ไม่มีการเปิดงานใดๆ ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการปูเรื่องเอาไว้ ไม่มีสายลมและเกล็ดหิมะที่พัดกระหน่ำ
การประลองที่ถูกผู้คนมากมายจับตามองนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย
ความเร็วที่สวีโหย่วหรงดึงกระบี่ออกมานั้นเชื่องช้าอย่างมาก ราวกับถูกแบ่งออกเป็นการเคลื่อนไหวจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งขึ้นใหม่อีกครั้ง
ระหว่างที่กระบี่จำศีลออกจากฝัก ตัวกระบี่ที่หุ้มด้วยปราณแท้กับฝักกระบี่ได้กระทบกันไม่หยุด ส่งเป็นเสียงคำรามของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อรวมอยู่ที่จุดเดียวก็เป็นเสียงคำรามของกระบี่ที่ยืดยาวและเปลี่ยนแปลงไปมา
กระบี่ยังไม่ได้ออกจากฝักอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ถูกชักออกมาแล้ว
กระบี่ของนางก็คือเสียงคำรามของกระบี่บนสะพานหน่ายเหอนี้
เสียงกระบี่เข้าสู่หู ตรงเข้าไปยังห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง มองไม่เห็นแต่กลับสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ชาวเมืองที่อยู่สองฝั่งของแม่น้ำลั่วล้วนได้ยินเสียงคำรามของกระบี่ที่ราวกับเป็นคลื่นก็ไม่ปานนี้ นักเรียนแต่ละสำนักที่ระดับการบำเพ็ญเพียรค่อนข้างต่ำซึ่งอยู่บนเรือใหญ่ ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามของกระบี่นี้ สีหน้าก็ซีดขาวขึ้นมาในชั่วพริบตา
“เสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้” ราชันย์แห่งหลิงไห่มองสวีโหย่วหรงที่อยู่บนสะพานหน่ายเหอแล้วพูดขึ้น “คลื่นลมนับหมื่นสายเกิดขึ้นตามกระบี่ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ทะเลใต้ ก็มีสิ่งที่ได้บรรลุมาจริงๆ”
เหมาชิวอวี่ที่อยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ขมวดคิ้วอยู่น้อยๆ
เมื่อได้ยินเสียงกระบี่คำรามเสียงนี้ที่กระจายอยู่บนสะพานหน่ายเหอ สีหน้าของถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็เปลี่ยนแปลงขึ้นมา สวีโหย่วหรงยังไม่ได้ลงมืออย่างแท้จริง ก็ทรงพลังถึงเพียงนี้ เฉินฉางเซิงจะสามารถรับมือไหวหรือ
ม่ออวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ มีเพียงแค่คนจำนวนน้อยมากที่รู้ ที่สวีโหย่วหรงเชี่ยวชาญที่สุดคือการใช้ธนู แต่นางรู้ ดังนั้นตั้งแต่ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ นางล้วนไม่เข้าใจ ทำไมสวีโหย่วหรงถึงไม่ใช้ธนูถง แต่กลับใช้กระบี่จำศีล เป็นเพราะนางดูถูกเฉินฉางเซิงหรือ
ทันใดนั้น นางก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา สวีโหย่วหรงคิดจะเอาชนะเฉินฉางเซิงด้วยวิถีกระบี่ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด และอาศัยสิ่งนี้ทำลายหัวใจของการบำเพ็ญเพียรของเขา ทำลายความเป็นไปได้ที่เขาจะกลายไปเป็นใต้เท้าสังฆราชอย่างนั้นหรือ
……
……
เสียงคำรามของกระบี่สะท้อนอยู่บนสะพานหน่ายเหอ เหล่าเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเหล่านั้นไม่ได้รับผลกระทบใด แต่เฉินฉางเซิงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะว่าเสียงคำรามของกระบี่นี้ ทำให้ห้วงแห่งจิตของเขาราวกับเกิดพายุฝนพัดกระหน่ำขึ้น คลื่นยักษ์เสียดฟ้าพลันถาโถมเข้ามา ทำให้ดวงจิตของเขาไม่สงบ กระทั่งเริ่มจะมีสัญญาณของการล่มสลาย
เพียงแค่การชักกระบี่ ก็ทรงพลังถึงเพียงนี้
ในเอกสารที่เฉินฉางเซิงเคยตรวจสอบมา ไม่ได้กล่าวว่าสวีโหย่วหรงเชี่ยวชาญการต่อสู้ในรูปแบบไหน ในการต่อสู้ที่มีการบันทึกเอาไว้ สิ่งที่นางแสดงออกมาก็เป็นคำว่าเชี่ยวชาญในทุกสรรพสิ่ง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงได้มั่นใจว่าที่แท้สวีโหย่วหรงก็บำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าจะห่างไกลกับปรมาจารย์ใหญ่อย่างซูหลีอีกมาก แต่ถ้าพูดถึงความเข้าใจที่มีต่อหลักการของฟ้าดิน กลับไม่ได้ด้อยกว่าเลย
เสียงกระบี่คำรามนี้ ก็แอบแฝงหลักการของฟ้าดินอยู่ เป็นสายลมกระหน่ำที่มาจากทะเลใต้
เฉินฉางเซิงมองกระบี่ของนาง เคลื่อนไหวดวงจิต แล้วฝืนให้คลื่นลมในห้วงแห่งจิตสงบลง
อันที่จริงแล้ว ความเร็วในการชักกระบี่ของสวีโหย่วหรงไม่ได้เชื่องช้า เพียงแต่เพราะว่ามันชัดเจนเกินไป ดังนั้นภาพเหตุการณ์ถึงได้ดูเชื่องช้าไปบ้าง
ระหว่างที่กระบี่จำศีลได้ออกจากฝักกระบี่ ก็ราวกับเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน
สุดท้ายแล้ว ในที่สุดกระบี่จำศีลก็มาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทาง
คลื่นลมในแม่น้ำลั่วพลันเพิ่มความบ้าคลั่งขึ้นมา
ห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงถูกเสียงคำรามของกระบี่นี้จู่โจมเข้า แล้วก็แทบจะไม่สามารถสงบได้แล้ว
ก็เป็นในตอนนี้เอง เฉินฉางเซิงพลันขยับขึ้นมา
เสียงฟึ่บก็ดังขึ้น!
บนสะพานหน่ายเหอพลันเงียบลงในทันที
กระบี่ไร้ราคีออกจากฝัก แทงตรงไปยังหิมะเกล็ดหนึ่งที่อยู่ในฝากฟ้า
กระบี่นี้ไม่ได้เป็นรูปธรรมนัก ทั้งยังดูเป็นนามธรรมอยู่บ้าง แม้แต่หิมะเกล็ดนั้นที่ถูกคมกระบี่ชี้ไป ก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยังคงค่อยๆ โปรยปรายลงมาสู่พื้นสะพาน
แต่เสียงกระบี่ก็ดังขึ้นมาแล้ว
ถ้าหากพูดว่าการชักกระบี่ของสวีโหย่วหรงเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า การชักกระบี่ของเฉินฉางเซิงก็รวดเร็วจนถึงขีดสุด
กระบี่จำศีลเดินผ่านเส้นทางนับหมื่นลี้มาอย่างสงบ กระบี่ของเขาก็พุ่งตรงจากผืนดินไปสู่ท้องฟ้าแล้ว
ดุจแจกันสีเงินที่แตกกระจาย
เสียงที่ใสกระจ่างพลันดังขึ้น
เสียงกระบี่คำรามอันใสกระจ่าง ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็สอดแทรกเข้าไปในเสียงคำรามของกระบี่จำศีล
เสียงคำรามของกระบี่ที่ห่างไกลเรียบเฉยแต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยอานุภาพของพายุคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วน กลับเป็นเพราะสิ่งนี้ถึงได้ชะงักไป
ในเสี้ยววินาทีที่กระบี่จำศีลหลุดออกจากฝัก เสียงกระบี่คำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง กระทั่งดังชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
เฉินฉางเซิงเก็บกระบี่กลับไป เสียบกลับไปที่ข้างกายเบาๆ ราวกับใช้แขนเสื้อปัดเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมา
และก็เป็นกระบี่นามธรรมนั่นอีกครั้ง จากท้องฟ้ากลับมายังชายฝั่ง บดขยี้หยาดน้ำที่กระเซ็นมา
สายลมพัดเข้าไปในภูเขา
เสียงร่ำร้องดังขึ้น
เสียงกระบี่ทั้งสองเสียงได้ดังขึ้น เสียงคำรามของกระบี่ได้หยุดลง
บนสะพานหน่ายเหอได้เงียบเสียงลงอีกครั้ง
……
……
พวกเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่มองดูสะพานแห่งนั้นที่ห่างออกไปหนึ่งลี้ มองดูเด็กหนุ่มกับเด็กสาวที่อยู่บนสะพาน สีหน้าก็มีความซับซ้อนอยู่บ้าง
การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงเพียงแค่ชักกระบี่ออกมาจากฝัก แต่ในระหว่างนั้นได้ซุกซ่อนความลึกล้ำและอันตรายเอาไว้ ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าการต่อสู้กันของผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นตามปกติเลย
ผู้คนที่อยู่บนเรือใหญ่ต่างพากันถามตัวเอง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตนเองในตอนนั้น จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้หรือ สุดท้ายคำตอบที่ได้ ก็คำให้พวกเขาต้องรู้สึกปลงอนิจจัง บางที ในระหว่างที่สวีโหย่วหรงชักกระบี่ออกมา พวกเขาก็คงจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ส่วนพวกที่บำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่เหล่านั้น เมื่อได้มองเห็นภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งสะท้านในหัวใจ และเกิดเป็นความรู้สึกล้มเหลวพ่ายแพ้จำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงแล้ว กระบี่ของตนนั้นคู่ควรจะเรียกว่ากระบี่หรือ
“นี่คือเพลงกระบี่อะไร” ไม่รู้ว่าใครที่อยู่ในฝูงคนได้ถามขึ้น
ไม่มีคนเอ่ยตอบคำถามนี้
เหมาชิวอวี่พูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เฉินฉางเซิงเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง”
คนอย่างเช่นพวกเขาเหล่านี้แน่นอนว่าต้องมองออก ที่เฉินฉางเซิงใช้ก็คือเพลงกระบี่เสียงสวรรค์โรยของสถานศึกษาหนานซี
เพลงกระบี่ที่มีชื่อว่าเสียงสวรรค์โรยนี้ ที่จริงเป็นเพลงกระบี่ที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้ร่ายรำบวงสรวงดวงดาว ไม่ได้มีอานุภาพอะไรอย่างแท้จริง และถูกนำมาใช้ในการต่อสู้จริงน้อยมาก
แต่ที่เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่นี้ขึ้นมาในเวลานี้ กลับเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เพราะว่าเพลงกระบี่ชุดนี้กับเสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้ที่สวีโหย่วหรงใช้มีพื้นฐานร่วมกัน และสิ่งนี้ก็ยังสามารถทำให้จิตใจของผู้ใช้กระบี่สงบลงได้มากที่สุด
เสียงสวรรค์โรย เสียงกระบี่กลายเป็นกฎ สอดประสานเข้ากับเสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้ของสวีโหย่วหรง ต่อให้คลื่นลมจะใหญ่โตสักแค่ไหน แน่นอนว่าก็ต้องสงบลง
นักพรตซือหยวนพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ใครก็รู้ การใช้เสียงสวรรค์โรยมาทำลายเสียงกระบี่คำรามแห่งทะเลใต้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ช่างไม่รู้จริงๆ เลยว่านี่นับว่าเป็นอัจฉริยะอะไร”
เหมาชิวอวี่พูดขึ้นอย่างสงบ “ปัญหาอยู่ตรงที่ ไม่ใช่ว่าใครก็ล้วนสามารถเรียนเพลงกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีได้ แต่ต่อให้มีโอกาสได้เรียน ใครจะไปคิด ว่าจะไปเรียนเพลงกระบี่ที่ใช้ร่ายรำบวงสรวงดวงดาวชุดนี้”
นักพรตซือหยวนได้ยิน ก็ไม่ได้พูดขึ้นอีก
เขาที่เป็นหนึ่งในหกผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงล้วนมีความเข้าใจต่อเพลงกระบี่จำนวนมากมายของสถานศึกษาหนานซี และก็เคยเรียนเพลงกระบี่สองชุดที่ทรงพลังที่สุดในนั้น ซึ่งแม้แต่เขาก็ยังใช้เพลงกระบี่อย่างเสียงสวรรค์ที่โรยไม่ได้
ก็เหมือนกับที่ซูหลีกับเฉินฉางเซิงเคยพูดคุยกันที่ทุ่งกว้างมาก่อนนั่น เดิมทีการเรียนเพลงกระบี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าเพียงได้เห็นกระบวนท่าที่อีกฝ่ายใช้ออกมา หลังจากนั้นก็จดจำลงไป ก็จะสามารถเรียนรู้และใช้เพลงกระบี่ของอีกฝ่ายได้ เจ้าจะต้องมีวิธีใช้ปราณแท้ที่สอดคล้องและประสานไปกับเพลงกระบี่เหล่านี้ จนกระทั่งสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงจะนับได้ว่าเจ้าเรียนเพลงกระบี่ชุดนี้สำเร็จแล้ว
เฉินฉางเซิงไม่มีวิธีการเคลื่อนปราณแท้ของเพลงกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีเหล่านั้น แต่เขามีวิธีการอื่น เริ่มจากปีก่อนที่เริ่มสอนลั่วลั่วเป็นต้นมา จนถึงภายหลังที่ช่วยรักษาเซวียนหยวนผ้อกับเจ๋อซิ่ว ผ่านความเข้าใจที่มีต่อปีศาจและเผ่าปีศาจ บวกกับการครุ่นคิดของตนเองในหลายปีมานี้ วิธีการทดแทนชุดนั้นของเขาก็ฝึกจนคุ้นเคยเป็นอย่างมากแล้ว กระทั่งแม้แต่ซูหลีก็ยังตกตะลึงอยู่บ้างเหมือนกัน
ผ่านวิธีการทดแทนชุดนั้น เพลงกระบี่เหล่านี้ทั้งหมดที่เขาใช้ออกมา แน่นอนว่าอานุภาพจะลดลงไปอย่างมาก แต่ในส่วนของเจตจำนงกระบี่กลับใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ
ก่อนหน้าที่เขาจะใช้เสียงสวรรค์โรย ที่ดึงมาใช้เดิมทีก็คือเจตจำนงกระบี่
……
……
เสียงกระบี่คำรามเสียงหนึ่ง เสียงของกระบี่ทั้งสองเสียง
สายลมและเกล็ดหิมะบนสะพานหน่ายเหอยังคงเป็นเหมือนเก่า
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงยืนอย่างสงบอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของสะพาน
ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย
อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาต่างจับกระบี่ของตนขึ้นมาแล้ว
แน่นอนว่าจับกระบี่ก็หมายความว่าจะลงมือ ระหว่างที่เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา เงาร่างของเฉินฉางเซิงพลันหายไปอย่างกะทันหัน นาทีถัดมาก็มาปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของสวีโหย่วหรง ซึ่งเข้าไปใกล้อย่างมากแล้ว
บนเรือที่ไกลออกไปพอจะได้ยินเสียงที่ตกตะลึงขึ้นมา
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างสวีโหย่วหรง จะใช้การหลบซ่อนอย่างไรหรือจะพูดว่าการวางรูปแบบอย่างไรก็ล้วนไม่มีความหมาย เขาทำได้เพียงแสดงสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดออกมา หลังจากนั้นก็ดูว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่
ดังนั้นเขาจึงใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาออกมาอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นก็ใช้เพลงกระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า
นี่เป็นเพลงกระบี่ที่รวดเร็วที่สุดในบรรดาเพลงกระบี่ทั้งหมดที่เขามีอยู่
ก็เหมือนกับย่างก้าวหยั่งเทวาที่รวดเร็วที่สุด
เพลงกระบี่แรกของสวีโหย่วหรง เดินอยู่บนเส้นทางที่ล้ำลึก
เพลงกระบี่แรกของเขา ไม่มีข้อเรียกร้องอะไร มีเพียงแค่ความเร็วคำเดียวเท่านั้น
ได้ยินเพียงเสียงโลหะที่กระทบกันครั้งหนึ่ง
อากาศที่อยู่บนสะพานหน่ายเหอก็ราวกับถูกแทงทะลุเข้ามา
แสงจากกระบี่ที่ส่องสว่างสายหนึ่ง ได้ส่องไปยังเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและท้องฟ้าที่ค่อนข้างจะมืดครึ้ม อีกทั้งส่องสว่างไปยังผ้าขาวบางที่ทิ้งตัวลงมาจากหมวกของสวีโหย่วหรง
คมกระบี่แทงตรงไปยังไหล่ซ้ายของสวีโหย่วหรง
บนเรือที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงตกตะลึงดังขึ้นมาอีกครั้ง
กระบี่ของเฉินฉางเซิงนี้รวดเร็วอย่างหาใดเปรียบ คมกระบี่แหวกอากาศเข้าไป ถึงกับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าเสียง
แต่…กลับไม่เร็วเท่ากระบี่ของสวีโหย่วหรง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ กระบี่จำศีลเล่มนั้นก็มาปรากฏอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะ แล้วโจมตีเข้าไปที่กระบี่ไร้ราคีอย่างสงบและแม่นยำ
กลายเป็นเสียงกระบี่คำรามขึ้นมา!
สมแล้วที่เป็นร่างที่มีสายเลือดของหงส์สวรรค์ ได้ถือครองพลังที่ยากจะจินตนาการ แน่นอนว่าก็ถือครองความเร็วที่ยากจะเทียบเคียง กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้าจะรวดเร็วสักแค่ไหน ก็จะไปเทียบกับหงส์สวรรค์ที่กางปีกโบยบินหมื่นลี้ได้อย่างไร
ที่ทำให้เฉินฉางเซิงยิ่งตกตะลึงก็คือ ตอนที่กระบี่ทั้งสองเข้าปะทะกัน เขาถึงได้พบว่ากระบี่ของสวีโหย่วหรงนี้เป็นการใช้หน้ากระบี่!
หน้ากระบี่ที่ปะทะเข้ากับสายลม แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับความเร็วของคมกระบี่ที่แหวกอากาศไป แต่กระบี่ของนางกลับมาถึงก่อน
ถ้าหากว่าสวีโหย่วหรงไม่ได้มาขวางกระบี่นี้เอาไว้ แต่ประชันความเร็วกับเขาตรงๆ เช่นนั้นเขาจะสวนกระบี่กลับไปทันหรือ
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ แต่ในสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่ทันได้มาคิดเรื่องเหล่านี้
กระบี่ไร้ราคีกับกระบี่จำศีลได้ปะทะกัน เกล็ดหิมะที่อยู่รอบด้านราวกับถูกกระแสอากาศพัดออกไป ซึ่งกระจายไปอย่างบ้าคลั่ง
กระบี่ทั้งสองได้แยกออกจากกัน
กลิ่นอายบนสะพานหน่ายเหอได้เปลี่ยนไปแล้ว
นั่นเป็นเพราะกลิ่นอายของสวีโหย่วหรงเปลี่ยนไป
ตัวนางที่ยืนอย่างสงบมาโดยตลอด ราวกับสูงใหญ่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ไม่ใช่ว่าสูงใหญ่ขึ้นมาจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่ความเกรงขามแบบหนึ่งเท่านั้น
ความน่าเกรงขามของเทพผู้อยู่บนฟ้าแล้วมองลงมายังสรรพชีวิตได้ปรากฏขึ้นบนร่างของนาง
กระบี่ของนางก็ฟันไปทางเฉินฉางเซิง!
เป็นสิ่งที่ต่างจากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในความคิดของคนธรรมดา ไม่เหมือนกับความทรงจำของชาวเมืองจิงตูที่มีต่อนาง
กระบี่นี้ไม่มีความรู้สึกบริสุทธิ์หลุดพ้นจากโลกโลกีย์
และก็ไม่มีความรู้สึกล่องลอยไม่หยุดนิ่งอันล้ำลึก
กระบี่ของสวีโหย่วหรงนี้เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด
เพราะว่าเรียบง่าย ดังนั้นถึงได้แสดงความแหลมคมออกมา!
มือทั้งสองข้างของนางจับอยู่ที่ด้ามของกระบี่จำศีล ยกขึ้นเหนือศีรษะ อยู่ระนาบเดียวกับหว่างคิ้ว ราวกับกำลังบวงสรวงสวรรค์
นาทีถัดมา กระบี่จำศีลก็แหวกอากาศลงมา พุ่งจากหว่างคิ้วของนางออกไป นำพาจิตวิญญาณทั้งหมดของนาง มุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างไม่อาจขัดขวาง!
ราวกับปราณแท้จำนวนมหาศาลที่ไร้ขีดจำกัด ดวงจิตที่มั่นคงไม่อาจสั่นไหว ท่วงท่ากระบี่ที่บ้าคลั่งอย่างหาใดเปรียบ ได้ฟันลงไปที่ศีรษะของเฉินฉางเซิง!