เสียงนกกระเรียนขาวที่ดังไปตามสายลมและหิมะนั้นกังวานไปทั่วสองฝั่งแม่น้ำลั่ว
ฝูงคนค่อยๆ ยืนขึ้นมา ทุกที่ล้วนมีเสียง บางคนเขย่งเท้า เพื่อที่จะสามารถมองการเคลื่อนไหวบนสะพานที่ไกลออกไปให้ชัดเจนอีกหน่อย บางคนถึงกับปีนขึ้นไปบนกิ่งของต้นไหวที่อยู่ข้างแม่น้ำ แต่ต้นไม้ในฤดูหนาวก็เริ่มเปราะไปบ้าง ไหนเลยจะสามารถรองรับคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ จึงได้ยินเพียงเสียงหักดังขึ้น ต้นไหวนับสิบต้นก็พากันหักลงมา อย่างน้อยก็มีชาวเมืองนับสิบคนที่ตกลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบ ดีที่ในวันนี้มีนักบวชของพระราชวังหลีกับทหารของต้าโจวเฝ้าอยู่รอบด้าน ที่ปลายน้ำก็มีเรือเตรียมไว้ ไม่นานชาวเมืองเหล่านั้นก็ถูกช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแค่ถูกน้ำในแม่น้ำที่เย็นไปถึงกระดูกเข้า คิดว่าการล้มป่วยก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แล้ว
การประลองบนสะพานหน่ายเหอยังไม่ได้เริ่มต้น กระทั่งยังไม่มีคนเห็นเงาร่างของสวีโหย่วหรง สถานการณ์ก็วุ่นวายถึงเพียงนี้ สามารถเห็นได้เลยว่า ผู้คนมีความคาดหวังรอคอยต่อการประลองครั้งนี้มากมายขนาดไหน
เรือใหญ่มีระยะห่างจากสะพานหน่ายเหอค่อนข้างใกล้ พวกบุคคลสำคัญที่อยู่บนเรือก็เห็นเงาร่างนั้นที่อยู่ท่ามกลางสายลมและเกล็ดหิมะที่ใต้สะพานแล้ว จึงเคลื่อนไหวกันเล็กน้อย แล้วหลังจากนั้นก็สงบลง
ก็เป็นในตอนนี้เอง ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็ไม่รู้ว่าไปขึ้นเรือจากที่ไหน หลังจากที่มารวมตัวกับซูม่ออวี๋แล้ว ก็เริ่มค้นหาตำแหน่งชมการประลองที่เหมาะสม หัวเรือล้วนเป็นบุคคลสำคัญกับผู้อาวุโส ถึงเขาจะกำเริบอย่างไร ก็ไม่เหมาะจะไปหาเรื่องในเวลาเช่นนี้ เมื่อมองไปรอบด้าน ทันใดนั้นใบหน้าก็แสดงความยินดีขึ้นมา แล้วพาทั้งสองคนไปเบียดอยู่ที่ข้างกายม่ออวี่ ม่ออวี่มองเขาอยู่แวบหนึ่ง โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ถังซานสือลิ่วมองไปทางสะพานหน่ายเหอที่ไกลออกไป แล้วพูดขึ้น “จะเริ่มสู้กันเช่นนี้แล้วจริงๆ หรือ”
ม่ออวี่มองเด็กหนุ่มบนสะพานกับเด็กสาวที่ใต้สะพาน นางไม่ได้พูด แต่สีหน้าก็มีความซับซ้อนอยู่บ้าง
การประลองครั้งนี้เป็นการปะทะกันของผู้นำรุ่นเยาว์ของนิกายหลวงเหนือใต้ทั้งสองฝ่าย และก็เป็นการแข่งขันกันครั้งแรกของกลุ่มอำนาจใหม่กับเก่าของนิกายหลวงทั้งสองกลุ่ม ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การประลองครั้งนี้เป็นตัวแทนเจตจำนงที่ขัดแย้งกันของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราช
เฉินฉางเซิงที่อยู่บนสะพานกำลังมองสายน้ำ มองเกล็ดหิมะที่ตกลงบนสายน้ำแล้วละลายจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ความกังวลกับร้อนรนที่อยู่ในใจก็เหมือนกับเกล็ดหิมะเหล่านั้น ที่ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหันกายไปมองทางสายลมและเกล็ดหิมะนั่น
นี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายอย่างหนึ่ง ไม่ได้หนักแน่น แต่กลับเชื่องช้าอย่างมาก เพราะว่าการหันตัวนี้ ใช้เวลานานอย่างมาก
ขวางกั้นด้วยสายลมและเกล็ดหิมะ เขามองเห็นเด็กสาวผู้นั้นที่ใต้สะพาน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสวีโหย่วหรง ผู้ซึ่งเป็นอดีตคู่หมั้นของตน เจ้าของจดหมายเหล่านั้นไปจนถึงแมลงปอไม้ไผ่
ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาเคยคิดอยู่บนสะพานเช่นนั้น ชีวิตของเขาในบางความหมายแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะเด็กสาวผู้นี้
เรื่องราวมากมายเป็นเพราะนางถึงได้เกิดขึ้น แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน
ก่อนที่จะได้พบกัน เขาเคยได้ยินเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับนางไปจนถึงคำชื่นชมต่อนาง แต่เขาก็ยังคิดว่านางจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จะมีเรือนผมยาวสีดำเป็นประกายหรือไม่ จะมีใบหน้าที่งดงามเช่นนั้นจริงๆ หรือเปล่า…ในตอนนี้เขาไม่ได้เห็นหน้านาง ไม่ได้เห็นเรือนผมสีดำของนาง แต่กลับพบว่านางที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะใต้สะพานเหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ
นางสวมชุดกระโปรงสีขาว ไม่ได้ถือร่ม นางสวมหมวกเอาไว้ โดยที่หมวกมีผ้าขาวบางทิ้งลงมา ซึ่งบดบังใบหน้าของนางเอาไว้
เขาสามารถเห็นได้เพียงบางอย่าง ไม่ชัดเจน แต่ก็น่าจะงดงามอย่างมาก
ไม่สามารถได้เห็น ก็งดงามอย่างมาก เพราะนั่นเป็นความงามอย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะบรรยาย
ใช่ ต่อให้ผ้าขาวบางจะบดบังใบหน้าเอาไว้ นางเพียงแค่ยืนอย่างสงบอยู่ที่ตรงนั้น ก็ทำให้คนรู้สึกว่างดงามจนไม่อาจจะบรรยายได้
นางยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและเกล็ดหิมะ ราวกับว่าจะถูกลมพัดไปได้ตลอดเวลา ไร้ร่องรอยไปตามเกล็ดหิมะ
เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนของโลกแห่งนี้ นางควรจะอยู่ลำพังบนภูเขาสูงที่บริสุทธิ์ไร้ผู้คน
มองเห็นเด็กสาวที่อยู่ท่ามกลางสายลมและเกล็ดหิมะ ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมสวีซื่อจีกับถังซานสือลิ่วถึงคิดว่าเมื่อตนได้เห็นนางก็จะต้องเปลี่ยนความคิด ทำไมถังซานสือลิ่วถึงพูดว่าเคยเห็นคนจำนวนมากต้องพลาดไปชั่วชีวิตเพราะนาง ทำไมถึงพูดว่านางทำให้ผู้คนไร้คำจะพูด
……
……
ผ้าขาวบางบนหน้าของสวีโหย่วหรงถูกลมพัดเบาๆ นั่นก็เป็นการแสดงว่ากำลังพยักหน้า
เฉินฉางเซิงพยักหน้ากลับไปเป็นมารยาท ในใจก็คิดว่าในตอนนี้ตนควรจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นาทีถัดมา เขาก็พบว่าหลายวันก่อนจนมาถึงนาทีนี้ตนล้วนคิดมากเกินไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวที่อยู่กลางหิมะไม่มีความต้องการที่จะพูด นางเพียงแค่ยืนอย่างสงบอยู่ตรงนั้น
ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำลั่วล้วนเงียบสนิท
มีเพียงเสียงของน้ำในแม่น้ำที่ไหลไปกระทบผ่านเรือใหญ่เบาๆ
กระทั่งสามารถได้ยินถึงเสียงหิมะที่ตกลงมา
ทุกคนล้วนเหมือนกับเฉินฉางเซิง ที่รู้สึกว่าในเวลานี้เขาควรจะพูดอะไรบางอย่าง ผู้คนอย่างจะได้ยินว่าก่อนการประลองเขากับสวีโหย่วหรงจะพูดอะไรบ้าง
การประลองครั้งนี้สำหรับราชสำนักกับพวกบุคคลสำคัญในพระราชวังหลีแล้ว สามารถถอดความหมายได้มากมาย ชาวเมืองจิงตูเองก็ชัดเจนดี แต่พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก…ใครจะสามารถรับสืบทอดอำนาจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ใครจะเป็นใต้เท้าสังฆราชในรุ่นถัดไป จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนธรรมดามากนัก ในปีนั้นที่การเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้าเกิดขึ้น หลังจากคดีเลือดของสำนักฝึกหลวง จิงตูก็ยังเป็นเมืองจิงตูแห่งนี้
ผู้คนนั้นสนใจพวกบุญคุณความรักความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในการประลองครั้งนี้มากกว่า
ระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงมีสัญญาหมั้นติดตัว บางทีอาจเป็นอย่างที่พูดในข่าวลือ สัญญาหมั้นฉบับนั้นถูกใต้เท้าสังฆราชบังคับยกเลิกไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของพวกเขาไปได้
เดิมทีพวกเขาเป็นว่าที่สามีภรรยา เดิมทีน่าจะเป็นคู่สามีภรรยา
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้บางคนปลงอนิจจัง เมื่อฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีก่อน เหล่าผู้คนในจิงตูยังเคยล้อมสำนักฝึกหลวงเพราะสัญญาหมั้นฉบับนี้ แล้วนำเฉินฉางเซิงมาก่นด่าเสียราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่ง กระทั่งยังมีการตั้งใจพัฒนาสุภาษิตขึ้นมา แต่เวลาให้หลังเพียงหนึ่งปี ผู้คนในจิงตูก็เปลี่ยนท่าทีแล้ว พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นการแต่งงานครั้งนี้สามารถประสบความสำเร็จขึ้นมา เพราะว่าในสายตาของพวกเขา เฉินฉางเซิงนั้นคู่ควรกับสวีโหย่วหรงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และเขาก็ยังเป็นชาวต้าโจว…ให้สวีโหย่วหรงแต่งกับชิวซานจวิน ไม่สู้ให้แต่งกับเขา
ผู้คนบนสองฝั่งแม่น้ำลั่วกำลังคิดอะไรบางอย่าง กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงไม่รู้เลย และก็คงจะไม่สนใจด้วย
พวกเขาสบตากันอย่างสงบโดยมีเพียงแค่สายลมกับเกล็ดหิมะเท่านั้นที่ขวางกั้น โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดคุย
เป็นเวลานานอย่างมากก็ไม่ได้มีการพูดคุย
จนกระทั่งถึงท้ายที่สุด เขากับนางก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
ความเงียบเชียบของสะพานหน่ายเหอ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ถูกทำลายไป เพียงแต่ได้ถูกการกระทำอย่างหนึ่งให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา
สวีโหย่วหรงได้ยื่นมือของไปจับเข้าที่กระบี่
กระบี่ที่นางใช้ก็แน่นอนว่าไม่ใช่กระบี่ธรรมดา และเป็นกระบี่ที่มีชื่อเล่มหนึ่ง
กระบี่จำศีลของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เวลานับร้อยปี ในที่สุดก็ได้กลับมาสู่มือของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบัน
มือของนางที่จับด้ามกระบี่ช่างขาวเป็นอย่างมาก ถึงกับขาวกว่าหิมะอยู่สามส่วน
เฉินฉางเซิงไม่ได้สังเกตถึงจุดนี้ เขาเพียงแค่มองดวงตาของนาง และได้พบว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจจะได้สบกับสายตาของนาง
ผ้าขาวบางที่ทิ้งตัวลงจากหมวกนั่นดูเหมือนจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง
สวีโหย่วหรงดึงกระบี่จำศีลที่อยู่ในมือออกจากฝัก
เสียงคำรามของกระบี่ได้ดังขึ้นที่สะพานหน่ายเหอ และกระจายไปทั้งส่วนบนและส่วนล่างของแม่น้ำลั่ว
ผิวน้ำที่สงบนิ่งพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา หลังจากนั้นสายน้ำก็กลายเป็นเกลียวคลื่นขึ้นมา และไม่หยุดที่จะซัดกระทบเข้าหัวเรือกับฝั่งทั้งสองด้าน จึงเกิดเสียงดังขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน ในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงก็เกิดคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา