บทที่ 6 บทที่ 82 เด็กกำพร้า

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

หลงซีรั่วก็รู้สึกว่ากลิ่นอายในเมืองนี้ไม่ค่อยดี…ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ทำให้เซียงหลิวก่อเรื่องขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง 

 

 

 

 

 

เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันโหดเ**้ยมบนร่างของศพไร้หัว แต่ไม่ใช่ฝีมือของพวกนักพรตเหม็นบนแผ่นดินเทพพวกนั้น 

 

 

 

 

 

ซูจื่อจวินเคยพูดว่า ครั้งก่อนที่เซียงหลิ่วกลับมาได้ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มอำนาจลึกลับ 

 

 

 

 

 

“ตะขาบไม่ยอมแข็งแม้ว่าจะตาย*” หลงซีรั่วมองศพทั้งสองอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง 

 

 

 

 

 

ครั้งก่อนหากไม่ใช่เหตุเร่งด่วนเพราะซูจื่อจวินใช้กระบี่เซวียนหยวน จนเธอต้องใช้วิชาลับทะลวงขอบฟ้า อีกทั้งยังต้องใช้กำลังเต็มที่ควบคุมกระบี่เซวียนหยวนให้สงบ และสุดท้ายถูกลอบโจมตีแล้วละก็…แค่เซียงหลิ่วไม่มีทางก่อเรื่องแถวนี้ได้ 

 

 

 

 

 

“ไม่รู้ว่าครั้งนี้ทางร้านนั้นได้ทำอะไรไปบ้างหรือเปล่า” ในระหว่างที่ครุ่นคิด หลงซีรั่วก็ออกไปจากห้องเก็บศพ 

 

 

 

 

 

ตอนนี้เธอควรจะไปหาจุยเฟิงเพื่อสอบถามให้แน่ชัด 

 

 

 

 

 

“ผีเสื้อน้อยตัวนั้นยังไม่ออกจากรังไหมอีก…วุ่นวายจะตายอยู่แล้ว!” 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าในตอนนี้ใต้เท้าหลงแห่งโลกปีศาจดูยุ่งวุ่นวายมาก…วันเวลาอันสงบสุขที่เคยมีเหมือนจะหายไปในพริบตา 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

“นายพูดอะไร? ให้คนของพวกเราสลายตัว อย่างมากก็ทำได้แค่อยู่ในจุดเกิดเหตุ…แล้วยังต้องตั้งนั่งร้านด้วย? แถมใส่ชุดตำรวจไม่ได้อีก?” 

 

 

 

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อมองผู้บังคับบัญชาของตัวเอง ตบสองมือลงบนโต๊ะและตะโกนว่า “ทำไม?!” 

 

 

 

 

 

เมื่อเหล่าหลิวเผชิญหน้ากับบุคคลเพียงคนเดียวในกรมที่ตบโต๊ะแบบนี้ได้ตัวเอง เขาก็หดตัวลง มือที่จับหลังมืออยู่สั่นเล็กน้อย “เพราะถ้าพวกนายยังอยู่ก็จะทำให้การทำงานของคนงานในสนามกีฬาล่าช้า” 

 

 

 

 

 

“การทำงาน?” เซอร์หม่าคิดว่าไร้เหตุผล “ยังจะมีเรื่องอะไรสำคัญกว่าชีวิตคนอีก? เหล่าหลิว! คุณถูกลาเตะหัวมาหรือยังไง! ยังต้องทำงานต่ออีกงั้นเหรอ? ต้องหยุดงานถึงจะถูก! ถ้าทำให้หลักฐานอะไรเสียหายขึ้นมาละจะทำไง?” 

 

 

 

 

 

เหล่าหลิวใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าผากและพูดว่า “ตามเหตุผลแล้วพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด…ฉันก็มีปฏิกิริยาแบบนายนี่แหละ แต่เหล่าหม่า นายก็รู้ว่าฉันเองก็มีเรื่องลำบาก…” 

 

 

 

 

 

“ใครให้นายทำแบบนี้?” 

 

 

 

 

 

เหล่าหลิวไม่พูดอะไร เพียงแต่มองขึ้นไปด้านบน 

 

 

 

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงพูดว่า “คนเบื้องบน? ฉันว่าแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าพูดถึงว่าสถานีโทรทัศน์เลย แม้แต่นักข่าวก็ไม่มาปรากฏตัว ทั้งยังไม่มีข่าวลืออะไรหลุดรอดออกมา…ฝีมือสูงจริงๆ!” 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเหล่าหลิวก็พูดว่า “เหล่าหม่า ฉันก็ใกล้จะเกษียณแล้ว อีกไม่นานนายเองก็จะพักร้อนยาว…ระมัดระวังไว้หน่อยเถอะ” 

 

 

 

 

 

เซอร์หม่ารู้สึกว่าถึงตัวเองจะดื้อดึงต่อไปก็ไร้ประโยชน์ 

 

 

 

 

 

ในที่แห่งนี้เหล่าหลิวมีอำนาจสูงสุด การปะทะกับผู้บังคับบัญชาอย่างมุทะลุไม่เพียงไม่ใช่เรื่องดี สุดท้ายแม้แต่คดีในมือก็จะจัดการได้ไม่ดี สิ่งนี้สำหรับเขาแล้วถึงเป็นเรื่องยากลำบากที่สุด  

 

 

 

 

 

เมื่อเหล่าหลิวมองเห็นหม่าโฮ่วเต๋อไปเปิดประตูโดยไม่พูดอะไรก็รีบถามว่า “เหล่าหม่า นายอย่าทำอะไรเหลวไหลนะ!” 

 

 

 

 

 

“วางใจเถอะ!” หม่าโฮ่วเต๋อตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “ฉันจะไปย้ายอิฐที่ไซต์งาน พอจะได้ไหม?” 

 

 

 

 

 

“นี่ อย่าลำบากเกินไปล่ะ…พรุ่งนี้มากินข้าวที่บ้านฉันไหม? พวกนายสองสามีภรรยามาด้วยกัน…” 

 

 

 

 

 

ปัง! 

 

 

 

 

 

เสียงปิดประตูดังลั่น 

 

 

 

 

 

เหล่าหลิวตกใจไปชั่วขณะ ลูบหน้าอกของตัวเองและถอนหายใจ…รู้สึกว่าตำแหน่งพี่เมียนี่เขยลำบากเหลือเกิน! 

 

 

 

 

 

แต่ก็เป็นมาได้หลายปีแล้ว เป็นต่อไปอีกหน่อยก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก ญาติก็เป็นไปแล้ว ถึงไม่สนิทก็ได้สนิทแล้ว 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

ครึ่งปีก่อน 

 

 

 

 

 

สนามกีฬาดอกบัวบาน 

 

 

 

 

 

เป็นเวลาหลายเดือนหลังจากที่มีนโยบายกดดันลงมาจากโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง ทำให้ไม่ค่อยมีปีศาจน้อยมาเล่นที่นี่ในเวลากลางคืน…ยกเว้นสามคนในคืนนั้น 

 

 

 

 

 

ตอนนี้จุยเฟิงยืนอยู่ในสนามฟุตบอลด้วยท่วงท่าที่องอาจ…ต่อจากนี้จะมีการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าของกลุ่มวันรุ่น  

 

 

 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนแพ้ ฝ่ายนั้นก็ต้องยอมสยบต่ออีกฝ่าย 

 

 

 

 

 

“เสี่ยวเจียง! กี่โมงแล้ว?” จุยเฟิงถลึงตากว้างขึ้น 

 

 

 

 

 

เสี่ยวเจียงที่อยู่อีกด้านตกใจ รีบมองและพูดว่า “จุยเฟิง ตอนนี้…ใกล้จะตีสองแล้ว!” 

 

 

 

 

 

“ตีสอง!” จุยเฟิงเอ่ยด้วยความโมโหว่า “นัดกันไว้ห้าทุ่ม! ฉันรออยู่ที่นี่มาสามชั่วโมงแล้ว ชีสก็ยังไม่มา…หากมาสายก็ถือว่าแพ้ นี่เป็นเพราะไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาใช่ไหม?” 

 

 

 

 

 

“เอาอย่างนี้ไหม พรุ่งนี้พวกเรานัดชีสอีกครั้ง?” ทันใดนั้นนีนี่ก็เสนอออกมา 

 

 

 

 

 

จุยเฟิงขมวดคิ้วในขณะที่คิดจะพูดก็มองเห็นเงาร่างเล็กๆ กำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ยังไม่ถึงก็ได้ยินเสียงว่า “อา…ทุกคนขอโทษด้วย ฉันหลับเพลินไปหน่อย พอตื่นขึ้นมาก็เลยเวลานัดแล้ว ฉันคิดว่าพวกนายไปแล้ว ทำไมถึงยังอยู่กันอีก?” 

 

 

 

 

 

“หลับเพลิน?” จุยเฟิงชะงัก จากนั้นจึงพูดอย่างโมโหว่า “ชีส! นี่เป็นการแข่งขันจริงจัง แต่นายกลับหลับเพลิน! นายเห็นว่ามันเป็นอะไร?” 

 

 

 

 

 

ชีสยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ขอโทษด้วย…แต่ฉันยังจำได้ว่าถ้ามาสายก็ถือว่าแพ้ งั้นก็ถือว่าฉันแพ้แล้ว! จุยเฟิง ต่อไปนายก็เป็นหัวหน้าของพวกเราแล้ว!” 

 

 

 

 

 

“ไม่ได้! ถ้าชนะโดยไม่แข่งกันสักครั้งแบบนี้ ฉันยอมรับไม่ได้!” จุยเฟิงสบถ “ในเมื่อนายมาแล้ว ก็ทำตามที่สัญญา พวกเรามาตัดสินแพ้ชนะกันเถอะ! ไม่งั้นคืนนี้นายก็ห้ามกลับ!” 

 

 

 

 

 

“งั้น…ก็เอาเถอะ” ชีสพยักหน้า 

 

 

 

 

 

แล้วจุยเฟิงก็พูดเสียงเข้มว่า “เสี่ยวเจียง นายนับคะแนน! พวกเรายิงประตูสิบสองหลา กำหนดแพ้ชนะที่ห้าลูก…ชีส นายบุกก่อน! อย่าออมมือให้ฉัน เล่นให้เต็มที่!” 

 

 

 

 

 

“ได้” ชีสพยักหน้า 

 

 

 

 

 

แต่เขากลับพึมพำว่า…หากรู้ว่าถึงยังไงก็ต้องแข่งขันเขาน่าจะมาเร็วกว่านี้ เขาเอาลูกบอลที่ค่อนข้างเก่ามาวางบนพื้นหญ้า และตะโกนว่า “งั้น…ฉันเริ่มแล้วนะ!”  

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

ไหล่ถูกแทงทะลุ จุยเฟิงไม่เคยบาดเจ็บแบบนี้มาก่อน…ดูเหมือนมันจะเหนือกว่าความเจ็บปวดที่จุยเฟิงเคยผ่านมาทั้งหมด 

 

 

 

 

 

แต่ก่อนตอนเขาต่อสู้กับปีศาจตนอื่นๆ อย่างมากก็เลือดไหลเล็กน้อย ช้ำ หรือกระดูกหักอะไรพวกนี้ ซึ่งไม่เคยถึงขนาดนี้มาก่อน 

 

 

 

 

 

จุยเฟิงรู้ว่าตัวเองห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว 

 

 

 

 

 

บาดแผลนี้หายได้ยาก…เขาล้มอยู่ที่นี่ ด้านล่างร่างกายมีเลือดไหลออกเป็นกอง 

 

 

 

 

 

เลือดสีดำ…เกรงว่าบาดแผลคงมีพิษอันน่ากลัวซ่อนอยู่ 

 

 

 

 

 

บาดแผลบนไหล่ของจุยเฟิงไร้ความรู้สึกไปนานแล้ว แต่ความเจ็บปวดกลับค่อยๆ คืบคลานไปรอบๆ บาดแผล 

 

 

 

 

 

“อุตส่าห์คิดถึงเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความเจ็บปวด…แต่ทำไมถึงคิดไปถึงเรื่องนี้ได้?” 

 

 

 

 

 

ตอนนี้จุยเฟิงกัดฟัน ขยับร่างกาย รู้สึกว่าร่างกายเยียบเย็น ยากที่จะลืมตา 

 

 

 

 

 

เขามองดูตำแหน่งที่เขาล้มลงเพราะฝืนทนไม่ไหว…เป็นหลังตรอกที่สกปรก เอาไว้วางขยะอีกทั้งยังมืด 

 

 

 

 

 

หากมองจากตรงนี้จะเห็นท้องฟ้าเหมือนเป็นเส้นสีฟ้าสายหนึ่งเท่านั้น…เทียบไม่ได้กับดาดฟ้าที่เขาอาศัยอยู่ 

 

 

 

 

 

แต่ในสถานที่เช่นนี้ จุยเฟิงกลับรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเอง 

 

 

 

 

 

นับตั้งแต่เขารู้ความ สถานที่แรกที่เห็นก็คล้ายกับสถานที่แห่งนี้ เขาไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองอยู่ที่ไหนและตายหรือยัง 

 

 

 

 

 

สิ่งเดียวที่รู้คือเขาถูกทิ้งตั้งแต่แรก ถูกทิ้งไว้ในตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง 

 

 

 

 

 

เขาเร่ร่อนมาตลอด ตอนอ่อนแอยังเคยแย่งอาหารจากสุนัขเร่ร่อน 

 

 

 

 

 

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเร่ร่อนมาถึงเมืองนี้และพบกับคนที่ชื่อว่าหลงซีรั่ว ปีศาจเฒ่าที่เกิดมาก็ทำให้เขาเกรงกลัว สูงส่งดุจเทพเจ้า เต็มไปด้วยความเข้มงวดแต่กลับมีนิสัยแย่เล็กน้อย 

 

 

 

 

 

ต่อมาเขาถึงรู้ว่า เธอไม่เพียงแต่เป็นปีศาจเฒ่า แต่ยังเป็นมังกรที่แท้จริงแห่งแผ่นดินเทพอันสูงส่งอีกด้วย หลงซีรั่วบอกเขาไม่ให้เร่ร่อนอีก และให้อาศัยอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรอยู่ที่อื่นก็เหมือนๆ กัน แต่การอยู่ที่นี่ โอกาสมีชีวิตรอดของเขาจะมากขึ้นหน่อย 

 

 

 

 

 

จุยเฟิงรู้สึกว่านี่คือความสงสาร 

 

 

 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความรู้สึกสงสารนี้กลับทำให้จุยเฟิงรู้สึกว่ามันไร้ราคา แม้เขาจะรู้ดีว่าด้วยตำแหน่งของหลงซีรั่วนั้นจะต้องดูแลบรรดาปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน 

 

 

 

 

 

สามารถแบ่งมาให้เขาเล็กน้อยก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว 

 

 

 

 

 

แต่เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อ เพราะที่นี่อยู่รอดได้ง่ายจริงๆ 

 

 

 

 

 

ต่อมาเขาถึงพบดาดฟ้าแห่งหนึ่งจึงถือว่ามันเป็นบ้าน หลังจากนั้นเขาถึงได้รู้จักชีส นีนี่และเสี่ยวเจียง… 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

เขาเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

 

 

 

ความรู้สึกหนาวเย็นทำให้จุยเฟิงหวนนึกถึงอดีต จำไม่ได้แล้วว่าเป็นเมืองอะไร รู้แต่ว่าเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือ…เป็นวันเวลาที่เขายังคงเร่ร่อน 

 

 

 

 

 

จำได้ว่าในตอนนั้น เขาก็เหมือนตอนนี้ที่ล้มกองอยู่บนพื้น…อาการบาดเจ็บเหมือนจะไม่ได้หนักเท่าครั้งนี้แต่ก็เกือบตายเช่นกัน 

 

 

 

 

 

ครั้งนั้น…ทำไมถึงถูกตี? 

 

 

 

 

 

ถูกใครรุมตี… 

 

 

 

 

 

สายตาที่ดูเย็นชาและรังเกียจ… 

 

 

 

 

 

เขาไม่ได้ขโมยของ… 

 

 

 

 

 

คนที่ขโมยของอยู่ตรงหน้าของพวกนายชัดๆ… 

 

 

 

 

 

แต่ทำไมถึงหาว่าเป็นฉัน… 

 

 

 

 

 

งั้นถ้าฉันแย่งของพวกนายไปก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน… 

 

 

 

 

 

หนาวมากๆ… 

 

 

 

 

 

หากเชื่อคำพูดทุกคำของฉันได้… 

 

 

 

 

 

คงจะดีมาก… 

 

 

 

 

 

เขาหลับตาลง…เริ่มปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป ทุกอย่างเหมือนได้ย้อนกลับไปถึงตอนแรก วินาทีแรกที่เขาถูกทอดทิ้ง 

 

 

 

 

 

“ขอร้องล่ะ ให้เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อ…ไม่ว่าจะใช้อะไรของฉัน…ก็ได้หมด…ขอร้อง!” 

 

 

 

 

 

ตอนนั้น…ใครกำลังพูดอยู่? 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

จุยเฟิงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเข้ามาใกล้ตัวเอง…เป็นเสียงฝีเท้า เขาพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายลืมตาขึ้นนิดหนึ่งก็เห็นเพียงเงาร่างสองสายที่ดูคลุมเครือ 

 

 

 

 

 

กำลังพูดคุยกัน 

 

 

 

 

 

ผู้ชาย “ดูแล้วคงเป็นคนนี้ พาไปก่อนเถอะ” 

 

 

 

 

 

ผู้หญิง “ได้ค่ะ นายท่าน” 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

*เปรียบเทียบว่าถึงแม้คนที่มีอำนาจมากหรือกลุ่มคนล้มลงแต่อิทธิพลก็ยังคงหลงเหลืออยู่