ไสหัวไป! (4)

ที่นี่คือจวนสกุลซู เป็นเรือนหอคืนสมรสของฉู่หลิงอวิ้น แต่สถานการณ์ตอนนี้คือเจ้าสาวบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนนางก็ดันมาโผล่ที่นี่ในชุดเจ้าสาว

ฉู่หลิงซิ่วยังไม่ทันคิดถึงเหตุผลที่มา แต่ก็พอรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจึงรีบปีนลุกขึ้นแล้วดึงชายเสื้อของซูหลิน เอ่ยคร่ำครวญว่า “ซื่อจื่อ ข้าเปล่าทำนะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนเช้าพี่ใหญ่เรียกข้าเข้าไปหา ข้าดื่มชาไปแก้วหนึ่งจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”

“เจ้ายังกล้าโกหก?” จื่อซวี่เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด กำลังจะกระโจนเข้าไปตบตีแต่ถูกเด็กรับใช้ของซูหลินคว้าเอาไว้ จากนั้นนางก็ด่าฉู่หลิงซิ่วต่ออีกยก “ตอนเช้าเจ้ายังพูดจาเยาะเย้ยล่วงเกินท่านหญิงอยู่เลย เห็นชัดๆ ว่าเจ้าริษยาท่านหญิงที่ได้สามีประเสริฐ ถึงคิดแผนชั่วช้าขึ้น คิดจะเข้ามาเสียบแทน ความคิดของเจ้าช่างต่ำช้าเลวทราม เจ้าบอกมานะเจ้าเอาท่านหญิงของข้าไปไว้ที่ไหน?”

“ข้าเปล่า เจ้าเหลวไหล!” ฉู่หลิงซิ่วโวยวายเสียงดังอย่างลนลาน แต่กลับพบว่าต่อให้ตนมีร้อยปากก็ยากจะรอดจากข้อครหานี้

เหตุใดซูหลินถึงเชื่อนาง? ส่วนสาวใช้สองคนของฉู่หลิงอวิ้นนั้นก็เห็นชัดว่าเตรียมการกันมาก่อน

ดังนั้น…

ตนถูกหญิงใจอำมหิตคนนั้นเล่นงานแล้วใช่หรือไม่?

ฉู่หลิงซิ่วอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทำได้เพียงอ้อนวอนซูหลินต่อไป “ซื่อจื่อซู เจ้าต้องเชื่อข้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่…”

“ไม่รู้รึ?” ซูหลินที่เงียบอยู่นานพลันหัวเราะเสียงเย็น

น้ำเสียงฟังดูหนาวเหน็บ แสงเทียนกระทบบนหน้าเขา ส่องให้เห็นดวงหน้าที่บิดเบี้ยวไม่ได้ทรง

ฉู่หลิงซิ่วถูกสายตาคล้ายงูพิษของเขาจับจ้อง ต่อให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใด คำพูดทั้งหมดก็จุกอยู่ที่ลำคอ ไม่มีเสียงหลุดออกมาสักแอะ

สายตาของซูหลินกวาดผ่าน มองประเมินจื่อซวี่กับจื่อเหวยอีกรอบหนึ่ง

สาวใช้สองคนความจริงก็กระวนกระวายใจ นาทีนั้นได้แต่ทำเป็นสงบนิ่งสุดชีวิต จิกเล็บลงกลางฝ่ามือเพื่อให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา…

เรื่องที่เจ้านายของตนต้องการจะทำใครหน้าไหนก็ไม่อาจขัดขวาง หากว่าไปทำแผนของนางล้มไม่เป็นท่า คงจะมีเพียงความตายเป็นทางออกสุดท้าย

“ซื่อจื่อ ท่านหญิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ได้โปรด!” ไม่นานนัก ก่อนที่ความอดทนเฮือกสุดท้ายจะพังทลายลง จื่อเหวยยอมกัดฟันก้มศีรษะโขลกลงกับพื้น

