ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 11 เสียงสวรรค์โรย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่มีการเปิดงานใดๆ ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการปูเรื่องเอาไว้ ไม่มีสายลมและเกล็ดหิมะที่พัดกระหน่ำ

การประลองที่ถูกผู้คนมากมายจับตามองนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย

ความเร็วที่สวีโหย่วหรงดึงกระบี่ออกมานั้นเชื่องช้าอย่างมาก ราวกับถูกแบ่งออกเป็นการเคลื่อนไหวจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งขึ้นใหม่อีกครั้ง

ระหว่างที่กระบี่จำศีลออกจากฝัก ตัวกระบี่ที่หุ้มด้วยปราณแท้กับฝักกระบี่ได้กระทบกันไม่หยุด ส่งเป็นเสียงคำรามของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อรวมอยู่ที่จุดเดียวก็เป็นเสียงคำรามของกระบี่ที่ยืดยาวและเปลี่ยนแปลงไปมา

กระบี่ยังไม่ได้ออกจากฝักอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ถูกชักออกมาแล้ว

กระบี่ของนางก็คือเสียงคำรามของกระบี่บนสะพานหน่ายเหอนี้

เสียงกระบี่เข้าสู่หู ตรงเข้าไปยังห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง มองไม่เห็นแต่กลับสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

ชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งของแม่น้ำลั่วล้วนได้ยินเสียงคำรามของกระบี่ที่ราวกับเป็นคลื่นก็ไม่ปานนี้ นักเรียนแต่ละสำนักที่ระดับการบำเพ็ญเพียรค่อนข้างต่ำซึ่งอยู่บนเรือใหญ่ ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามของกระบี่นี้ สีหน้าก็ซีดขาวขึ้นมาในชั่วพริบตา

“เสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้” ราชันย์แห่งหลิงไห่มองสวีโหย่วหรงที่อยู่บนสะพานหน่ายเหอแล้วพูดขึ้น “คลื่นลมนับหมื่นสายเกิดขึ้นตามกระบี่ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ทะเลใต้ ก็มีสิ่งที่ได้บรรลุมาจริงๆ”

เหมาชิวอวี่ที่อยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ขมวดคิ้วอยู่น้อยๆ

เมื่อได้ยินเสียงกระบี่คำรามเสียงนี้ที่กระจายอยู่บนสะพานหน่ายเหอ สีหน้าของถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็เปลี่ยนแปลงขึ้นมา สวีโหย่วหรงยังไม่ได้ลงมืออย่างแท้จริง ก็ทรงพลังถึงเพียงนี้ เฉินฉางเซิงจะสามารถรับมือไหวหรือ

ม่ออวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ มีเพียงแค่คนจำนวนน้อยมากที่รู้ ที่สวีโหย่วหรงเชี่ยวชาญที่สุดคือการใช้ธนู แต่นางรู้ ดังนั้นตั้งแต่ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ นางล้วนไม่เข้าใจ ทำไมสวีโหย่วหรงถึงไม่ใช้ธนูถง แต่กลับใช้กระบี่จำศีล เป็นเพราะนางดูถูกเฉินฉางเซิงหรือ

ทันใดนั้น นางก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา สวีโหย่วหรงคิดจะเอาชนะเฉินฉางเซิงด้วยวิถีกระบี่ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด และอาศัยสิ่งนี้ทำลายหัวใจของการบำเพ็ญเพียรของเขา ทำลายความเป็นไปได้ที่เขาจะกลายไปเป็นใต้เท้าสังฆราชอย่างนั้นหรือ

……

……

เสียงคำรามของกระบี่สะท้อนอยู่บนสะพานหน่ายเหอ เหล่าเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเหล่านั้นไม่ได้รับผลกระทบใด แต่เฉินฉางเซิงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะว่าเสียงคำรามของกระบี่นี้ ทำให้ห้วงแห่งจิตของเขาราวกับเกิดพายุฝนพัดกระหน่ำขึ้น คลื่นยักษ์เสียดฟ้าพลันถาโถมเข้ามา ทำให้ดวงจิตของเขาไม่สงบ กระทั่งเริ่มจะมีสัญญาณของการล่มสลาย

เพียงแค่การชักกระบี่ ก็ทรงพลังถึงเพียงนี้

ในเอกสารที่เฉินฉางเซิงเคยตรวจสอบมา ไม่ได้กล่าวว่าสวีโหย่วหรงเชี่ยวชาญการต่อสู้ในรูปแบบไหน ในการต่อสู้ที่มีการบันทึกเอาไว้ สิ่งที่นางแสดงออกมาก็เป็นคำว่าเชี่ยวชาญในทุกสรรพสิ่ง

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงได้มั่นใจว่าที่แท้สวีโหย่วหรงก็บำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าจะห่างไกลกับปรมาจารย์ใหญ่อย่างซูหลีอีกมาก แต่ถ้าพูดถึงความเข้าใจที่มีต่อหลักการของฟ้าดิน กลับไม่ได้ด้อยกว่าเลย

เสียงกระบี่คำรามนี้ ก็แอบแฝงหลักการของฟ้าดินอยู่ เป็นสายลมกระหน่ำที่มาจากทะเลใต้

เฉินฉางเซิงมองกระบี่ของนาง เคลื่อนไหวดวงจิต แล้วฝืนให้คลื่นลมในห้วงแห่งจิตสงบลง

อันที่จริงแล้ว ความเร็วในการชักกระบี่ของสวีโหย่วหรงไม่ได้เชื่องช้า เพียงแต่เพราะว่ามันชัดเจนเกินไป ดังนั้นภาพเหตุการณ์ถึงได้ดูเชื่องช้าไปบ้าง

ระหว่างที่กระบี่จำศีลได้ออกจากฝักกระบี่ ก็ราวกับเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน

สุดท้ายแล้ว ในที่สุดกระบี่จำศีลก็มาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทาง

คลื่นลมในแม่น้ำลั่วพลันเพิ่มความบ้าคลั่งขึ้นมา

ห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงถูกเสียงคำรามของกระบี่นี้จู่โจมเข้า แล้วก็แทบจะไม่สามารถสงบได้แล้ว

ก็เป็นในตอนนี้เอง เฉินฉางเซิงพลันขยับขึ้นมา

เสียงฟึ่บก็ดังขึ้น!

บนสะพานหน่ายเหอพลันเงียบลงในทันที

กระบี่ไร้ราคีออกจากฝัก แทงตรงไปยังหิมะเกล็ดหนึ่งที่อยู่ในฝากฟ้า

กระบี่นี้ไม่ได้เป็นรูปธรรมนัก ทั้งยังดูเป็นนามธรรมอยู่บ้าง แม้แต่หิมะเกล็ดนั้นที่ถูกคมกระบี่ชี้ไป ก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยังคงค่อยๆ โปรยปรายลงมาสู่พื้นสะพาน

แต่เสียงกระบี่ก็ดังขึ้นมาแล้ว

ถ้าหากพูดว่าการชักกระบี่ของสวีโหย่วหรงเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า การชักกระบี่ของเฉินฉางเซิงก็รวดเร็วจนถึงขีดสุด

กระบี่จำศีลเดินผ่านเส้นทางนับหมื่นลี้มาอย่างสงบ กระบี่ของเขาก็พุ่งตรงจากผืนดินไปสู่ท้องฟ้าแล้ว

ดุจแจกันสีเงินที่แตกกระจาย

เสียงที่ใสกระจ่างพลันดังขึ้น

เสียงกระบี่คำรามอันใสกระจ่าง ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็สอดแทรกเข้าไปในเสียงคำรามของกระบี่จำศีล

เสียงคำรามของกระบี่ที่ห่างไกลเรียบเฉยแต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยอานุภาพของพายุคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วน กลับเป็นเพราะสิ่งนี้ถึงได้ชะงักไป

ในเสี้ยววินาทีที่กระบี่จำศีลหลุดออกจากฝัก เสียงกระบี่คำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง กระทั่งดังชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

เฉินฉางเซิงเก็บกระบี่กลับไป เสียบกลับไปที่ข้างกายเบาๆ ราวกับใช้แขนเสื้อปัดเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมา

และก็เป็นกระบี่นามธรรมนั่นอีกครั้ง จากท้องฟ้ากลับมายังชายฝั่ง บดขยี้หยาดน้ำที่กระเซ็นมา

สายลมพัดเข้าไปในภูเขา

เสียงร่ำร้องดังขึ้น

เสียงกระบี่ทั้งสองเสียงได้ดังขึ้น เสียงคำรามของกระบี่ได้หยุดลง

บนสะพานหน่ายเหอได้เงียบเสียงลงอีกครั้ง

……

……

พวกเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่มองดูสะพานแห่งนั้นที่ห่างออกไปหนึ่งลี้ มองดูเด็กหนุ่มกับเด็กสาวที่อยู่บนสะพาน สีหน้าก็มีความซับซ้อนอยู่บ้าง

การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเพียงแค่ชักกระบี่ออกมาจากฝัก แต่ในระหว่างนั้นได้ซุกซ่อนความลึกล้ำและอันตรายเอาไว้ ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าการต่อสู้กันของผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นตามปกติเลย

ผู้คนที่อยู่บนเรือใหญ่ต่างพากันถามตัวเอง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตนเองในตอนนั้น จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้หรือ สุดท้ายคำตอบที่ได้ ก็คำให้พวกเขาต้องรู้สึกปลงอนิจจัง บางที ในระหว่างที่สวีโหย่วหรงชักกระบี่ออกมา พวกเขาก็คงจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ส่วนพวกที่บำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่เหล่านั้น เมื่อได้มองเห็นภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งสะท้านในหัวใจ และเกิดเป็นความรู้สึกล้มเหลวพ่ายแพ้จำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงแล้ว กระบี่ของตนนั้นคู่ควรจะเรียกว่ากระบี่หรือ

“นี่คือเพลงกระบี่อะไร” ไม่รู้ว่าใครที่อยู่ในฝูงคนได้ถามขึ้น

ไม่มีคนเอ่ยตอบคำถามนี้

เหมาชิวอวี่พูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เฉินฉางเซิงเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง”

คนอย่างเช่นพวกเขาเหล่านี้แน่นอนว่าต้องมองออก ที่เฉินฉางเซิงใช้ก็คือเพลงกระบี่เสียงสวรรค์โรยของสถานศึกษาหนานซี

เพลงกระบี่ที่มีชื่อว่าเสียงสวรรค์โรยนี้ ที่จริงเป็นเพลงกระบี่ที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้ร่ายรำบวงสรวงดวงดาว ไม่ได้มีอานุภาพอะไรอย่างแท้จริง และถูกนำมาใช้ในการต่อสู้จริงน้อยมาก

แต่ที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่นี้ขึ้นมาในเวลานี้ กลับเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เพราะว่าเพลงกระบี่ชุดนี้กับเสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้ที่สวีโหย่วหรงใช้มีพื้นฐานร่วมกัน และสิ่งนี้ก็ยังสามารถทำให้จิตใจของผู้ใช้กระบี่สงบลงได้มากที่สุด

เสียงสวรรค์โรย เสียงกระบี่กลายเป็นกฎ สอดประสานเข้ากับเสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้ของสวีโหย่วหรง ต่อให้คลื่นลมจะใหญ่โตสักแค่ไหน แน่นอนว่าก็ต้องสงบลง

นักพรตซือหยวนพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ใครก็รู้ การใช้เสียงสวรรค์โรยมาทำลายเสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ช่างไม่รู้จริงๆ เลยว่านี่นับว่าเป็นอัจฉริยะอะไร”

เหมาชิวอวี่พูดขึ้นอย่างสงบ “ปัญหาอยู่ตรงที่ ไม่ใช่ว่าใครก็ล้วนสามารถเรียนเพลงกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีได้ แต่ต่อให้มีโอกาสได้เรียน ใครจะไปคิด ว่าจะไปเรียนเพลงกระบี่ที่ใช้ร่ายรำบวงสรวงดวงดาวชุดนี้”

นักพรตซือหยวนได้ยิน ก็ไม่ได้พูดขึ้นอีก

เขาที่เป็นหนึ่งในหกผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงล้วนมีความเข้าใจต่อเพลงกระบี่จำนวนมากมายของสถานศึกษาหนานซี และก็เคยเรียนเพลงกระบี่สองชุดที่ทรงพลังที่สุดในนั้น ซึ่งแม้แต่เขาก็ยังใช้เพลงกระบี่อย่างเสียงสวรรค์ที่โรยไม่ได้

ก็เหมือนกับที่ซูหลีกับเฉินฉางเซิงเคยพูดคุยกันที่ทุ่งกว้างมาก่อนนั่น เดิมทีการเรียนเพลงกระบี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าเพียงได้เห็นกระบวนท่าที่อีกฝ่ายใช้ออกมา หลังจากนั้นก็จดจำลงไป ก็จะสามารถเรียนรู้และใช้เพลงกระบี่ของอีกฝ่ายได้ เจ้าจะต้องมีวิธีใช้ปราณแท้ที่สอดคล้องและประสานไปกับเพลงกระบี่เหล่านี้ จนกระทั่งสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงจะนับได้ว่าเจ้าเรียนเพลงกระบี่ชุดนี้สำเร็จแล้ว

เฉินฉางเซิงไม่มีวิธีการเคลื่อนปราณแท้ของเพลงกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีเหล่านั้น แต่เขามีวิธีการอื่น เริ่มจากปีก่อนที่เริ่มสอนลั่วลั่วเป็นต้นมา จนถึงภายหลังที่ช่วยรักษาเซวียนหยวนผ้อกับเจ๋อซิ่ว ผ่านความเข้าใจที่มีต่อปีศาจและเผ่าปีศาจ บวกกับการครุ่นคิดของตนเองในหลายปีมานี้ วิธีการทดแทนชุดนั้นของเขาก็ฝึกจนคุ้นเคยเป็นอย่างมากแล้ว กระทั่งแม้แต่ซูหลีก็ยังตกตะลึงอยู่บ้างเหมือนกัน

ผ่านวิธีการทดแทนชุดนั้น เพลงกระบี่เหล่านี้ทั้งหมดที่เขาใช้ออกมา แน่นอนว่าอานุภาพจะลดลงไปอย่างมาก แต่ในส่วนของเจตจำนงกระบี่กลับใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ

ก่อนหน้าที่เขาจะใช้เสียงสวรรค์โรย ที่ดึงมาใช้เดิมทีก็คือเจตจำนงกระบี่

……

……

เสียงกระบี่คำรามเสียงหนึ่ง เสียงของกระบี่ทั้งสองเสียง

สายลมและเกล็ดหิมะบนสะพานหน่ายเหอยังคงเป็นเหมือนเก่า

เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงยืนอย่างสงบอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของสะพาน

ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย

อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาต่างจับกระบี่ของตนขึ้นมาแล้ว

แน่นอนว่าจับกระบี่ก็หมายความว่าจะลงมือ ระหว่างที่เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา เงาร่างของเฉินฉางเซิงพลันหายไปอย่างกะทันหัน นาทีถัดมาก็มาปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของสวีโหย่วหรง ซึ่งเข้าไปใกล้อย่างมากแล้ว

บนเรือที่ไกลออกไปพอจะได้ยินเสียงที่ตกตะลึงขึ้นมา

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างสวีโหย่วหรง จะใช้การหลบซ่อนอย่างไรหรือจะพูดว่าการวางรูปแบบอย่างไรก็ล้วนไม่มีความหมาย เขาทำได้เพียงแสดงสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดออกมา หลังจากนั้นก็ดูว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่

ดังนั้นเขาจึงใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาออกมาอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นก็ใช้เพลงกระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า

นี่เป็นเพลงกระบี่ที่รวดเร็วที่สุดในบรรดาเพลงกระบี่ทั้งหมดที่เขามีอยู่

ก็เหมือนกับย่างก้าวหยั่งเทวาที่รวดเร็วที่สุด

เพลงกระบี่แรกของสวีโหย่วหรง เดินอยู่บนเส้นทางที่ล้ำลึก

เพลงกระบี่แรกของเขา ไม่มีข้อเรียกร้องอะไร มีเพียงแค่ความเร็วคำเดียวเท่านั้น

ได้ยินเพียงเสียงโลหะที่กระทบกันครั้งหนึ่ง

อากาศที่อยู่บนสะพานหน่ายเหอก็ราวกับถูกแทงทะลุเข้ามา

แสงจากกระบี่ที่ส่องสว่างสายหนึ่ง ได้ส่องไปยังเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและท้องฟ้าที่ค่อนข้างจะมืดครึ้ม อีกทั้งส่องสว่างไปยังผ้าขาวบางที่ทิ้งตัวลงมาจากหมวกของสวีโหย่วหรง

คมกระบี่แทงตรงไปยังไหล่ซ้ายของสวีโหย่วหรง

บนเรือที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงตกตะลึงดังขึ้นมาอีกครั้ง

กระบี่ของเฉินฉางเซิงนี้รวดเร็วอย่างหาใดเปรียบ คมกระบี่แหวกอากาศเข้าไป ถึงกับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าเสียง

แต่…กลับไม่เร็วเท่ากระบี่ของสวีโหย่วหรง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ กระบี่จำศีลเล่มนั้นก็มาปรากฏอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะ แล้วโจมตีเข้าไปที่กระบี่ไร้ราคีอย่างสงบและแม่นยำ

กลายเป็นเสียงกระบี่คำรามขึ้นมา!

สมแล้วที่เป็นร่างที่มีสายเลือดของหงส์สวรรค์ ได้ถือครองพลังที่ยากจะจินตนาการ แน่นอนว่าก็ถือครองความเร็วที่ยากจะเทียบเคียง กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้าจะรวดเร็วสักแค่ไหน ก็จะไปเทียบกับหงส์สวรรค์ที่กางปีกโบยบินหมื่นลี้ได้อย่างไร

ที่ทำให้เฉินฉางเซิงยิ่งตกตะลึงก็คือ ตอนที่กระบี่ทั้งสองเข้าปะทะกัน เขาถึงได้พบว่ากระบี่ของสวีโหย่วหรงนี้เป็นการใช้หน้ากระบี่!

หน้ากระบี่ที่ปะทะเข้ากับสายลม แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับความเร็วของคมกระบี่ที่แหวกอากาศไป แต่กระบี่ของนางกลับมาถึงก่อน

ถ้าหากว่าสวีโหย่วหรงไม่ได้มาขวางกระบี่นี้เอาไว้ แต่ประชันความเร็วกับเขาตรงๆ เช่นนั้นเขาจะสวนกระบี่กลับไปทันหรือ

นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ แต่ในสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่ทันได้มาคิดเรื่องเหล่านี้

กระบี่ไร้ราคีกับกระบี่จำศีลได้ปะทะกัน เกล็ดหิมะที่อยู่รอบด้านราวกับถูกกระแสอากาศพัดออกไป ซึ่งกระจายไปอย่างบ้าคลั่ง

กระบี่ทั้งสองได้แยกออกจากกัน

กลิ่นอายบนสะพานหน่ายเหอได้เปลี่ยนไปแล้ว

นั่นเป็นเพราะกลิ่นอายของสวีโหย่วหรงเปลี่ยนไป

ตัวนางที่ยืนอย่างสงบมาโดยตลอด ราวกับสูงใหญ่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ไม่ใช่ว่าสูงใหญ่ขึ้นมาจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่ความเกรงขามแบบหนึ่งเท่านั้น

ความน่าเกรงขามของเทพผู้อยู่บนฟ้าแล้วมองลงมายังสรรพชีวิตได้ปรากฏขึ้นบนร่างของนาง

กระบี่ของนางก็ฟันไปทางเฉินฉางเซิง!

เป็นสิ่งที่ต่างจากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในความคิดของคนธรรมดา ไม่เหมือนกับความทรงจำของชาวเมืองจิงตูที่มีต่อนาง

กระบี่นี้ไม่มีความรู้สึกบริสุทธิ์หลุดพ้นจากโลกโลกีย์

และก็ไม่มีความรู้สึกล่องลอยไม่หยุดนิ่งอันล้ำลึก

กระบี่ของสวีโหย่วหรงนี้เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด

เพราะว่าเรียบง่าย ดังนั้นถึงได้แสดงความแหลมคมออกมา!

มือทั้งสองข้างของนางจับอยู่ที่ด้ามของกระบี่จำศีล ยกขึ้นเหนือศีรษะ อยู่ระนาบเดียวกับหว่างคิ้ว ราวกับกำลังบวงสรวงสวรรค์

นาทีถัดมา กระบี่จำศีลก็แหวกอากาศลงมา พุ่งจากหว่างคิ้วของนางออกไป นำพาจิตวิญญาณทั้งหมดของนาง มุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างไม่อาจขัดขวาง!

ราวกับปราณแท้จำนวนมหาศาลที่ไร้ขีดจำกัด ดวงจิตที่มั่นคงไม่อาจสั่นไหว ท่วงท่ากระบี่ที่บ้าคลั่งอย่างหาใดเปรียบ ได้ฟันลงไปที่ศีรษะของเฉินฉางเซิง!