ตอนที่ 178 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 178 คืนดี (5)

             ในบาร์ เสียงโลหะหนักกระทบแก้วหูโดยตรง มันรุนแรงจนศีรษะแทบจะระเบิด ตัวโน้ตที่ทรงพลังยังคงแพร่กระจายอยู่ภายใต้ชั้นผิวหนังที่บอบบางอย่างไม่ลดละ เหล้าที่ไหลลงกระเพาะอาหารอย่างต่อเนื่องนั้นระคายเคืองจนพุ่งไปที่จมูก และดวงตาก็เปียกชื้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว

            “ลู่เยี่ยจิ่ง ฉันหาคุณอยู่ตั้งนาน” ลู่เซิงคว้าขวดเหล้าที่อยู่ในมือของเขาขว้างไปที่พื้น ก้มตัวลงและจ้องมองเขา “คุณเป็นอะไรไป? พ่อแม่ตามหาคุณนานแล้ว”

            “ไม่มีอะไร” ลู่เยี่ยจิ่งเอนตัวอยู่บนโซฟา ยกแขนขึ้นปิดบังดวงตาของตัวเอง แสงไฟที่อยู่เหนือบาร์เปลี่ยนสีสลับกัน

            ถ้าไม่มีอะไรทำไมมาเมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ ลู่เซิงเงยหน้า มือออกแรงโดยไม่รู้ตัวแล้ว

            แม้เขาจะไม่พูดว่าระยะหลังนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าเธอก็รู้ดี เธอเคยนึกถึงสาเหตุความเศร้าโศกของลู่เยี่ยจิ่งแต่กลับปฏิเสธมันเรื่อยไปเรื่อยไป…

            สุดท้ายมันเป็นเพราะเหตุผลนี้จริงเหรอ?

            ลู่เยี่ยจิ่ง หรือว่าคุณชอบอี้เป่ยซีแล้วจริงๆ?

            คุณเกลียดเธอขนาดนี้ เธอพาพ่ออันเป็นที่รักของคุณไป ทำไมคุณถึงถูกเธอทำให้สับสนได้ ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอทำลายชีวิตของคุณอีกเด็ดขาด

            ลู่เซิงดึงไอชั่วร้ายในตัวกลับมา “เยี่ยจิ่ง พวกเรากลับกันเถอะ พ่อแม่เป็นห่วงคุณแล้ว”

            “เป็นห่วงผม? พวกเขามีแต่เป็นห่วงลูกชายของตัวเอง แต่ไม่ใช่ผมลู่เยี่ยจิ่งคนนี้”

            “คุณไม่ใช่ลูกชายของพวกเขาหรือไง? เยี่ยจิ่ง คุณเมาแล้ว ฉันประคองคุณกลับไปดีไหม” เธอเพิ่งจะยื่นมือออกไปก็ถูกลู่เยี่ยจิ่งคว้าไว้อย่างแรง เงยหน้าขึ้นก็สบสายตาที่ดุร้ายคู่นั้น ร่างกายที่อ่อนแอของลู่เซิงอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว

            “เยี่ยจิ่งคุณทำฉันเจ็บนะ” ลู่เซิงขมวดคิ้วบิดข้อมือของตัวเอง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกจากพันธนาการของเขาได้ “เยี่ยจิ่ง”

            “ลู่เซิง อย่ามาเล่นลูกไม้อะไรอีก ผมจับตามองคุณอยู่ตลอดเวลา” เขาปล่อยมือ มองเธอจากเบื้องบนราวกับจักรพรรดิที่มองผู้หญิงอัมพาตอ่อนแอบนพื้น คลื่นในกระเพาะอาหารทำให้เขาขมวดคิ้วและแสดงอาการหมดความอดทนเล็กน้อย

            “ลู่เยี่ยจิ่ง ฉันทำผิดอะไรคุณถึงทำแบบนี้กับฉัน?” น้ำตาของลู่เซิงไหลพราก เธอกัดริมฝีปาก มองลู่เยี่ยจิ่งอย่างมีเสน่ห์และดื้อรั้น

            เสียงหัวเราะเย็นชาหลุดออกมาจากริมฝีปากบอบบางและเย็ยเยียบ “ทำอะไรเหรอ? ลู่เซิงคุณนี่ร้ายไม่เบา ถ้าหากไม่ใช่พ่อของคุณ ผมเกรงว่าจนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้ความจริง”

            ขนตาของลู่เซิงสั่นไหวรวดเร็ว “คุณไปฟังข่าวลือมาจากใครกันแน่ เยี่ยจิ่ง หลายปีมานี้ฉันเป็นยังไง คุณก็น่าจะรู้ดี ทำไมคุณถึงยอมเชื่อคนอื่น แต่ไม่ยอมเชื่อฉัน?”

            “เพราะผมเชื่อใจคุณมากไป ลู่เซิง” เขาดูเหมือนกำลังกัดฟันกราม เส้นเอ็นที่หน้าผากก็เต้นตุบๆ ในน้ำเสียงยิ่งมีความข่มขู่กระหายเลือด “คุณควรอธิษฐานว่าตัวเองไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้จะดีที่สุด แล้วก็ให้พ่อตัวดีของคุณปกป้องคุณให้ดี ไม่งั้นบ้านลู่ของผมจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่นอน” ลู่เยี่ยจิ่งลุกขึ้น มองเธอด้วยความรังเกียจ จัดแจงสูทของตัวเองแล้วก้าวยาวๆ ออกไป

            ลมยามค่ำคืนลมอยู่บนตัวของลู่เยี่ยจิ่ง หัวที่ร้อนผ่าวสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวประคองกำแพง อดไม่ไหวอาเจียนออกมา ของเหลวเยือกเย็นบางอย่างไหลตามแก้มแล้วร่วงลงสู่พื้น

            ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ…

            ลู่เยี่ยจิ่งพิงตัวและศีรษะอยู่บนผนัง มองไปยังแสงจันทร์ที่เหมือนกับสายน้ำ เขานึกถึงเมื่อสามวันก่อนอีกครั้ง ผู้ชายที่เกรี้ยวกราดคนนั้น…

            “ทำไม จะมาลงโทษฉันเหรอ?” ลู่เยี่ยจิ่งปิดหนังสือ เก็บเข้าด้านในสุดของลิ้นชักชั้นกลาง “โมโหอะ…”

            ลั่วจื่อหานหัวเราะเย็นชา โยนกระเป๋าเอกสารในมือลงตรงหน้าเขา “บ้านพวกนายนอกจากลู่เยี่ยหวาแล้วก็ไม่มีใครเหลือจริงๆ”

            “นายหมายความว่าไง”

            “หมายความว่ายังไงนายดูก็รู้แล้ว ลู่เยี่ยจิ่ง” ลั่วจื่อหานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน “นายเป็นเหมือนพี่ชายนายจะดีที่สุด มีความสามารถหน่อย ไม่งั้นนายจะเล่นเกมส์ช่วงหลังไม่สนุกแล้ว”

            ใบหน้าของลู่เยี่ยจิ่งยังคงนิ่งเฉย เมื่อมองไปที่หน้าซองเอกสาร ฝ่ามือก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นเหงื่อบางๆ ทันที เขามองลั่วจื่อหานอย่างเหลือเชื่อ มองเห็นความมั่นใจและสีหน้าดูหมิ่นของเขา สิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดสั่นคลอนในพริบตา

            เขาคิดผิดมาตลอดหลายปีนี้งั้นเหรอ?

            ไม่ เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเพียงแผนของลั่วจื่อหานก็เท่านั้น

            “ก็แค่กระดาษไม่กี่แผ่น นายจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง”

            “หึ แค่คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนายก็เชื่อหมดใจแล้ว กระดาษไม่กี่แผ่นพวกนี้ก็พอสำหรับนายแล้วไม่ใช่เหรอ?”

            “ลั่วจื่อหาน!”

            “พ่อแม่ของนายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไปถามพวกเขาก็ได้?”

            “แล้วก่อนหน้านี้ทำไมนายไม่พูด ทำไมไม่บอกอี้เป่ยซี?”

            เมื่อลั่วจื่อหานได้ยินคำว่าอี้เป่ยซี ความอ่อนโยนผ่านวูบในดวงตา “ต่อให้ฉันบอกเขา เขาก็คงคิดแค่ว่ามันเป็นวิธีที่ฉันปลอบเขา”

            ลู่เยี่ยจิ่งละสายตาตัวเอง หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา ราวกับว่ามีของที่หนักเป็นตันกดทับเขาทำให้หายใจไม่ออก เขาบีบมุมเอกสารแน่น ข้อนิ้วกลายเป็นสีขาวเล็กน้อย

            “นายจะไปตรวจสอบเรื่องทั้งหมดเองก็ได้”

            “นายรู้ตั้งแต่เมื่อไร?”

            ลั่วจื่อหานเม้มปาก ตั้งแต่เมื่อไรเหรอ ที่จริงเขารู้ตั้งนานแล้ว ในตอนแรกรู้สึกว่าเรืองนี้มีเงื่อนงำเล็กน้อย จึงส่งคนไปตรวจสอบแล้ว

            แต่เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง จึงไม่ได้บอกคนอื่น

            “ก็ตามที่พูด”

            จู่ๆ ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะ “ลั่วจื่อหาน นายนี่ความพยายามสูงจริงๆ ถ้าเป่ยซีรู้เรื่องนี้ล่ะก็จะเป็นยังไง? จะคิดกับนายยังไง? นายปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานขนาดนั้นเพื่อให้ได้เข้าใกล้เขา ตกลงว่านายชอบเขาจริงเหรอเปล่า?”

            “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย” ลั่วจื่อหานหันหลังออกไปจากห้องทำงานของเขาโดยไม่หันกลับมามอง

            วันนั้นที่เพิ่งได้เจอกับอี้เป่ยซี เขาก็รู้ความจริงแล้ว ตอนนั้นคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา การทำผิดต่อลู่เซิงก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงปล่อยมันไว้อย่างนั้นแล้ว

            หลังจากนั้น…

            ดวงตาเขาเป็นประกาย ถ้าหากในใจของเธอไม่ได้มีความรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา บางทีเธอกับอี้เป่ยเฉินก็อาจจะเดินไปด้วยกันแล้วสินะ…

            บนใบหน้าของลั่วจื่อหานมีรอยยิ้มขมขื่น

            คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาก็ยังเลือกที่จะทำร้ายเธอเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรักษาเธอไว้ในปีที่โหดร้ายของตัวเอง

            ถ้าหากเป่ยซีรู้ล่ะก็ บางทีก็จะไม่สนใจเขาจริงๆ ก็ได้

            เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น…

            วินาทีที่ลิฟท์เปิด ลั่วจื่อหานก็เก็บความกังวลใจของตัวเอง เสียงเรียกเข้าสบายๆ ดังอยู่ในกระเป๋า

            “ฮัลโหล”

            “ศิษย์พี่ อาจารย์…เหมือนจะป่วยหนัก ตอนนี้เขาคิดถึงพี่มาก…พี่อยากมาเยี่ยมหน่อยไหม”

            ลั่วจื่อหานเงียบไปครู่หนึ่ง

            “ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

            ลั่วจื่อหานในวัยหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจ เขาชอบงานพวกศิลปะจิตรกรรมมาตั้งแต่เด็ก คุณปู่ให้ความสำคัญกับความสนใจของเขามาโดยตลอด จึงไหว้วานให้คนแนะนำจนได้มาเรียนวาดภาพกับอาจารย์คนนี้ที่นี่…

        เวลาผ่านไปไวจริงๆ เพียงพริบตาเดียวก็สิบกว่าปีแล้วมั้ง

————