ซูหลินนิ่งเงียบ

ตอนนี้เขาไม่เชื่อคำของทั้งจื่อเหวย และฉู่หลิงซิ่ว

ข้อหนึ่ง ฉู่หลิงซิ่วเป็นแค่บุตรสาวอนุที่ไม่ได้รับความสนใจในจวนอ๋องหนานเหอ ต่อให้นางมีโอกาสฉกฉวยลงมือ…

แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อาศัยกำลังของนางเพียงคนเดียวหรือ? นางสามารถทำมันได้อย่างไร้ร่องรอยหรือ? นอกเสียจากว่าภายในจวนอ๋องหนานเหอมีคนมีอำนาจอื่นหนุนหลังนางอยู่

อีกข้อหนึ่งก็คือสองตระกูลได้รับสมรสพระราชทาน ต่อให้ฉู่หลิงซิ่วมีคนและกำลังมากพอในการทำเรื่องนี้ให้สำเร็จแต่เหตุใดนางจึงเลือกที่จะทำเช่นนี้?

ในใจของซูหลินสับสันงุนงงไปหมดแล้ว

ความจริงเขาก็มองออกมาโดยตลอดว่าฉู่หลิงอวิ้นเว้นระยะห่างกับเขา ทั้งลึกๆ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงาน

ก่อนหน้าที่ราชโองการจะออกมาหนึ่งวัน เรื่องที่ฉู่หลังอวิ้นเอาเรื่องความตายของตัวเองมาต่อรอง แม้จวนอ๋องหนานเหอจะสั่งให้ปิดข่าว แต่ก็ปิดฉู่สวินหยางได้ไม่มิด ด้วยการเคลื่อนไหวบางอย่างข่าวจึงถูกส่งไปถึงหูของซูหลิน

แม้ว่าเบื้องหน้าฉู่หลิงอวิ้นจะทำทุกอย่างเป็นปกติ แต่จะให้ซูหลินไม่คิดอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยหลายปีที่ผ่านมาหัวใจเขาหมกมุ่นอยู่กับความหวังที่จะได้ฉู่หลิงอวิ้นมาครอบครอง เขาจึงบอกตัวเองให้หลบเลี่ยงไม่รับรู้ประเด็นเหล่านั้น จนเกิดปัญหาขึ้นอย่างตอนนี้…

เมล็ดพันธุ์แห่งความเคลือบแคลงที่อยู่ในใจพลันแตกดอกออกผล กลายเป็นความเกรี้ยวกราดเทียมฟ้า

ถูกต้อง ฉู่หลิงอวิ้นมีแรงจูงใจที่จะทำเรื่องแบบนี้  เพียงแค่เขากล่อมตัวเองให้ไม่เชื่อก็เท่านั้น!

อยู่ๆ ซูหลินก็หัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง

เขาสะบัดชายชุดคลุมแล้วลุกขึ้นจากเตียง สาวเท้ายาวออกไปด้านนอก

“ซื่อจื่อ…” จื่อเหวยกับจื่อซวี่พลันกระซิบพร้อมกัน

ซูหลินเดินไปได้สองก้าว หลุบตาลงมอง พลันรู้สึกว่าชุดมงคลสีแดงดังเปลวเพลิงตัวนี้ ช่างตอกย้ำความอัปยศให้ลึกแทรกมากขึ้นกว่าเก่า

ซูหลินยกมือกระชากชุดเจ้าบ่าวจนขาดแล้วเขวี้ยงลงพื้นสุดแรง เท้าเหยียบผ่านเศษผ้าขาดวิ่นไปอย่างไม่เหลือความอาลัย ทางหนึ่งก็เอ่ยเสียงเย็นชาน่ากลัวว่า “พาตัวคนพวกนี้ไปให้หมด ขบวนคนที่ไปรับเจ้าสาวยังอยู่ครบใช่ไหม? ไปเรียกมาให้ข้า ไป…ไปจวนอ๋องหนานเหอ!”

ไม่ว่าคราวนี้จะเป็นฝีมือของใคร มันก็คือการตบหน้าจวนอ๋องหนานเหออย่างชัดเจน หากว่าเขายอมกล้ำกลืนฝืนทน จะเอาหน้าที่ไหนไปยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางอีก?

ต่อให้เป็นฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่อาจละเว้น ใครหน้าไหนก็ไม่อาจล้อเขาเล่นได้ทั้งนั้น!

วินาทีนั้น เรือนหอที่สนุกคึกครื้นเหมือนเปลี่ยนเป็นสุสานฝังศพ ลมยะเยือกกลางเหมันต์ พัดผ่านประตูใหญ่ที่เปิดอ้า เปลวเทียนที่เริงระบำพลันไหววูบ…

แล้วดับพริบ!

เมื่อทุกอย่างนิ่งเงียบ หลายชีวิตที่อยู่ตรงนั้นพลันใจเคว้งหวาดกลัว

แม้แต่พวกจื่อเหวยเองก็คิดไม่ถึงว่าซูหลินจะเกรี้ยวกราดถึงปานนี้ แม้ว่าพวกนางจะโยนหมากออกไปว่าท่านหญิงไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่สิ่งที่คนผู้นี้ต้องการตามคืนกลับมา…

กลับเป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของเขามากกว่า!

หรือมีปัจจัยอื่น ที่อยู่นอกเหนือการคำนวณของท่านหญิง?

เรื่องราวครานี้…

จะจบลงอย่างราบรื่นได้จริงๆ หรือ?

ร่างของสาวใช้ทั้งสองสะท้านสั่นกลางลมหนาว องครักษ์เข้ามาจากด้านนอก จับสองคนมัดมือไพล่หลัง ส่วนฉู่หลิงซิ่วก็ถูกคนหิ้วปีกขึ้นเหมือนนกตัวน้อยๆ ยัดกลับเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาวที่ใช้ไปเมื่อตอนบ่าย

ผู้ร่วมขบวนยังเป็นคนเก่า เพียงแค่ไม่มีเสียงตีฆ้องร้องปาวอีกต่อไป

ซูหลินพลิกกายขึ้นม้า สีหน้าเคร่งเครียด ทั่วร่างมีกลิ่นไอสังหารปกคลุม ส่งสัญญาณมือพร้อมสั่งว่า “ไป!”

ขบวนคนและม้าออกเดินทางด้วยท่าทีดุดันโหดร้าย เพิ่งจะยกเท้า ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากใครบางคนซึ่งอยู่กลางความมืด

มันทั้งบางเบาและรางเลือน

คล้ายกับความฝันที่ลอยผ่าน ไม่อาจจับต้อง

แม้แต่ฉู่สวินหยางที่แอบดูความสนุกอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แถวๆ นั้น กับเหยียนหลิงจวินยังอดจะหน้าเครียดขึ้นมาไม่ได้

จากนั้นเสียงเพลงหวิวหวานก็ลอยลมมา

ทุกคนต่างหันไปมองเบาะแสเล็กๆ นี้โดยไม่ต้องนัดหมาย…

ด้านตรงข้ามเยื้องกับจวนสกุลซูคือวัดหลวงที่ถูกทิ้งร้างของราชวงศ์ก่อน ตำหนักโอ่อ่าที่เคยถูกกราบไหว้บูชามานับหลายร้อยปี บัดนี้ทรุดโทรมเสียหาย ประตูใหญ่ถูกปิดตาย มีฝุ่นเกาะกรังจับแน่นเพราะไม่ได้เปิดใช้มาหลายปี

