เอาคืน (1)

“เกี้ยวหลังนั้น ยกมันกลับไปไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้!” เขาเอ่ยซ้ำอีกรอบ

แค่ไม่กี่คำ แต่ทำนองที่เปล่งออกมา…

ช้า ทั้งยังเฉื่อย เป็นน้ำเสียงของการออกคำสั่ง

แผ่นสีทองที่ปลายนิ้วสะท้อนแสงระยับภายใต้จันทรา พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ…

มันเป็นการข่มขู่!

สายตาระวังภัยของซูหลินจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา เอ่ยเสียงเข้มว่า “ถือสิทธิ์อะไร?”

คนผู้นั้นไม่ตอบ แต่ท่าทางชี้นิ้วกลับไม่เปลี่ยนหนี ภาพใบไม้แผ่นทองบางเฉียบที่แน่นิ่งอยู่ตรงปลายนิ้วให้ความรู้สึกแปลกตากับผู้คนเป็นที่สุด ใบไม้บางๆ ผนึกไอสังหารคลุ้งพร้อมจะเอาชีวิตของใครตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น

ซูหลินในตอนนี้เดือดดาลหนัก ย่อมไม่มีอารมณ์มาหยุดพิรี้พิไรกับเขา แสยะยิ้มเย็นให้ทีหนึ่งแล้วโบกมือสั่งเป็นการตัดบทว่า “ไป! ไปจวนอ๋องหนานเหอ!”

ที่นี่คือเมืองหลวง และใต้ฝ่าเท้าของเขาก็คือประตูหน้าจวนซึ่งมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ถ้าถูกคนทำให้ตกใจขวัญหนี ต่อไปเขาจะมีหน้าไปพบใครอีก?

องครักษ์รับคำสั่ง รีบร้องสั่งให้เคลื่อนขบวน

ฉับพลันก็เกิดเรื่องขึ้นทันที

ใต้แสงจันทร์กระจ่าง แสงสีทองอ่อนถูกส่งออกจากปลายนิ้วของบุรุษผู้นั้นราวกับสายฟ้า

เงาแสงวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด เป้าหมายคือใบหน้าของซูหลิน

เพราะว่าระยะห่างของสองคนไกลกันมาก สิ่งที่เขาส่งออกมาก็เป็นเพียงใบไม้สีทองบางๆ แผ่นหนึ่ง ซูหลินเดิมไม่ได้ใส่ใจ เวลานี้เมื่อคิดจะหลบจึงไม่ทันการณ์เสียแล้ว

แสงทองนั้นวิ่งเร็วเหมือนดาวตก มันมาพร้อมเสียงหวีดร้องกลางอากาศ

ซูหลินทำได้เพียงเบี่ยงหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงลมที่วิ่งผ่านแก้มไปพร้อมๆ กับความเจ็บแปลบ ตอนที่เหลือบตามองก็เห็นแสงสีทองนั้นพุ่งผ่านม่านเกี้ยวสีแดงแล้วทะลุออกทางฉากกั้นด้านหลัง ถึงจะอย่างนั้นพลังของมันก็ไม่ผ่อนลด สุดท้ายเกิดเป็นเสียงจึกเบาๆ ทีหนึ่งปักเข้าที่กลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปห้าจั้ง

ใบไม้ฝังลึกลงไปสามส่วน

พลังดรรชนีระดับนี้ ชวนให้หัวใจของทุกคนเย็นเยือกด้วยความขลาดกลัว

ซูหลินคิดไม่ถึง ระหว่างที่กำลังตกตะลึงก็สัมผัสได้ถึงของเหลวเหนียวๆ ที่ไหลลงมาจาแก้ม รู้สึกคันนิดๆ

เขายกมือเกาตามสัญชาตญาณ…

แสงจันทร์ส่องให้เห็นเลือดสดๆ บนนิ้วของเขา

แก้มซ้ายของเขาถูกใบไม้แผ่นนั้นบาดจนเลือดซึมเป็นแผลยาว

นี่คือมีดใบไม้บิน…

คนผู้นี้คือ…

ซูชิงสุ่ย!

ฉู่สวินหยางตกใจอย่างหนัก ดวงหน้าเปลี่ยนสีทันที

เลือดในกายคล้ายจะผนึกแข็ง ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าต่างทะลักเข้ามาในสมอง นางรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่พวกซูหลินกำลังชุลมุนกระโดดผลุบลงไปทันที

เหยียนหลิงจวินไม่ทันตั้งตัว ตอนที่ยื่นมือจะดึงนางไว้ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว

เห็นเพียงร่างเงาของนางเคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว

เหยียนหลิงจวินนิ่งอึ้ง ก่อนจะเร่งพลังตามไปด้วยความเร็วสูงสุด

ฉู่สวินหยางหยางมาถึงใต้ต้นไม้ต้นนั้น ตอนที่เคลื่อนตัวผ่านก็ยกมือดึงใบไม้ที่ฝังอยู่หายเข้าไปใต้แขนเสื้อ

ด้วยกระบวนท่าเหล่านี้ทำให้ความเร็วของนางลดลง เหยียนหลิงจวินถึงตามมาทัน วาจาไม่เอ่ยเอื้อนก็คว้าเอวบางพานางเข้าไปหลบในตรอกฝั่งตรงข้าม

ท่วงท่าของคนสองคนว่องไวนัก แม้จะไม่มีใครทันสังเกต แต่บนชายคานั้น ซูอี้เห็นทุกอย่างจากด้านบนได้ชัดเจน

ฉู่สวินหยางเสี่ยงอันตรายไปชิงเก็บมีดใบไม้บินของเขา?

เพื่ออะไร?

เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เพราะไม่มีเวลาคิดมาก จึงรีบดึงความสนใจกลับมา

ทางด้านซูหลินก็เต็มไปด้วยความสับสนลังเล จนไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวด้านหลัง ตอนนี้ไม่กล้าประมาทอีก ตวาดเสียงออกมาว่า “มือธนู!”

คนสนิทข้างกายเขาพลันได้สติ คิดจะเข้าไปเรียกคน ทว่าเท้าชักออกเพียงครึ่งก้าวลำแสงสีทองก็พุ่งผ่านอากาศมาอีก เสียงลมหวีดร้องแหลมชัดปัดผ่านหน้าผากเขาไปเพียงเส้นยาแดง

โลหิตที่ไหลเวียนในร่างของเขาชะงักนิ่ง ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียว

เสี้ยวนาทีถัดมา ปอยผมกระจุกหนึ่งร่วงลงช้าๆ หล่นอยู่บนใบหน้าเขา

“ลูกไม้ชั้นต่ำ!” ซูหลินกดเพลิงโทสะภายใน กระตุกยิ้มทีหนึ่ง แล้วควักลำไม้ไผ่สวยชิ้นเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ นิ้วมือเกี่ยวช่องลับๆ บนนั้น กำลังจะยิงสัญญาณขึ้นฟ้า

บนชายคา ได้ยินเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ของบุรุษ

เพียงสะบัดมือ ด้านบนของหลังคาก็มีมือธนูเกินสิบคนปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องราวกับห่าฝน ธนูเหล็กดูน่าครั่นคร้าม  ทุกคนต่างเล็งเป้าไปหาซูหลินผู้นั่งโดดเด่นอยู่บนหลังม้า

“เจ้าจะเรียกกำลังเสริมก็ได้ แต่หน้าที่ของพวกนั้นก็ได้แค่มาเก็บศพเจ้าเท่านั้นแหละ!” ที่ด้านบน ซูอี้นั่งนิ่งไม่ขยับ น้ำเสียงยังคงราบเรียบอ่อนโยน

ดวงหน้าของซูหลินเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ นิ้วมือใต้แขนเสื้อกำแน่นเป็นเสียงกรอบ

ต่อให้คนของเขาจะสังหารพวกคนร้ายให้สิ้นซากได้ แต่ถ้าเขาตายไปก่อนก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย

ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่ามันคือการข่มขู่ เวลานี้เขาทำได้เพียงโอนอ่อนผ่อนตาม

เพราะว่า…

เขาไม่อาจเสี่ยง

และไม่ต้องการ…

ที่จะเสี่ยงอันตรายนี้

ซูหลินสูดหายใจลึกเพื่อกดเพลิงโทสะในใจ สายตาเย็นชาอำมหิตจ้องเขม็งที่ดวงหน้าหลังผ้าโปร่งดำมืด เค้นเสียงลอดฟันว่า “เจ้าต้องการอะไร?”

ซูอี้ไหวศีรษะไปมา หัวเราะน้อยๆ “ง่ายมาก ยกเกี้ยวหลังนี้กลับเข้าไปเสีย”

ซูหลินหันกลับไปมอง นัยน์ตาเบื้องลึกมีเงาอาฆาตวูบผ่านแล้วหายไป พร้อมกับเข้าใจอะไรได้ถึงบางสิ่ง ถึงเอ่ยคำพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เจ้าคิดจะหยุดข้าไม่ให้ไปเอาเรื่องที่จวนอ๋องหนานเหอ เจ้าเป็นคนของจวนนั้นรึ?”

นอกจากว่าเป็นคนของจวนอ๋องหนานเหอ เกรงว่าจะไม่มีใครอาจหาญถึงขั้นนี้ กล้าทำร้ายเขาถึงหน้าประตูจวนสกุลซู ทั้งยังใช้วาจาข่มขู่ไม่กลัวเกรง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูหลินถึงได้ปักใจเชื่อในข้อที่ว่า…

เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของฉู่หลิงซิ่วเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน มั่นใจได้เก้าในสิบว่าเป็นแผนที่จวนอ๋องหนานเหอคิดจะใช้จัดการเขา

ซูหลินคิดไป ไฟในใจก็ยิ่งโหมลุก เอ่ยเสียงกร้าวว่า “เจ้าคิดว่าถ้าวันนี้หยุดข้าได้ แล้วเรื่องนี้ก็จะจบง่ายๆ เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นรึ? เจ้าจะมีปัญญาเฝ้าประตูจวนข้าได้สักกี่วัน?”

