ตอนที่ 135-5 เจ้าปลาน้อยเอ๋ย เจ้าปลายน้อยเอ๋ย มาติดกับเสียดีๆ!

จำนนรักชายาตัวร้าย

เดิมทีอวี้ซิงฉงก็กำลังคับข้องใจเรื่องที่น้องสาวแต่งงานกับซย่าโหวฉิงทียนอยู่ ตอนนี้มีผู้ช่วยเพิ่มมา ทำให้อวี้ซิงฉงมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเป็นกอง 

 

 

หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนรักแกน้องสาวของเขาละก็ เหอะๆ! 

 

 

เชียนเย่เสวี่ย ตี้อู่เฮ่ออี้และอวี้ซิงฉงพูดคุยเรื่องแผนการของพวกเขา คนทั้งสามก็ปรึกษาหารือเรื่องแผนการกันอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าแผนการรัดกุมไม่มีช่องโหว่แล้ว ทั้งสามคนก็กำหมัดชนกันเป็นการรวมใจเป็นหนึ่ง 

 

 

รอคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็ว! 

 

 

ที่เมืองเฮ่อ ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับพิราบสื่อสารจากตี้อู่เฮ่ออี้ที่ส่งมาถึง กระทั่งอวี้เฟยเยียนได้อ่านจดหมายฉบับนั้นเข้า ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย 

 

 

“เพราะอะไร?” ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกฉงนสงสัยยิ่งนักกับการที่ตี้อู่เฮ่ออี้เขียนยกยอปอปั้นสกุลสุ่ยในจดหมายนี่ มันหมายความว่าอะไรกัน? 

 

 

‘เขาไม่ใช่คนที่ชอบประจบสอพลอใครเช่นนี้นี่นา!’ 

 

 

“พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย!” อวี้เฟยเยียนชี้ไปที่สัญลักษณ์ SOS ขอความช่วยเหลือบนจดหมาย 

 

 

“นี่คือรหัสลับที่ข้าเคยบอกกับเสวี่ยเอาไว้ยามเมื่อตกอยู่ในอันตราย!” 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้จะต้องกำลังมีภัยขณะที่พำนักอยู่ที่สกุลสุ่ยอย่างแน่นอน เขาปลีกตัวออกมาไม่ได้ มิเช่นนั้นเชียนเย่เสวี่ยก็คงจะไม่วาดรูป SOS ลงบนจดหมายอย่างแน่นอน 

 

 

“เช่นนั้นพวกเราไปที่นั่นกัน!”  

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคนจริงข้าลุย 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยคือเพื่อนของเขา เมื่อเพื่อนมีภัย แน่นอนว่าเขาย่อมต้องรีบรุดไปช่วยเหลือ 

 

 

หลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนได้บอกกล่าวกับเสิ่นถูเลี่ยว่าตนเองจะต้องเดินทางไปที่สกุลสุ่ยสักครั้ง ซึ่งเสิ่นถูเลี่ยก็มิได้ออกปากห้ามปรามเขาแต่อย่างใดหลังจากที่รู้ต้นสายปลายเหตุ 

 

 

“พวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เพราะสุ่ยเจ๋อซีคนนี้ชั่วช้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย หน้าไหว้หลังหลอกเป็นที่สุด สกุลสุ่ยแข็งแกร่งกว่าสกุลหนานกงมากนัก!” 

 

 

แม้เสิ่นถูเลี่ยรู้สึกอยู่ลึกๆว่า หากสกุลสุ่ยทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนโมโหโทโสขึ้นมาละก็ ไม่แน่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะบรรดาลโทสะสังหารล้างบางสกุลสุ่ยเช่นเดียวกับที่ทำกับสกุลหนานกงโดยไม่สนใจผลร้ายที่จะตามมาภายหลังก็เป็นได้ 

 

 

แต่ปัญหาอยู่ที่ ยอดฝีมือของสกุลสุ่ยมีมากยิ่งกว่า ไม่แน่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนอาจจะตกเป็นรอง 

 

 

“ขอบคุณที่เตือน!” 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า  

 

 

“ข้าจะจำเอาไว้!” 

 

 

แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเสิ่นถูเลี่ยจึงรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนเห็นคำพูดของเขาเป็นเพียงลมที่ผ่านทะลุหูไปเท่านั้นไม่ได้รับฟังแต่อย่างใด 

 

 

‘ไม่ต้องอวดดีถึงปานนี้จะได้ไหมเล่า!’ 

 

 

ซึ่งการณ์นี้ เสิ่นถูเลี่ยจึงทำได้เพียงแต่เล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสกุลสุ่ยให้กับอวี้เฟยเยียนพร้อมทั้งวิเคราะห์สกุลสุ่ยตั้งแต้นจนจบให้นางได้ฟังอีกด้วย หวังก็เพียงแต่ว่าในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังขาดสติอยู่นั้นนางจะสามารถห้ามปรามเรียกคืนสติของเขากลับมาได้ 

 

 

“เสี่ยวเลี่ย ขอบคุณเจ้ามากนะ!” อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าเสิ่นถูเลี่ยหวังดีกับพวกนาง 

 

 

“พวกเราจะไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด แต่หากว่าใครมารังแกพวกเราละก็ พวกเราก็ไม่กลัวเช่นกัน!” ได้ยินอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนั้น เสิ่นถูเลี่ยก็แทบน้ำตานองหน้า 

 

 

‘ผัวเมียคู่นี้ช่างเข้าขากันเสียเหลือเกิน?’ 