ประตูใหญ่สกุลซูจะตรงกับชายคาโค้งของซุ้มประตูใหญ่วัดหลวงพอดี ประตูบานนั้นสูงตระหง่าน หน้าประตูกว้างขวาง ตะไคร่เขียวเติบใหญ่ไล่ไปตามแนวกระเบื้องของชายคาที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเส้นโค้งอันวิจิตร ยังมีเครือเถาวัลย์ที่สะบัดเคลื่อนตามแรงลม

มุมทั้งสี่ภายใต้ชายคามีกระดิ่งทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่แขวนไว้ ถูกเคี่ยวกรำด้วยลมฝนมาหลายร้อยปี ภายในตอนนี้กลายเป็นสนิมไปหมด ไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้มาหลายปีแล้ว คัมภีร์สันสกฤตที่สลักไว้ด้านนอกก็ถูกลมกัดกินไปพอสมควร มองอะไรๆ ไม่ค่อยจะออกแล้ว

เวลานี้ มีหนึ่งคนนั่งชันเข่าสบายอารมณ์อยู่ด้านบนของหลังคา

ชุดสีมืดสนิท ผมดำถักเปีย บนศีรษะมีหมวกผ้าโปร่งสีเข้มปิดลงมาครึ่งหน้า พอลมพัดผ่าน โฉมหน้าที่ถูกปกปิดไว้เบื้องหลังก็เปิดออกมาให้เห็นเสี้ยวหนึ่ง

ปลายคางได้รูป ริมฝีปากที่คาบใบไม้แผ่นบางซึ่งตีจากทองคำกำลังเป่ามันให้เป็นเพลงช้าๆ ท่วงทำนองฟังแปลกหู ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน

ไม่ซึ่งไอสังหารแผ่พุ่ง มีแต่ความแปลกประหลาดไม่อาจชี้ชัด

แต่การที่คนประเภทดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นในเวลาและสถานที่เช่นนี้ ก็ทำให้คนตั้งท่าระแวดระวังได้แล้ว

มือของซูหลินกับองครักษ์ข้างกายของเขาวางลงบนด้ามดาบอย่างไม่รู้ตัว เตรียมพร้อมรับมือการจู่โจมของเขาทุกเวลา

“เจ้าเป็นใคร?” ซูหลินแผดเสียงกร้าวถามอย่างไม่ไว้ใจ

คนผู้นั้นคล้ายไม่มีความสนใจจะแสดงดนตรีต่อหน้าผู้คน จึงดึงใบไม้สีทองเสียงเหมือนขลุ่ยที่ดึงดูดสายตาของทุกคนออกจากปาก แล้วแสยะยิ้มให้ทีหนึ่ง

“ไสหัวไป!” วินาทีต่อว่า เสียงเฉื่อยช้าก็เปล่งคำลอดออกมาสามคำ

ผ้าโปร่งพริ้วไหวโดยไร้ลม ตอนที่มันเปิดขึ้นเผยให้เห็นมุมหนึ่งอันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนของบุรุษเพศ

ดวงตาของเขากระจ่างใส แต่ก็มีเงามืดลึกซึ้งซุกซ่อนอยู่ ประกายสุุกใสยิ่งขับเน้นพลังที่แข็งกร้าวดุดัน จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

โฉมหน้าใต้ผ้าโปร่งเปิดให้เห็นเพียงแค่แวบเดียว ก่อนจะถูกความมืดมิดคลุมทับอีกครั้งหนึ่ง

ซูหลินสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอดอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกคุ้นเคยกับนัยต์ตาใต้ผ้าที่เผยให้เห็นแม้จะเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน?

ซูหลินทางนี้เหม่อลอยไปสักพัก ระหว่างที่พูด ใบไม้สีทองต้นกำเนิดเสียงที่ถูกคีบอยู่ระหว่างสองนิ้วก็ชี้ตรงไปหาเกี้ยวมงคลสีแดงซึ่งห่างออกไป…

“เกี้ยวหลังนั้น ยกมันกลับไปไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้!”

————————————————————————