวชได้เลย พวกเขายืนขึ้นราวกับถูกอะไรเข้าสิง แล้วทุกคนก็เดินไปตรงใจกลางแท่นบูชาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

ชายผู้ที่เดินตรงไปหากองไฟสีซีดเป็นคนแรกหยิบเคียวสีดำขึ้นมา มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเทา แววตาของเขาฉายชัดถึงความหวาดกลัว สิ้นหวัง และคลุ้มคลั่ง แต่มือทั้งสองข้างของเขาก็ยังคงตัดเฉือนลำคอตนเองอย่างไม่ลังเลด้วยเคียวเล่มใหญ่ที่ดูเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนัก

บาดแผลน่ากลัวพลันปรากฏขึ้นบนลำคอ แต่กลับไม่มีเลือดสักหยดพุ่งออกมา ทั้งร่างของเขาเหี่ยวลงกลายเป็นศพแห้งกรังอย่างรวดเร็ว และสิ่งโปร่งแสงบางอย่างก็เหมือนจะลอยออกจากร่างกายเขาเข้าไปในกองเพลิงสีซีดนั้น

เปลวเพลิงสีซีดพลันลุกโชน พร้อมกับที่สามารถพบเห็นรอยสีแดงจนเกือบดำได้บนขอบใบมีดของเคียวสีดำ

นักบวชรู้สึกปีติยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ มันคือประสบการณ์ที่เหนือสิ่งบันเทิงใจอื่นใดทั้งหมด แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับพละกำลังที่เพิ่มพูนขึ้นหรือของรางวัลจากท่านเจ้า เพียงความปีติยินดีนี้ก็เพียงพอจะกระตุ้นให้เขาทำพิธีกรรมต่อไปแล้ว

โลกแห่งความตายในหัวและรอบๆ ตัวเขาเริ่มชัดเจนขึ้น

“พลังบริสุทธิ์ของข้าเพิ่มขึ้น และข้าก็ได้เข้าใกล้ท่านเจ้ายิ่งขึ้น…” นักบวชส่งเสียงคราง แต่มิมีใครสังเกตเห็นถึงท่าทางควบคุมตัวเองไม่ได้นี้

เครื่องสังเวยทั้งหลายทยอยปลิดชีพตนเองไปทีละคนๆ กองไฟสีซีดยิ่งโหมกระพรือมีชีวิตชีวาจนแทบจะกระโจนออกมานอกแท่นบูชา

“มาเถิด จงแสดงความศรัทธาของเจ้า ชีวิตนั้นสั้น แต่ความตายเป็นนิรันดร์!” นักบวชหันกลับมาและประกาศกร้าวด้วยท่าทางสูงส่งเปี่ยมราศี

เหล่าผู้ศรัทธาในชุดคลุมตัวยาวสีดำต่างเปลี่ยนน้ำเสียงและตะโกนโหร้องด้วยความดีใจ “เราขอมอบชีวิตของเราให้แก่ท่านเจ้าเพื่อให้ดวงวิญญาณของเรามีที่พักพิง…”

เคียวแห่งความตายคล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศยินดีปรีดา มันส่งเสียงฮึมฮัม ก่อนจะพุ่งขึ้นจากจุดที่วางไว้และลอยขึ้นไปอยู่ใต้เพดานถ้ำใต้ดิน

“เราขอมอบชีวิตของเราให้แก่ท่านเจ้าเพื่อให้ดวงวิญญาณของเรามีที่พักพิง!”

เหล่าผู้ศรัทธาในชุดคลุมตัวยาวสีดำสวดภาวนาเสียงดังกึกก้องอีกครา แต่มันกลับมิใช่ปฏิกิริยาตอบรับอีกต่อไป กลับเป็นคำขอที่มาจากใจจริง

เคียวยักษ์ที่คมมีดกลายเป็นสีแดงเข้มดูดซับแสงสว่างทั้งหมดจนทั้งถ้ำตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงกองไฟสีซีดตรงใจกลางเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

จู่ๆ เคียวยักษ์ก็ร่วงลงมาที่กองไฟสีซีด ในตอนนั้นเอง ผู้ศรัทธาในชุดคลุมตัวยาวสีดำทุกคนก็ตัวสั่นรุนแรง ดวงตาของพวกเขาไร้ซึ่งสีสันใด ราวกับสิ่งสำคัญบางอย่างได้ถูกดูดซับจากตัวพวกเขาเข้าไปอยู่ในกองไฟ

เปลวเพลิงสีซีดแผ่ขยายและกลืนกินทั่วทั้งถ้ำอีกครั้ง ผิวหนังของเหล่าผู้ศรัทธาเริ่มเน่าเปื่อย พร้อมกับที่ดวงไฟสีแดงเข้มลุกพรึบขึ้นในดวงตาของพวกเขา จู่ๆ ทุกคนก็กลายเป็นผีดิบ!