 

 

‘ผัวร้องเมียรับ?’ 

 

 

‘หรือว่าเขากำลังสีซอให้ควายฟังอยู่ พูดไปก็ไร้ค่า!’ 

 

 

แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะมอบหมายหน้าที่การดำเนินการก่อสร้างจวนหลังใหม่ให้กับหลิวเซิ้ง แต่เสิ่นถูเลี่ยก็ยังต้องมาช่วยควบคุมดูแลอยู่ดี บวกกับซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะรับช่วงต่อกิจการงานอีกมากมายของสกุลนานกง จึงมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย ดังนั้นชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนจึงยุ่งอยู่กับงานโดยไม่มีว่างเว้น 

 

 

ดังนั้น สุดท้ายคนที่เดินทางไปสกุลสุ่ยมีเพียงซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนสองคนเท่านั้น 

 

 

“แม่นางน้อย เพราะอะไรถึงได้ทอดทิ้งข้า!” 

 

 

หานจื่อนอนหมอบน้ำตาคลอจ้องมองคนทั้งสองที่ไกลออกไปเรื่อยๆ อยู่บนอาคารสูงของเมืองเฮ่อ 

 

 

“ข้าไม่อยากเป็นของประดับแห่งเมือง!” 

 

 

“ไม่เอา!” 

 

 

อยู่ที่ต้าโจว หานจื่อก็อยู่เป็นสุนัขเฝ้าหอคืนชีพ บัดนี้มาที่เมืองอู๋โยว หานจื่อก็กลายเป็นสุนัขเฝ้าเมืองเฮ่อไปอีก  

 

 

“ข้าไม่ยอม!” 

 

 

“หรือว่าข้าหน้าตาไม่ดุร้ายน่ากลัวเพียงพอ?” 

 

 

“แม่นางน้อย อย่าทอดทิ้งข้า!” 

 

 

ทว่า การคัดค้านของหานจื่อหาได้มีผลอะไรไม่ สิ่งเดียวที่นับเป็นการปลอบใจมันได้นั่นก็คือ อวี้เฟยเยียนได้ทำของอร่อยเอาไว้กับมัน 

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมุ่งมั่นเดินทางไปยังจวนสกุลสุ่ย ณ เมืองลู่ ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีพัก 

 

 

ในเวลานั้น สุ่ยจูเอ๋อร์แห่งสกุลสุ่ยได้ยกขนมมายังเรือนของสุ่ยเยว่เอ๋อร์อีกครั้ง 

 

 

สองสามวันมานี้นางใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไหร่ สาเหตุก็เพราะว่าปานแดงบนใบหน้าของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ค่อยๆจางหายไปมากแล้วนั่นเอง มันไม่เพียงแต่สีจางลง ทั้งยังวงแคบลงเรื่อยๆ 

 

 

เหล่านี้ล้วนได้อานิสงส์มาจากฝีมือการรักษาของหมอประจำตระกูลสุ่ยคนใหม่ผู้นั้น 

 

 

ก่อนหน้านี้ที่สุ่ยเจ๋อซีเริ่มที่จะสืบสวนเรื่องคนที่วางยาพิษสุ่ยเยว่เอ๋อร์ เมื่อนางได้รู้ข่าว จึงรีบไปจัดการวางพิษฆ่าปิดปากสาวใช้ที่ทำขนมนั้นจนตาย จึงรอดพ้นมาได้แล้วครั้งหนึ่ง 

 

 

ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ดีวันดีคืน สุ่ยจูเอ๋อร์ก็รู้สึกทนไม่ได้ราวกับมีมดคันไฟมากัดกินหัวใจอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เห็นอยู่ชัดๆว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์ใกล้จะตายอยู่ แผนการของนางก็กำลังจะสำเร็จ จู่ๆก็มีใครก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาขัดขวางเสียได้ ทำลายแผนการของนางจนล้มเหลวไม่เป็นท่า น่าโมโหที่สุด 

 

 

ตอนนี้สุ่ยจู่เอ๋อแค้นเคืองหมอคนใหม่ประจำตระกูลนามว่า ‘เหออี้’ อย่างที่สุด  

 

 

หากมิใช่เขายื่นมือเข้าวางขัดขวางละก็ ป่านนี้สุ่ยเยว่เอ๋อร์คงจะเสียโฉมไปแล้ว และก็คงกลายเป็นหมากที่ไร้ค่าตัวหนึ่งเท่านั้น 

 

 