“ใครว่าข้าจะหยุดเจ้า?” ซูอี้ไม่คิดเช่นนั้น เขายืนขึ้นพลางปัดชุดที่อยู่บนตัว ร่างสูงที่ยืนเด่นใต้แสงจันทร์ดวงกลมให้อารมณ์ลึกลับและเป็นปริศนาแก่ผู้ที่ได้เห็นอย่างที่สุด

บนหลังคากระเบื้อง เขายืนตะหง่านพลางมองลงมาด้านล่าง เอ่ยว่า “พวกเจ้าอยากจะทำอะไร จะไปที่ไหน ข้าไม่ยุ่ง แต่ว่าเกี้ยวหลังนั้นจะออกจากจวนไม่ได้เด็ดขาด”

ความสนใจของเขาคล้ายจะพุ่งไปที่เกี้ยวหลังนั้นทั้งหมด

ซูหลินพลันโง่งม หันขวับกลับไปมองอีกรอบหนึ่ง

หากว่าเขาไม่อาจพาตัวฉู่หลิงซิ่วกลับไปส่งที่จวนอ๋องหนานเหอให้เร็วที่สุด แล้วข่าวไปถึงหูเบื้องบนเข้าการเคลื่อนไหวใดๆ คงเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะพลิกผันเช่นไรก็ยากจะคาดเดา

ซูหลินพะว้าพะวงไม่อาจตัดสินใจ

ซูอี้คอยได้พักหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่รุกไม่ถอยก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ข้านั้นมีเวลารอให้เจ้าพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หากตอนนี้เจ้าไม่ไปเสียทีงานเลี้ยงที่จวนอ๋องหนานเหอทางนั้นคงใกล้จะเลิกแล้ว”

หัวใจของซูหลินกระตุก แต่การถูกผู้อื่นบีบบังคับเช่นนี้ทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้เลย

เขาไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว

แต่ว่า…

“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซูหลินเปิดปากถามอีกครั้งเมื่อได้สติ

ซูอี้อยู่ในสถานะเป็นต่อ ย่อมไม่ตอบคำถามเขาเพียงฉีกยิ้มให้ช้าๆ “สักวันหนึ่ง เจ้าจะรู้เอง รีบร้อนไปไยเล่า?”

ซูหลินมองออกในที่สุด คนผู้นี้ไม่มีทางให้ใครมาบังคับข่มขู่ หลังจากคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็โบกมือสั่งเสียงเย็นว่า “ยกเกี้ยวกลับเข้าไป เฝ้าคนไว้ให้ดี ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ก็แล้วกัน!”

“ขอรับ ซื่อจื่อ!” คนหามเกี้ยวสามสี่คนรับคำอย่างกลัวๆ แบกเกี้ยวกลับเข้าประตูไปอีกครั้งด้วยมือเท้าลนลาน

ซูหลินเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาสลัวอีกครั้งอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็สะบัดมือแรงๆ “พวกเราไป!”

เหล่าองครักษ์พาตัวจื่อซวี่กับจื่อเหวยที่ถูกมัดมือไพล่หลังไป ทหารคุ้มกันเข้มงวด ออกตัวเคลื่อนขบวนไปทางจวนอ๋องหนานเหออย่างรวดเร็ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความคุกคามเขย่าขวัญ เทียบกับตอนแรกแล้วดูจะยิ่งตึงเครียดขึ้นมาหลายเท่า

ซูอี้ก็รักษาวาจา ไม่ได้ขัดขวางตามที่ลั่นคำไว้ เพียงมองกลุ่มคนรีบร้อนเลื่อนห่างออกไป

จากนั้น ก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณมือบอกให้ล่าถอยไป

มือธนูสิบกว่าคนหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง

ตัวเขากลับทิ้งกายลงจากหลังคา ย่างเท้าในตรอกถนนมาหยุดลงหน้าจวนสกุลซูซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดึงใบไม้สีทองที่ปักอยู่บนกำแพงกลับคืน ตอนที่หมุนกายจากมาก็ชะงักเท้าที่หน้าต้นไม้ต้นนั้น นิ้วมือปัดผ่าน ลูบไล้บาดแผลที่ทิ้งรอยไว้ด้านบนพักใหญ่ก่อนจะถอนมือออกมาอย่างครุ่นคิด

จากนั้นปลายเท้าแตะพื้นแผ่วเบา นำพาทุกสิ่งสรรพหายไปจากวัดหลวงที่ถูกทิ้งร้างอย่างไร้ร่องรอย