นักบวชยิ่งตื่นเต้นดีใจมากกว่าเดิม เขาไม่อาจแยกแยะโลกแห่งความจริงจากสรวงสวรรค์แห่งความตายได้อีกต่อไป และรู้สึกได้เลยว่าดวงวิญญาณของตนได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

“ท่านเจ้าแห่งความตายผู้ยิ่งใหญ่ โปรดสุขสำราญกับเครื่องสังเวยของท่าน!” เขาตะโกนเสียงแหลม เหล่าผีดิบภายในถ้ำต่างก็ชูแขนขึ้น ทำให้ภายในถ้ำดูเหมือนกับป่ารกชัฏ

กองเพลิงลดขนาดลงและควบรวมกันจนมีขนาดเท่าคนคนหนึ่ง แต่ประตูมายากลับปรากฏขึ้นตรงกลางนั้น

ประตูถูกเปิดออก แล้วอสูรในเสื้อคลุมสีดำก็ปรากฏขึ้นบนกองไฟ เบื้องหลังอสูรคือที่ราบสูงที่มีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนลอยละล่องไปมา และใต้เท้าของมันคืออารามที่สร้างจากกระดูก

ดูเหมือนว่าอสูรตนนี้จะเป็นร่างจุติของความตายที่ไม่มีผู้ใดสามารถจ้องมอง เพราะผู้ใดก็ตามที่เห็นมันจักสิ้นชีพในทันที โชคดีที่มันไม่สามารถก้าวออกมาจากกองไฟสีซีดได้และมีโลกแห่งความตายโอบล้อมอยู่

นักบวชรู้สึกเหมือนวิญญาณของเขาไร้น้ำหนัก ทำให้เขายิ่งเสพติดความรู้สึกนี้

‘พละกำลังของข้าเพิ่งขึ้นอีกแล้ว! ดวงวิญญาณของข้าก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่าเดิม!’

อสูรในเสื้อคลุมสีดำหันมองมา แล้วจู่ๆ ดวงตาว่างเปล่าของมันก็แผ่คลื่นแปลกประหลาดออกมา จากนั้น ร่างกายของมันก็แยกออกเป็นสองร่างที่เหมือนกันทุกคนราวกับส่องกระจก แต่พลังก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยเช่นกัน

เปลวเพลิงสีซีดลุกโชติช่วงบนร่างใหม่ของอสูรแห่งความตาย ซึ่งร่างนั้นถูกกลืนกินและเชื่อมต่อเข้ากับกองไฟและแท่นบูชารอบกายมัน

หลังจากนั้น ในขณะที่อีกร่างหนึ่งของอสูรร่ายคาถาอันแปลกแปร่ง เปลวเพลิงก็ม้วนตัวรุนแรงแล้วรวมตัวกันกลายเป็นสิ่งที่หน้าตาเหมือนกับประตู ก่อนที่ประตูบานนั้นจะค่อยๆ ถูกย้อมด้วยสีแดง

ตูม!

ในตอนที่ประตูค่อยๆ ก่อร่างขึ้นมานั้น กลิ่นไอแห่งความโกลาหลและการฆ่าฟันเหนือจินตนาการก็แผ่ออกมา ส่งผลให้เกิดสายฟ้าแปลบปลาบบนท้องฟ้าที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในฤดูหนาว และถ้ำก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงจนทั้งดินแดนทางตอนเหนือสั่นไหวไปด้วย

นักบวชพลันตระหนักได้ว่าดวงวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว และโลกแห่งความตายรอบๆ ตัวกับในหัวเขาก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

‘ข้าทำสำเร็จแล้วหรือ’

ท่ามกลางความปีติยินดี เขาพร้อมแล้วที่จะหลอมรวมตนเองเข้ากับโลกแห่งความตายเพื่อให้ได้รับพลังระดับตำนาน ทว่า ฉับพลันนั้นโลกแห่งความตายก็หายวับไป ก่อนที่ก้อนเนื้อที่มีดวงตา ศีรษะ และแขนขายื่นออกมาอย่างไร้ระเบียบจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

หลังจากที่เขาเห็นก้อนเนื้อนั้น นักบวชก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขาถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง และความสามารถในการคิดของเขาก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่!!!!!!!!!”

เขากรีดร้องด้วยความประหลาดใจและหวาดกลัว ก่อนที่ร่างของเขาจะบิดเบี้ยว พร้อมกับที่หนวดสีดำหนาหนักจำนวนมากมายผุดออกมา

ในแคสวิก เมืองหลวงของแนวชายหาดทางตอนเหนือ ท่านหญิงเพลิงผลาญผุดลุกขึ้นและมองออกไปไกล นางสัมผัสได้ถึงความโสโครกและความโกลาหลสุดขีดที่แผ่พุ่งมาจากทางด้านนั้น!

“ฮัล-ชูเลีย เกิดอะไรขึ้น” นางรีบติดต่อหาฮัล-ชูเลีย ราชาแห่งชะตากรรม

ฮัล-ชูเลีย ผู้ที่ลอยตัวอยู่เหนือยอดหอคอยเวทมนตร์ ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เจตจำนงแห่งอเวจีพยายามจะมาที่โลกนี้ เราต้องหยุดมันเดี๋ยวนี้เลย ข้ารายงานเรื่องนี้ให้ทางสภาเวทมนตร์ทราบแล้ว”

ของพรรค์นี้มีเพียงมหาจอมเวทอย่างน้อยหนึ่งคนเท่านั้นที่จะรับมือได้ และเฮลเลน จากกระท่อมแห่งพาล์เมรา ก็เป็นผู้ควบคุมดูแลนครอัลลินอยู่ในตอนนี้ หากว่าเจตจำนงแห่งอเวจีมาเยือนโลกนี้จริงๆ แม้ว่าบาดแผลของมันจะยังไม่หายดี แต่มันก็ยังน่าหวั่นเกรงที่สุดอยู่ดี ครั้งนี้จะไม่มีพลังพระเจ้าเสด็จมาปราบมันกลับไปอีกแล้ว! นอกจากนี้ ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าจู่ๆ มันก็จะตัดสินใจระเบิดตัวเองและทำลายดินแดนทางตอนเหนือทั้งหมดหรือไม่

………………………………….