ที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเงียบสนิท ดอกของต้นไห่ถังทั้งสองต้นที่อยู่กลางสวนได้ร่วงโรยไปหมดสิ้นแล้ว แต่สองวันมานี้เป็นเพราะหิมะตก ดังนั้นก็ราวกับทะเลดอกไม้ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
โจวทงยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถัง มองดูลูกน้องที่คุกเข่ารายงานอยู่เบื้องหน้า แล้วพูดขึ้นอย่างรำคาญ “เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ก็ยังต้องมารายงานด้วยหรือ”
เหล่าลูกน้องล้วนไม่เข้าใจกันอย่างมาก ในใจคิดว่าการต่อสู้ระหว่างสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิงในครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในปีนี้ ทำไมใต้เท้าถึงไม่สนใจเลยเช่นนี้
“ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เช่นนั้นก็เป็นเรื่องเล็ก”
โจวทงกับถังซานสือลิ่วมีความคิดที่เหมือนกัน เมื่อพูดประโยคนี้จบ ก็หันกายเดินเข้าไปในห้อง และก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีก
สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ โจวทงไม่สนใจ แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่แสนจะสนใจ
ข้างทะเลสาบหิมะที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในทางตอนเหนือของเมือง เทียนไห่เฉิงอู่กำลังพิงรั้วมองหิมะ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้นึกถึงทะเลสาบที่อยู่นอกหอเฉิงหูนั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกในใจก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ขึ้นมา
หลายวันมานี้ตอนที่เขาพูดกับสวีซื่อจี ก็เกรงอกเกรงใจกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง เพราะว่าสวีโหย่วหรงกลายมาเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เร็วกว่าที่ทุกคนคิด
แต่เพราะในตอนนี้มีความรู้สึกค่อนข้างย่ำแย่ บางทีก็มีความกังวลอยู่บ้าง ท่าทีที่เขามีต่อสวีซื่อจีจึงกลับมาเป็นเหมือนสมัยก่อน กระทั่งยังเพิ่มความแข็งกร้าวและตรงไปตรงมายิ่งขึ้น
“เจ้าคิดจะพึ่งพระราชวังหลี ก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายยินยอมให้เจ้าพึ่งหรือไม่ ใต้เท้าสังฆราชฝืนถอนสัญญาหมั้น จวนขุนพลเทพก็ถูกชาวโลกหัวเราะเยาะอีกครั้ง เรื่องนี้มีผลดีอะไรกับเจ้ากัน”
เทียนไห่เฉิงอู่พูดขึ้น “ในเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้อย่างไรก็ต้องสู้ ไยต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์ก่อนหน้าเหล่านั้น”
สวีซื่อจีนิ่งเงียบไม่พูด ใบหน้าเรียบเฉย อันที่จริงในใจนั้นโมโหจนถึงขีดสุด
เทียนไห่เฉิงอู่แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “วันนี้ก็ต้องดูว่าโหย่วหรงจะระบายอารมณ์แทนบิดาอย่างเจ้าเช่นไร”
……
……
จำนวนคนของสำนักฝึกหลวงไม่ได้มีมากนัก ทั้งหมดรวมกันแล้วก็มีร้อยกว่าคน
แต่เมื่อคนจำนวนเช่นนี้มาเดินพร้อมกันอยู่บนถนน แรงกดดันก็ข่มขวัญผู้คนอยู่บ้าง โดยเฉพาะในตอนที่ด้านหลัง ยังมีชาวเมืองจิงตูนับพันตามมาด้วย เสียงก็ยิ่งดังออกไป มองดูแล้วน่าตกตะลึงนัก
ผ่านอารามมังกรหวนไปได้ไม่ไกล ก็มาถึงทางน้ำไหล หรือจะเรียกว่าแม่น้ำลั่ว ด้านหน้าไม่ไกลก็พอจะสามารถมองเห็นสะพานมีชื่อแห่งนั้น
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปได้ นอกจากเฉินฉางเซิงแล้ว ถังซานสือลิ่วกับเหล่านักเรียนที่ตามมาล้วนถูกขวางเอาไว้ที่ปากถนนปาหลิ่ว
จากถนนปาหลิ่วถึงถนนซื่อฟาง โดยรอบของสะพานหน่ายเหอรัศมีประมาณหนึ่งลี้ ก็ล้วนถูกขวางกั้น
ไม่อาจจะเข้าไปได้ เหล่าชาวเมืองที่มาชมการประลองจึงทำได้เพียงยืนอยู่ที่สองฝั่งของแม่น้ำลั่ว ในตอนนี้มีคนมาถึงเป็นจำนวนมากแล้ว ที่แนวต้นไม้สองฝั่งแม่น้ำมีคนอยู่เต็มไปหมด แล้วยังเรียงแถวไกลออกไป จนดูเหมือนว่าจะไม่เห็นปลายแถว
ผู้คนกำลังผู้คุยกันถึงการประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น วิเคราะห์กันว่าใครจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า ใครจะได้รับชัยชนะ
ต่างกับเวลานี้เมื่อปีก่อนอย่างสิ้นเชิง เฉินฉางเซิงในตอนนี้ไม่เหมือนก่อนตั้งนานแล้ว การประลองกระบวนท่ากระบี่กับโก่วหานสือที่งานชุมนุมไม้เลื้อย การได้อันดับหนึ่งของการสอบใหญ่อย่างที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ ตอนที่อยู่ในสุสานเทียนซูได้ทำให้แสงดวงดาวสาดส่องมายังจิงตู เขาได้ถูกคนจำนวนมากนำมาเปรียบเทียนกับหวังจือเช่อในตอนนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจวในภายหลัง แล้วยังมีการต่อสู้เหล่านั้นที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลับใต้ เพียงแค่พูดถึงช่วงต้นฤดูร้อนมาจนถึงตอนนี้ สำนักฝึกหลวงได้รับคำท้าประลองมานับไม่ถ้วน เฉินฉางเซิงนั้นยังไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ที่ยิ่งทำให้คนต้องตกตะลึงคือ เขาเอาชนะยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นติดต่อกันถึงหกคน จากสิ่งนี้ในที่สุดผู้คนถึงได้พบว่า ที่แท้การเอาชนะข้ามขั้นที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึง แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เริ่มจากการที่ตกตะลึงพรึงเพริดไปจนถึงการที่เป็นไปตามธรรมชาติในตอนนี้ กระทั่งค่อนข้างจะชินชา เฉินฉางเซิงได้ทำให้โลกนี้ต้องตกตะลึงมากมายเกินไปแล้ว
อีกฝ่ายที่อยู่ในการประลองครั้งนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เดิมทีสวีโหย่วหรงก็เป็นสิ่งพิเศษอยู่แล้ว นางที่มีสายเลือดของหงส์สวรรค์ก็เหมือนกับชิวซานจวิน ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญเพียรเป็นต้นมา ก็ได้ก้าวข้ามขอบเขตที่คนธรรมดาจะสามารถจินตนาการได้ไปแล้ว อีกทั้งในความเป็นจริงก็ยังก้าวข้ามขอบเขตของคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน นางไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ นางมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในสุสานเทียนซูได้ตลอดเวลา อันที่จริงตั้งแต่ที่นางอายุสิบขวบ นางก็เริ่มวิเคราะห์คัมภีร์สวรรค์แล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่านางเคยประมือกับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นหรือไม่ แต่คนจำนวนมากรวมไปถึงเฉินฉางเซิง ล้วนไม่ลังเลที่จะเชื่อเลยว่านางจะต้องทำเรื่องที่อยู่ในตำนานและมีความเชื่อว่าแสนจะยากเย็นนี้ได้อย่างง่ายดายอย่างแน่นอน
ถ้าหากพูดว่าเฉินฉางเซิงในหนึ่งปีนี้ได้ทำให้โลกนี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เช่นนั้นเดิมทีแล้วสวีโหย่วหรงก็เป็นการปรากฏตัวที่น่าตกตะลึงและน่ายินดีที่สุดในโลกใบนี้
“พวกเขามาแล้ว!”
ที่ข้างฝั่งแม่น้ำลั่วมีชาวเมืองบางส่วนที่พบว่าเฉินฉางเซิงกับคนในสำนักฝึกหลวงได้มาถึงแล้ว จึงพากันตะโกนกันขึ้นมา ที่ตรงนั้นจึงเกิดความคึกคักวุ่นวายขึ้น
มีชาวเมืองบางส่วนที่ทำความเคารพใส่เขาอย่างนับถือ มีชาวเมืองบางส่วนที่ตะโกนถามอะไรบางอย่างเสียงดัง เพียงแต่ไม่มีใครให้กำลังใจเขา ในประโยคจำนวนนับไม่ถ้วนไม่ได้ยินสักประโยคเลยที่จะพูดว่าเจ้าจะต้องชนะให้ได้นะ…
“ข่าวที่สี่โรงพนันใหญ่ส่งมา นอกจากสำนักฝึกหลวงกับสำนักการศึกษากลางแล้ว โดยพื้นฐานก็ไม่มีผู้ใดลงว่าเจ้าจะชนะ…แม้แต่นักบวชจำนวนมากของพระราชวังหลีก็ล้วนลงข้างสวีโหย่วหรง”
ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดปลอบใจขึ้น “แต่เจ้าสามารถเข้าใจเป็นว่านี่คือความชอบในใจของชาวเมืองจิงตู ไม่ใช่การประเมินความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจากทุกๆ คน”
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ในใจ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง ก็ไม่ถือว่าเป็นการปลอบใจอะไรหรือเปล่า
เขาเอ่ยถามถังซานสือลิ่ว “เช่นนั้นแล้วเจ้าเล่า”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
ความเชื่อใจนี้ไม่ใช่การเชื่อใจแบบหลับหูหลับตา และก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับมิตรภาพความใกล้ชิด แต่อยู่บนความรู้พื้นฐานที่ชัดเจน
ถังซานสือลิ่วชัดเจนเป็นอย่างมาก ในเวลาเจ็ดวันก่อนหน้านี้ การเตรียมตัวของเฉินฉางเซิงนั้นจริงจังและยากลำบากขนาดไหน ทุกวันได้เห็นภาพเฉินฉางเซิงทำการคำนวณและอนุมานอยู่ในห้อง กระทั่งเขายังรู้สึกว่าบนโลกบนนี้ก็คงหาคนที่จริงจังยิ่งกว่าเฉินฉางเซิงไม่เจออีกแล้ว อย่างที่เรียกว่าสวรรค์มีตา ขอเพียงดวงดาวบนท้องฟ้ายังส่องสว่างอยู่ เช่นนั้นคนที่จริงจังเช่นเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพ่ายแพ้
“ข้าแนะนำให้เจ้าลงว่าข้าแพ้”
เฉินฉางเซิงตบบ่าของเขา หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปทางถนนปาหลิ่ว ภายใต้การนำทางของนักบวช
มองดูเงาหลังของเขา ถังซานสือลิ่วคิดจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไร เขาพอจะรู้สึกได้ว่า คำพูดของเขาประโยคสุดท้ายนั้นเหมือนจะชี้ไปที่บางสิ่ง
เซวียนหยวนผ้อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเขา จึงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายจะเป็นอย่างไรก็ได้ ทำไมในตอนนี้ถึงเริ่มกังวลขึ้นมา”
“ข้าไม่ได้กังวลว่าเขาจะแพ้หรือไม่ แต่ว่าข้ากำลังกังวลเรื่องเงินของข้า” ถังซานสือลิ่วหันไปทางผู้คนแล้วเดินออกไป
เซวียนหยวนผ้อก็ยิ่งเพิ่มความมึนงง จึงตะโกนขึ้น “เจ้าจะไปทำอะไร”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา “ข้าจะไปที่สี่โรงพนันใหญ่เพื่อยกเลิกการเดิมพัน”
……
……
ในถนนปาหลิ่วเงียบสงบเป็นอย่างมาก นอกจากนักบวชที่นำทางผู้นั้นแล้ว ก็มองไม่เห็นผู้ใดอีก
แต่ในตอนที่มาถึงตรอกข้างถนนปาหลิ่วที่ผ่านไปถึงข้างแม่น้ำลั่ว นักบวชผู้นั้นเองก็หยุดเท้าลง ผายมือเชิญให้เฉินฉางเซิงเดินไป
เฉินฉางเซิงพยักหน้า แล้วเดินไปภายในตรอก ไม่นานก็มาถึงข้างแม่น้ำลั่ว แล้วเดินขึ้นบันไดไป ก็มาถึงด้านล่างของสะพานหน่ายเหอ
สะพานหน่ายเหอเป็นสะพานที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่บนแม่น้ำลั่ว บนสะพานมีพื้นที่กว้างขาวเป็นอย่างมาก สามารถให้รถม้ากว่าสิบคันขับผ่านพร้อมกัน ตัวสะพานเองก็สูงอย่างมาก แต่กลับไม่ลาดชัน เมื่อเทียบกับสะพานแห่งอื่นก็ค่อนข้างจะราบกว่า เมื่อยืนที่ด้านล่างของสะพานแล้วมองไป ก็จะรู้สึกว่าบนสะพานเหมือนจะเป็นสนามแห่งหนึ่งเสียมากกว่า
เฉินฉางเซิงเดินขึ้นไปบนสะพาน ไม่นานก็มาถึงตรงกึ่งกลางของสะพาน
บนสะพานหน่ายเหอไม่มีใครอยู่ ฝั่งตรงข้ามของสะพานเองก็ไม่มีคน กระทั่งสถานที่ที่สามารถมองเห็นได้ ก็ล้วนไม่มีคน ช่างว่างเปล่าและเงียบสงบเป็นอย่างมาก
เขายืนอยู่บนสะพาน มองดูน้ำที่ไหลอยู่ใต้สะพาน พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
เสาของสะพานหน่ายเหอเมื่อสองปีก่อนเคยถูกเรือขนสินค้าพุ่งชนมาก่อน ราชสำนักได้เสียเงินไปเป็นจำนวนมาก ถึงได้ใช้ค่ายกลเพิ่มความแข็งแรงขึ้นใหม่
ค่ายกลแห่งนั้นก็อยู่ที่ใต้สะพาน
เช่นเดียวกัน ประตูน้ำหลายแห่งที่สำคัญของแม่น้ำลั่วก็ถูกสร้างค่ายกลเอาไว้ เช่นนี้แล้วถึงจะสามารถรับรองได้ว่าในฤดูหนาวที่รุนแรง น้ำจะไม่กลายเป็นน้ำแข็ง เรือขนเสบียงกับเรือสินค้าจากทางใต้เหล่านั้นก็ยังคงสามารถเดินทางกันได้อย่างอิสระ เพียงแต่หลายที่ของจิงตูในวันนี้ได้ถูกจำกัดขอบเขต โดยเฉพาะรอบด้านของสะพานหน่ายเหอ ตามปกติจะต้องมีเรือผ่านไม่หยุด สภาพของแม่น้ำลั่วในวันนี้ กลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก
ก็เหมือนกับสะพานแห่งนี้
คนสักคนก็ยังไม่มี เรือสักลำก็ไม่มีเช่นกัน
ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องพวกนี้ เขาก็ได้เห็นว่าที่ด้านล่างมีเรือลำใหญ่ลำหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามา
เรือลำนั้นใหญ่โตเป็นอย่างมากจริงๆ น่าจะเป็นเรือรบของทหารเรือของต้าโจว บนลานชั้นบนสุดนั่น ก็แทบจะอยู่ในระนาบเดียวกับสะพานหน่ายเหอแล้ว
บนเรือใหญ่มีคนยืนอยู่เป็นจำนวนมาก บนลานชั้นบนสุดนั้นก็มีคนยืนอยู่ไม่น้อย ส่วนมากก็ล้วนเป็นคนที่เขารู้จัก
เสียงน้ำดังขึ้นเบาๆ เรือใหญ่ค่อยๆ หยุดลง ทอดสมอลง โดยมีระยะห่างจากสะพานหน่ายเหอประมาณหนึ่งลี้
เฉินฉางเซิงมองเห็นอย่างชัดเจน บนลานชั้นบนสุดของเรือใหญ่ มีขุนพลเทพที่สวมชุดเกราะยืนอยู่หลายคน ที่เขารู้จักก็คือเซวียสิ่งชวน เฟ่ยเตี่ยน…เซวียเหอก็คาดไม่ถึงว่าจะกลับมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีสวีซื่อจี แล้วก็ยังมีผู้ดูแลของสำนักไม้เลื้อยต่างๆ ตรงกลางสุดก็คือเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักเทียนเต้าจวงจือห้วน ที่ยืนอยู่ด้านหน้าขึ้นไปอีกหน่อยก็มีบุคคลสำคัญของราชสำนักกับนิกายหลวงยืนอยู่ เขามองเห็นเหมาชิวอวี่ มองเห็นราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซือหยวน มองเห็นเสนาบดีกรมพิธีการ และยังมองเห็นม่ออวี่กับเฉินหลิวอ๋องอีก
แต่บุคคลสำคัญเหล่านี้ยังคงไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุด
ที่ยืนอยู่ที่หัวเรือใหญ่คือจิตรกรสามคนที่มาจากหอความลับสวรรค์ หนึ่งในนั้นเคยได้ชมการประลองของเฉินฉางเซิงกับโจวจื้อเหิงในตอนแรก จิตรกรที่เหลืออีกสองคนก็เพิ่งจะรีบตามมาจากหอความลับสวรรค์ ทั้งหมดล้วนอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว ตอนที่อยู่ในเมืองสวินหยาง ได้เห็นมือสังหารที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างหลิวชิง ทุกคนก็ล้วนรู้สึกว่าไม่อาจจะจินตนาการได้แล้ว เช่นนั้นจิตรกรทั้งสามที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวก็…
เฉินฉางเซิงมองคนที่อยู่บนเรือ
คนบนเรือก็มองเขาที่อยู่บนสะพาน
นักพรตซือหยวนพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าข้าจะรู้สึกมาตลอดว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง หวังเพียงว่าภายหลังในตอนที่เขาแพ้ ก็อย่าได้แพ้ให้น่าเกลียดมากนัก”
เหมาชิวอวี่ที่อยู่ด้านข้างได้พูดขึ้นอย่างสงบ “ยังไม่เริ่มก็พูดเรื่องแพ้ชนะแล้ว ออกจะเร็วเกินไปนัก”
ราชันย์แห่งหลิงไห่ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ผลแพ้ชนะได้ออกมาแล้ว”
ในสายตาของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว ซึ่งห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงก้าวเดียว รายละเอียดใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ก่อนการต่อสู้ ก็ล้วนสามารถส่งผลกระทบถึงผลแพ้ชนะในท้ายที่สุด
ราชันย์แห่งหลิงไห่คิดว่าในเมื่อเฉินฉางเซิงมาถึงก่อนแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย…ตอนนี้ยังห่างจากเวลาที่นัดหมายการประลองอยู่มาก เขามาก่อนเวลาขนาดนี้ บางทีก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าใจของเขาไม่สงบพอ อีกทั้งในตอนนี้เขายังยืนอยู่บนสะพานหน่ายเหอเพียงลำพัง ต่อให้คิดจะสงบใจ ก็เกรงว่าจะทำได้ยากแล้ว
เพราะว่าเขากำลังรอคอย รอคอยก็หมายความว่าจะถูกทำให้สั่นไหวได้ ช่วงเวลาที่อยู่บนสะพานเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้การครุ่นคิดมาเติมเต็ม และก่อนการต่อสู้ครั้งใหญ่ การคิดเรื่องมากมายเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
“ไม่เห็นว่าดี และก็ไม่เห็นว่าไม่ดี”
เหมาชิวอวี่มองไปทางสะพานหน่ายเหอ แล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “บางทีอาจจะมีจิตใจร้อนรน บางทีอาจจะมีจิตใจสงบนิ่ง มาปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมก่อน อย่างไรเสียก็ต้องดูนิสัยของคนผู้นั้น”
คำพูดนี้มีเหตุผลเป็นอย่างมาก
ที่จริงแต่ละฝ่ายก็ต่างมีเหตุผลของตน เพียงแต่เพราะจุดยืนที่ต่างกัน เป้าหมายต่างกัน ดังนั้นเหตุผลที่พูดและสนับสนุนย่อมต้องขัดแย้งกัน
เช่นเดียวกัน ก็สามารถมองว่าคนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้มีจุดยืนอย่างไร จากเหตุผลที่สนับสนุนกับคำพูดที่ใช้
“ข้าไม่เข้าใจการบำเพ็ญเพียร แต่เมื่อดูจากเจ้าสำนักเฉินในอดีตที่ผ่านมา หากพูดถึงความสงบกับความอดทน ก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยกันแล้ว”
คนที่พูดสิ่งนี้คือเสนาบดีกรมพิธีการ
คนจำนวนมากล้วนมองมาด้วยสายตาตกตะลึง แม้แต่เฉินหลิวอ๋องก็ยังเอียงตัวมามองขุนนางผู้ใหญ่ผู้นี้อยู่แวบหนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผู้คนถึงได้รู้ ที่แท้เสนาบดีการกรมพิธีการผู้นี้ก็มีใจให้กับราชวงศ์เก่า!
……
……
ในสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วมองออกไปที่ท้องฟ้าสีเทาที่นอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ยืนขึ้นมา หยิบเอาไม้ค้ำที่บนกำแพงแล้วเดินออกไป
ในตอนที่เขาเดินออกจากอาคารหลังเล็ก ก็รู้สึกว่าบนหน้าเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อยื่นมือออกไปจับ ก็พบว่าเป็นเกล็ดหิมะแผ่นหนึ่งที่กำลังจะละลาย
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้า ถึงได้รู้ว่าที่แท้หิมะก็เริ่มตกอีกครั้งแล้ว
……
……
“หิมะตกแล้ว” มีคนบนเรือพูดขึ้น
เกล็ดหิมะที่ค่อยๆ โปรยปรายลงมา ทำให้ผู้คนที่อยู่บนเรือลำใหญ่มีการเคลื่อนไหวขึ้นมา หลังจากนั้นก็เงียบเสียงลงไปอีกครั้ง
ผู้คนมองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่บนสะพาน ในใจคิดว่าถ้าหากหิมะตกหนักกว่านี้อีกหน่อย ก็อาจจะรบกวนจิตใจของเขาในเวลานี้
มองดูหิมะที่ตกลงมานี้สวีโหย่วหรงนั้นจะมาเร็วขึ้นอีกหน่อย หรือจะจงใจมาให้สายอีกหน่อยกัน
เกล็ดหิมะค่อยๆ กลายเป็นแผ่นหิมะ
ไม่ได้ผ่านไปนานนัก บนร่างของเฉินฉางเซิงก็ถูกหิมะคลุมจนเป็นสีขาวไปมาก
ชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำลั่วพลันยกร่มกันขึ้นมา ร่มนับหมื่นคันกางขึ้นพร้อมกัน ภาพที่เห็นก็น่าตื่นตาอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงมงไม่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขามองเห็นเพียงแค่หิมะที่ตกลงตรงหน้า
เขายืนนิ่งๆ บนสะพานมานานมากแล้ว แต่ก็เหมือนกับที่ราชันย์แห่งหลิงไห่วิเคราะห์เอาไว้เช่นนั้น จิตใจของเขายังคงไม่อาจจะสงบลงมาอย่างสมบูรณ์
เพราะว่าเขาในตอนนี้กังวลเป็นอย่างมาก
พูดให้ถูกคือ เขากังวลอย่างมากมาโดยตลอด
ตั้งแต่นาทีนั้นที่เห็นนกกระเรียนขาวบินลงมาที่ข้างทะเลสาบในสำนักฝึกหลวง เขาก็เริ่มเป็นกังวล กังวลมาตลอดหลายวันมานี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
เขาไม่เคยชินกับความรู้สึกกังวลเช่นนี้ เขารู้ดีแก่ใจว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกาย และยิ่งส่งผลกระทบถึงความสามารถที่เขาจะใช้ออกมาในการต่อสู้
ดังนั้น เขาจึงค่อยๆ ร้อนรนขึ้นมา
สาเหตุของความกังวลและร้อนรน แน่นอนว่าเป็นเพราะการประลองนี้ แต่เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือคู่ต่อสู้ในการประลองนี้คือนาง
จากเมืองซีหนิงมาจนถึงจิงตู ได้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ต้นเหตุทั้งหมดล้วนเป็นนาง และในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้พบเจอกับนางแล้ว
ในหลายวันก่อนหน้านี้ ในการคำนวณอนุมาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า หลังจากที่ได้เจอกับนางจริงๆ แล้วควรจะพูดอะไร
เขาคิดไม่ออก
คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว
ในนาทีนี้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจออกมา
เขาไม่ได้มองไปที่เรือลำใหญ่กับคนที่อยู่บนนั้นแล้ว เพราะว่านั่นเป็นเรื่องทางโลก ซึ่งซับซ้อนเกินไป
เขาก็ไม่มองไปที่หิมะที่ตกลงมาจากฟ้าอีก เพราะว่าหิมะนั้นเคลื่อนไหวอย่างไร้ร่องรอย ยากที่จะจับต้อง
เขามองไปที่น้ำซึ่งอยู่ใต้สะพาน
แม่น้ำลั่วในฤดูหนาวนั้นสงบนิ่ง แต่ส่วนลึกใต้ผิวน้ำลงไปมีการไหลอย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหว น้ำในแม่น้ำนี้ได้รวมเป็นหนึ่ง ซึ่งนี่คือการเคลื่อนไหวเป็นหนึ่ง
เขามองไปที่ใต้สะพาน ให้จิตใจไหลไปตามสายน้ำ ค่อยๆ สงบลง จนกระทั่งลืมเลือนสรรพสิ่ง ทำให้ว่างเปล่า
ก็เป็นในตอนนี้เอง สวีโหย่วหรงมาถึงแล้ว
นางเดินมาจากถนนสายยาวทางด้านนั้น ราวกับมาคู่กับสายลมและเกล็ดหิมะ มาอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่มีการเคลื่อนไหวใด
สามลมและหิมะเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติอย่างมาก การมาถึงของนางก็เป็นธรรมชาติอย่างมาก ถึงกับไม่มีคนรู้ตัว ก็มาถึงใต้สะพานหน่ายเหอแล้ว
ในนาทีนี้ เฉินฉางเซิงกำลังมองทิวทัศน์น้ำไหลอยู่บนสะพาน
นางมองคนที่มองทิวทัศน์อยู่บนสะพานผู้นั้น
นกกระเรียนขาวบินมาจากที่ห่างไกล พัดให้เกล็ดหิมะกระจัดกระจาย แล้วร่อนลงบนชายคาสีดำบนเรือนซึ่งอยู่ด้านหลังสะพานของชาวเมืองหลังหนึ่ง
นี่ก็เป็นทิวทัศน์ที่แสนจะงดงามอย่างมากภาพหนึ่ง