แต่เล็กจนโตสุ่ยจูเอ๋อร์ถูกความสวยของสุ่ยเยว่เอ๋อร์กดขี่เอาไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ที่ดีที่สุด สุ่ยเจ๋อซีก็เลือกที่จะมอบให้กับสุ่ยเยว่เอ๋อร์เสมอ ส่วนที่คงเหลือจึงจะแบ่งให้กับลูกสาวคนอื่นๆ  

 

 

นี่เองทำให้สุ่ยจูเอ๋อร์มิอาจยอมรับได้ 

 

 

สุ่ยจูเอ๋อร์รู้ดีว่า การที่พี่รองของนางได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุดนั้นก็เพราะใบหน้าที่สวยงามหยาดเยิ้มของนาง 

 

 

ตัวนางเองสวยน้อยกว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์เพียงไม่เท่าไหร่เท่านั้น ทว่ากลับต้องได้รับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม น่าโมโหที่สุด! 

 

 

โดยที่สุ่ยจูเอ๋อร์นั้นหลงลืมไปว่า ตัวการที่สร้างความไม่เท่าเทียมในการปฏิบัติต่อบุตรสาวทุกคนนั้นคือบิดาของนาง สุ่ยเจ๋อซีต่างหาก เพราะเขาต้องการใช้ความงามของบุตสาวดึงดุตระกูลใหญ่ให้มากเป็นพวก ดังนั้นถึงได้ปฏิบัติกับลูกสาวคนอื่นอย่างอยุติธรรม 

 

 

เมื่อคิดเรื่องนี้ไม่ถึงแก่นแท้ สุ่ยจูเอ๋อร์จึงได้แต่พุ่งเป้าแก้แค้นไปที่สุ่ยเยว่เอ๋อร์แทน 

 

 

มาถึงเรือนของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ สุ่ยจูเอ๋อร์ก็รีบกลบเกลื่อนใบหน้าที่ไม่น่ามองทั้งยังร้ายกาจของตนเองเอาไว้ แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นรอยยิ้มหวานทันที 

 

 

“พี่รอง ข้ามาแล้ว” การมาของสุ่ยจูเอ๋อร์ ประจวบเหมาะกับที่สุ่ยเยว่เอ๋อร์ต้องการพอดิบพอดี 

 

 

เพราะแผนการที่เชียนเย่เสวี่ยวางเอาไว้ ได้ลากสุ่ยจูเอ๋อร์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย 

 

 

รอคอยสุ่ยจูเอ๋อร์มาตั้งหลายวัน และตอนนี้นางก็มาช่วยถึงที่ทีเดียว 

 

 

“พี่รอง ข้านำขนมลูกท้อมาที่ท่านชอบที่สุดมาให้ ท่านลองชิมดูสิคะ!” 

 

 

เพียงแค่เปิดประตูเข้ามา สุ่ยจูเอ๋อร์ก็เห็นว่าตี้อู่เฮ่ออี้ได้เอาอะไรบางสีขาวอย่างทาไว้ที่บริเวณใบหน้าของสุ่ยเยว่เอ๋อร์อย่างหนาเตอะ 

 

 

แม้ว่านางจะไม่ชอบขี้หน้าหมอหนุ่มคนนี้เท่าไหร่นัก แต่สำหรับวิชาแพทย์ของเขา นางเองก็ได้ยินมาบ้าง 

 

 

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่นานตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยสองผัวเมียก็สามารถใช้ชีวิตเข้าขากับคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี 

 

 

ขอเพียงแต่เขาได้พบหน้า ก็จะสามารถวินิจฉัยออกมาได้ทันทีว่าคนผู้นั้นมีปัญหาสุขภาพอะไรมา 

 

 

แม้กระทั่งบรรยากาศภายในบ้านสกุลสุ่ย ก็ยังมีกลิ่นหอมของยาสมุนไพรล่องลอยปะปนขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา 

 

 

เนื่องจากตี้อู่เฮ่ออี้ไม่เหมือนกับหมอคนอื่นๆที่มักจะเย่อหยิ่งอวดดี อีกทั้งวิชาแพทย์ของเขาก็ยอดเยี่ยม ดังนั้นคนที่ได้รับการรักษาจากเขาแล้วเห็นผลดี ล้วนแต่กล่าวชื่นชมเขาไม่ขาดปาก 

 

 

“ท่านหมอเหอ นี่คืออะไรกันหรือ?” สุ่ยจูเอ๋อร์วางขนมในมือลง แล้วเดินเข้าไปหาสุ่ยเยว่เอ๋อร์  

 

 

นี่คือขี้ผึ้งบำรุงผิว เคล็ดลับความงามที่ข้าเพิ่งคิดค้นขึ้นได้ สามารถทำให้ผิวพรรณนวลเนียนราวกับไข่ปอกก็ไม่ปาน! รอให้ถึงวันงานชุมนุมที่จื่อจิงมาถึง คุณหนูรองจะต้องเป็นจุดเด่นที่ทุกคนในงานต่างก็ต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอน 

 

 

‘เครื่องประทินผิว!’ 

 

 

สุ่ยจูเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย