“ไม่ละความพยายามจริงๆ เลยนะ”
ยอนเท้าคางพึมพำ คำพูดเหน็บแนมทำให้ผู้แทนพระองค์โค้งตัวต่ำอีก บรรดาของขวัญที่ตั้งไว้ตรงหน้าคือสิ่งของที่มีค่ามากเสียจนไม่อาจตีราคาได้ แต่ยอนกลับไม่สนใจของเหล่านั้น
“องค์หญิง สิ่งนี้องค์ชายของพวกเรา…”
“เอากลับไปซะ”
“ไม่ได้เร่งให้ทรงตอบรับเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่…”
“ข้าไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเอากลับไปซะ ไม่เห็นจะมีของสมกับฐานะองค์หญิงเลยสักอัน”
มันเป็นการจ้องจับผิดคล้ายข้ออ้าง เพราะของขวัญเหล่านั้นถูกตระเตรียมด้วยความใส่ใจยิ่งกว่าเครื่องบรรณาการเสียอีก แต่ผู้แทนพระองค์ไม่สามารถย้อนเช่นนั้นได้ เขายื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เป็นอย่างสุดท้ายพร้อมเอ่ยขอร้องอีกครั้งหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทรงรับแค่สิ่งนี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดเถิดองค์หญิง”
จดหมายงั้นหรือ ยอนเปลี่ยนท่าเป็นนั่งพิงพนักแล้วส่งสายตาให้ซังกุงข้างๆ ผู้แทนพระองค์ดีใจพักหนึ่งขณะยื่นจดหมายให้ซังกุง ทันทีที่ยอนเปิดจดหมายออก ก็ต้องรีบพับมันเก็บพร้อมขมวดคิ้วเหมือนเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น
“ว่ากันว่าลายมือบ่งบอกถึงจิตใจของผู้ถือพู่กัน”
น้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกกดแผ่นหลังของผู้แทนพระองค์ลงด้วยน้ำหนักที่มากกว่าก้อนหิน
“เจ้ากล้ามากนะ ที่ส่งจดหมายเช่นนี้ให้องค์หญิงอย่างข้า”
นางคือองค์หญิงที่ร่ำลือกันว่ามีพระสิริโฉมงดงามเพราะคล้ายคลึงกับพระราชา แต่ผู้แทนพระองค์ก็นึกข่าวลืออีกอย่างเกี่ยวกับองค์หญิงขึ้นมาหลังได้ยินน้ำเสียงนั่น ข่าวลืออันน่าขนลุกว่าหากไม่พอใจ นางจะตัดคอทุกคนโดยไม่สนว่าเป็นใคร ด้วยจิตใจเยือกเย็นยิ่งกว่าลมหิมะ
“แต่เห็นว่าเจ้ามาตั้งไกล ข้าจะให้โอกาสอีกสักครั้งแล้วกัน ก่อนจะนับถึงสาม จงออกไปจากตรงหน้าข้าซะ”
หนึ่ง ริมฝีปากของนางขยับขึ้น และไม่จำเป็นต้องนับถึงสอง ผู้แทนพระองค์ก็แผ่นแน่บอย่างรวดเร็วหลังจากบอกลาอย่างว่องไวปานกระสุนปืน ยอนยิ้มแย้มและบิดขี้เกียจ ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างช้าๆ เหมือนหอยทาก
“เฮ้อ น่าเบื่อจัง วันนี้เสร็จแค่นี้ใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง แต่พรุ่งนี้จะมีผู้แทนพระองค์จากอุนกุกมาอีก”
“นั่นข้าก็ไล่ออกไปคราวก่อนแล้วไม่ใช่หรือ”
“ตอนนั้นคือองค์ชายใหญ่ แต่คราวนี้คือองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วแน่ๆ”
ยอนขนลุกเกรียวและลุกพรวด ฝีเท้าที่มีจุดหมายแน่ชัดเดินผ่านกองของขวัญที่ยังไม่ถูกเอาไปเก็บตรงออกข้างนอก แสงอาทิตย์กลางฤดูร้อนส่องสว่างจ้าราวกับน้ำตก แต่ก็ต้องขอบคุณร่มขนาดใหญ่ที่ขันทีรีบกาง แดดจึงไม่ส่องลงมาถูกผิวนาง
“ท่านพี่ประทับอยู่ที่ใดหรือ”
“ทรงประทับอยู่ที่ตำหนักองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปที่นั่นกัน”
หากท่านพี่อยู่ด้วยก็คงจะดีขึ้นไปอีก หลังจากอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว ยอนก็ตรงไปยังวังอันซูซึ่งเป็นที่พำนักของคัง พี่ชายทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนที่ดีที่สุดและที่ระบายความโกรธในยามรู้สึกไม่ดี แน่นอนว่ายอนไม่เคยพูดว่าเป็นการระบายความโกรธออกมาจากปาก แต่ทุกคนในพระราชวัง รวมถึงนางก็คิดเช่นนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คังและชินจะต้อนรับผู้มาพร้อมความหงุดหงิดเต็มหว่างคิ้วด้วยความยินดี
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
คังกำลังคุยอยู่กับชินลุกขึ้นถวายการคำนับ แต่ยอนกลับเตะเก้าอี้แทนที่จะตอบรับการทักทายของเขาตามมารยาทอย่างแรงแล้วนั่งลง
“ไปประลองกันเถอะเพคะท่านพี่”
“ไม่ได้ดั่งใจอะไรอีกล่ะ ถึงได้มาที่นี่”
ชินส่งยูมิลกวาบนโต๊ะให้ยอน เนื่องจากมันคือของว่างที่สองพี่น้องโปรดปรานเป็นที่สุด ยอนจึงหยิบมันมาใส่ปากชิ้นหนึ่งโดยไม่ปฏิเสธ
“พรุ่งนี้ก็มีการสู่ขออีกแล้วเพคะ จากอุนกุก”
“ได้ยินว่าที่นั่นเคยมาเมื่อปีก่อนหนิ”
“ครั้งนั้นคือองค์ชายใหญ่ แต่ครั้งนี้องค์ชายรอง ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
ยอนพูดพลางแค่นหัวเราะเพราะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ชินหัวเราะดังลั่นพร้อมกระทืบเท้า ส่วนคังก็จิบชาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ต้องเข้าใจเหตุผลของพวกเขาด้วยสิพ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์หญิงน่ะมีพระองค์แค่คนเดียว ดังนั้นประเทศราชบุตรเขยของแทซากุกก็จะมีเพียงประเทศเดียวไม่ใช่หรือ”
“ข้าหมายความว่า ข้าไม่ชอบหัวใจเน่าๆ แบบนั้นต่างหาก”
ยอนขมวดคิ้วนิ่วหน้าและแย่งชาของชินมาดื่มดังอึกๆ แม้คังจะห้ามและบอกว่าเดี๋ยวเอาถ้วยใหม่มาให้ นางก็ทำหูทวนลม
“เพราะเสด็จพ่อรักข้า พวกเขาก็เลยทำอะไรสักอย่างเพื่อชิงผลประโยชน์ ข่าวเกี่ยวกับอารมณ์ร้อนๆ ของข้าก็ลือไปทั่ว แต่พวกเขาก็แย่งชิงวิ่งแบกของขวัญมาให้ เพื่อหวังเกาะอำนาจของแทซากุกสักครั้ง”
“เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินข่าวอารมณ์ร้อนเลยนะ”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ”
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระแล้วไปประลองกันดีกว่าเพคะ ท่านพี่ทั้งสอง”
“ข้าขอผ่าน”
“กระหม่อมก็ขอผ่านเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองปฏิเสธข้อเสนอของนางโดยไม่ลังเลแม้แต่เสี้ยววินาที แต่ยอนไม่ยอมหยุดแค่นั้น
“นี่ ชิน”
ชินก็โต้กลับการเรียกขานที่โยนความสุภาพทิ้งอย่างห้วนๆ เช่นกัน
“ทำไม”
“เมื่อเจ็ดวันก่อน เจ้าแอบหนีออกไปนอนนอกวังใช่หรือ”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร ช่วงนี้ข้าไม่เคยขาดการเข้าเฝ้าเช้าเย็นเลย”
ชินยักไหล่พร้อมกับหันหน้าไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นสัญชาตญาณในการเก็บซ่อนดวงตาที่ไม่คุ้นกับการโกหก
“ออกไปหลังจากเข้าเฝ้าช่วงเย็น แล้วกลับมาอีกทีก่อนเข้าเฝ้าช่วงเช้าน่ะสิ วันนั้นมีหอนางโลมที่ไหนปิดบ้างนะ หอนางโลมฮวารยอนใช่หรือไม่ หรือว่าหอนางโลมมียอน”
คังที่กำลังฟังอยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เสด็จไปหอนางโลมอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ทรงถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือ”
“ไม่ใช่นะท่านพี่ ยอนกำลังกล่าวหาผู้บริสุทธิ์”
ชินโบกไม้โบกมือด้วยสีหน้าเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง แต่ยอนสังเกตเห็นตาดำของเขากำลังสั่นไหว ดูเหมือนว่าจะได้เวลาตอกลิ่มแล้วสินะ
“อ๋อ จำได้แล้ว หอนางโลมมียอน นางโลมที่เกล้าผม…”
“ไปเถอะ ไปประลองกัน มีใครอยู่ตรงนั้นไหม ไปเอาดาบข้ามา!”
ยอนตามหลังชินที่เดินก้มหน้าพร้อมกับตะโกนเสียงดังเป็นพิเศษ คังที่ยังคงขมวดคิ้วก็ด้วย แม้ทั้งสามคนจะต่างกันจนไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วกลับเข้ากันได้อย่างดี แม้จะมีเถียงกันบ้างก็ตาม
“เบาๆ หน่อยล่ะ คราวที่แล้วข้าเกือบตาย”
“ถ้าท่านพี่เอาเวลาที่ไปหอนางโลมมาฝึกซ้อมล่ะก็…”
“เริ่มแล้วนะ!”
ดาบของชินแทงเข้ามาตรงๆ พร้อมกับเสียงเรียกพลัง ยอนปล่อยให้ดาบผ่านด้านล่างแขนซ้าย จากนั้นหมุนตัวหนึ่งรอบแล้วตั้งดาบตรงเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวปราดเปรียวจนคังปรบมือให้โดยไม่รู้ตัว ทว่าการประลองของทั้งคู่ก็ไม่สามารถไปถึงจุดจบได้ เพราะเสียงของขันทีแทรกเข้ามาระหว่างคมดาบ
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ขันทีขององค์รัชทายาทที่เฝ้าดูอยู่รีบเข้ามาเก็บดาบซ่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อฮอนปรากฏตัวขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันพยักหน้า เหล่าข้าราชบริพารจำนวนมากก็หายวับราวกับทรายถูกดูดกลืนลงแม่น้ำ ณ สวนหลังบ้านอันว่างเปล่า คังมีสีหน้าตึงเครียดตามปกติเป็นเท่าตัว ส่วนชินก็เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะพากันโค้งถวายการคำนับฮอน เว้นเสียแต่ยอนที่ปิดปากสนิทอย่างสงบนิ่ง
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เสียงดาบกระทบกันดังไกลถึงท้องพระโรง ต้องให้ข้าบอกอีกกี่รอบว่าห้ามใช้ดาบจริงถึงจะเข้าใจกัน”