ตอนที่ 1066 - ยากแท้หยั่งถึง

The Divine Nine Dragon Cauldron

ตงฟางเถียนเฟิงเบิกตากว้างนางนิ่งเป็นท่อนไม้ ซือหยูกับคนอื่นมองที่กรงและก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
  พวกเขามองกรงที่ทำจากเกล็ดทมิฬด้านหลังเกล็ดนั้นเต็มไปด้วยพลังเทพ มันคือพลังเดียวกับพลังจากเขา!
  หรือก็คือเทพกิเลนอาจจะใช้เกล็ดของตัวเองในการสร้างคุกนี้ขึ้นมา!
  แต่เวลานี้มีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ข้างกรงขังจากแรงระเบิดในกรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในกรงเลย
  “ปะ…เป็นไปได้ยังไง?ทำไมกรงถึงพังล่ะ? เทพอสูรมณีหายไปไหน?”
  ตงฟางเถียนเฟิงหน้าซีดด้วยความกลัว
  นางเชื่อว่าเทพอสูรมณีอ่อนแอถึงขีดสุดและกำลังจะตายแต่นางกลับหนีออกจากคุกไปแล้ว หรือว่านางจะซ่อนตัวอยู่ในแดนมณี?   “เจ้าโดนนางหลอกแล้ว!”
  ซือหยูถอนหายใจ
  “ข้าเกรงว่าเมื่อร้อยปีก่อนพลังเทพที่ตระกูลตงฟางสัมผัสได้ แท้จริงคือร่างจริงของเทพอสูรมณีที่กำลังหนี! เจ้าสายไปร้อยปี!”
  แกร๊ง!
  เศษเขาในมือตงฟางเถียนเฟิงตกสู่พื้นเรี่ยวแรงนางมลายหาย นางตัวอ่อนล้มลงกับพื้น แววตาว่างเปล่า นางพูดซ้ำ ๆ
  “มันจบแล้ว!นางจะต้องล้างแค้นตระกูลตงฟางของเรา! ทุกคน…”
  “ไม่เรายังมีโอกาส!”
  เสียงหนึ่งทะลวงดวงวิญญาณตงฟางเถียนเฟิงปลุกให้นางได้สติ
  ตงฟางเถียนเฟิงมองหน้ากากสีเงินด้วยความขมขื่นเทพอสูรมณีหนีไปแล้ว ใครกันจะหยุดนาไงด้?
  “นางหนีไปเมื่อร้อยปีก่อนแล้วทำไมนางถึงไม่ทำอะไรกับจิวโจวในทันทีเล่า? นางติดอยู่ในจิวโจวมานาน นางจะไม่แค้นพอที่จะล้างแค้นหรือ? มีอยู่เหตุผลเดียว นางยังไม่มีพลังที่จะทำลายจิวโจวในเวลานี้! หรือไม่ก็พลังของนางยังติดอยู่ในแดนมณี!”
  ซือหยูแบ่งปันความคิดกับนาง
  ทุกคนแววตาสดใสขึ้นแน่นอนว่าคนที่ถูกกักขังมาหมื่นปีจะไม่หนีโดยไม่สู้ นางไม่ได้ทำอะไรมาร้อยปี ไม่ใช่เพราะนาไม่อยากตอบโต้ แต่เป็นเพราะนางยังมีพลังไม่มากพอ!
  นี่อาจเกี่ยวข้องกับวิธีที่นางหลบหนีนางอาจจะเสียพลังส่วนหนึ่งทำลายกรงขัง พอนางออกมาได้เลยไม่กล้าก่อเรื่องต่อ
  “แดนมณีต้องมีพลังชีพของเทพอสูรมณีให้คงอยู่!มันเป็นเช่นนี้มาร้อยปีแล้ว! นั่นหมายความว่าเทพอสูรมณียังหนีได้ไม่สมบูรณ์ พลังของนางยังถูกผนึกเอาไว้!”
  ในครั้งนี้ร่างหลักของนางจะต้องมาในแดนมณีเพื่อเรียกพลังที่เหลือกลับคืน!
  ดังนั้น…  ฟึ่บ!
  ทุกคนถอยพร้อมกันพวกเขาต่างระแวงกันเอง
  ร่างหลักของเทพอสูรมณีอยู่ในหมู่พวกเขา!นางคือหนึ่งในยอดฝีมือ!
  มีคนเดียวที่ไม่ขยับทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัย
  “ซือหยูเซี่ยนเป็นเจ้ารึ?”
  ตงฟางเถียนเฟิงจ้องซือหยูเขาปิดบังความลับทุกอย่างไว้กับตัว เขาควรจะเป็นเทพอสูรมณี
  ซือหยูแก้ตัว
  “เทพอสูรมณีคือเทพที่สูงส่งไม่ว่านางจะแปลงกายอย่างไร นางก็คงไม่เลือกให้ตัวเองเป็นบุรุษ ใช่ไหม?”
  ฟึ่บ!
  ทุกสายตาหันไปมองฮั่นเฟย
  สุดยอดแห่งยอดฝีมือของโลกขณะนี้คือสี่นภาจรัสในสี่คนนี้มีอยู่สองคนที่เป็นผู้หญิง และตงฟางเถียนเฟิงก็ตัดออกไปได้เลย เหลือฮั่นเฟยเพียงคนเดียวเท่านั้น! นางคืออัจฉริยะวิถีอสูร อีกทั้งยังเป็นคนในสำนักใหญ่ นางคือคนที่น่าจะเป็นเทพอสูรมณีมากที่สุด!
  “ไม่ใช่ข้า”
  ฮั่นเฟยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์นางไม่คิดจะแก้ตัว
  ตงฟางเถียนเฟิงหรี่ตามองนาง
  “แค่บอกว่าเจ้าไม่ใช่ไม่ได้แปลว่าเจ้าบริสุทธิ์!ตอนนี้เจ้าถูกจ้าวสวนผนึกเอาไว้ เจ้าจะแสดงพลังของเทพอสูรไม่ได้”
  จิตสังหารกระจายทั่วดวงตานาง
  คนอื่นๆ เตรียมพร้อมที่จะลงมือแล้ว พวกเขาเพ่งความสงสัยไปที่ฮั่นเฟย! ดูเหมือนจะไม่มีความเป็นไปได้อื่นเลย
  “ไม่ใช่นาง”
  ซือหยูพูดเบาๆ เขาไม่ทำอะไร
  หิม?ตงฟางเถียนเฟิงสีหน้ากังขา  “ดูเหมือนเจ้าจะรู้ว่าเป็นใครนะ”
  ซือหยูยิ้มแหย
  “เจ้าคงจะโง่ถ้าเจ้ายังไม่รู้ว่าเป็นใครใช่ไหม…ปิงหวูชิง?”
  ทุกคนหันไปมองทางหอคอย
  ใครกัน?ใครกันที่ยังไม่ปรากฏตัว?
  ในตอนนั้นเองพลังทะลวงเย็นยะเยือกอย่างโหดร้ายได้เข้าปะทะพวกเขา
  “สมกับเป็นบุรุษที่ข้าสนใจ”
  ตรงกันข้ามกับพลังเสียงสวรรค์นี้อ่อนโยนอ่อนหวานจนเหมือนกับลมหายใจของสายลม
  บนท้องนภามีสองคนปรากฏตัวจากความว่างเปล่า
  หนึ่งในนั้นสวมสุดดำมีผิวคล้ำและมีรอยรูปจันทราสีเลือดที่ระหว่างคิ้ว มุมปากชี้ขึ้นสูงราวกับการแสยะยิ้มของปีศาจ เขามีพลังอันโหดเหี้ยม หมอกโลหิตกระจายออกจากร่างไปหาซือหยูและคนอื่น ๆ มันมีกลิ่นเลือด!   ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือคนที่ไม่มีใครได้ยินชื่อตั้งแต่ที่เข้ามาในแดนมณี…นั่นก็คือปิงหวูชิงอีกคน!
  “จักรพรรดิกลืนอสูร!”
  ฮั่นเฟยกับตงฟางเถียนเฟิงจำคนข้างหลังได้ในทันทีใบหน้าของพวกนางเปลี่ยนไปเมื่อเห็นศัตรู
  จักรพรรดิกลืนอสูรคือผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในอันดับสองของนภาจรัส
  เขาคือคนที่บ้าเลือดและโหดเหี้ยมที่สุดในยุคสมัยนี้หลายคนกระวนกระวายเมื่อได้ยินชื่อของเขา
  แต่คนที่พวกเขากังวลจริงๆ ก็คือสตรีนามปิงหวูชิง!
  จักรพรรดิกลืนอสูรกำลังติดตามคนแปลกหน้าที่หน้าตาคล้ายกับปิงหวูชิงที่อยู่ใกล้ชิดซือหยูอย่างไม่น่าเชื่อ
  จักรพรรดิกลืนอสูรนั้นคือพวกนอกรีตที่ไร้บิดามารดาและไร้มิตรสหายแปลกที่เขาอยู่ใกล้กับปิงหวูชิงอีกคน ดูเหมือนว่าเขาจะถูกนางนำมา
  “เจ้าเป็นใคร?”
  ตงฟางเถียนเฟิงตะคอกการปรากฏตัวของปิงหวูชิงอีกคนนั้นเป็นเรื่องที่นางไม่คาดคิด
  ความคิดที่ไม่พอใจที่สุดเข้าสู่จิตใจตงฟางเถียนเฟิง!
  ปิงหวูชิงมองด้วยรอยยิ้มสง่างาม
  “ข้าหรือ?ไม่ใช่ว่าข้าคือบรรพบุรุษที่ลูกหลานตระกูลเจ้าพยายามสังหารมาหลายพันปีหรอกรึ?”
  ตงฟางเถียนเฟิงเบิกตากว้างนางสั่นไปทั้งตัว นางตกใจจนเสียงหลง
  “อ๊าา!เจ้า เจ้าคือ…เทพอสูรมณี!”
  ปิงหวูชิงอีกคนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
  “เจ้าคงผิดหวังมากล่ะสิ?”
  หลังจากได้พบกับความตกใจและหวาดกลัวตงฟางเถียนเฟิงใจเย็นลงมาก
  “เจ้าไม่ได้จับตัวจ้าวสวนคนไหนเพราะว่าเจ้ารู้ว่าตระกูลตงฟางจะทำอะไรสินะ?”
  “เจ้าคิดว่าร่างหลักของเทพอสูรมณีจะไม่รู้ความจริงที่ว่าจ้าวสวนคือแกนผนึกหรือ?”
  ปิงหวูชิงถามกลับ
  ตงฟางเถียนเฟิงกัดปากนางหน้าซีด ถ้าหากผิดพลาดสักก้าวเดียว ทุกก้าวต่อไปก็คือความผิดพลาด!
  ถ้าเป็นสิ่งที่เกิดจากเทพเจ้ามันก็จะไม่รู้เรื่องเหตุผลของจ้าวสวนแน่นอน แต่อสูรตนนี้คือร่างหลักที่ถูกผนึกมาหลายพันปี นางจะไม่รู้ได้อย่างไร?
  “ทุกอย่างที่ข้าทำสูญเปล่าสินะ?”
  ตงฟางเถียนเฟิงโศกเศร้า
  ปิงหวูชิงอีกคนส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน
  “ได้อย่างไรเล่า?ถึงแผนเจ้าจะผิวเผิน มันก็ช่วยบรรพบุรุษเจ้าได้บ้าง”   “ขอบคุณทุกคนที่ช่วยข้าหาจ้าวสวนมิเช่นนั้นคงจะท้าทายสำหรับข้าทีเดียวที่จะต้องแบกจ้าวสวนเหล่านั้นเอง”
  ปิงหวูชิงหัวเราะเบาๆ
  ตงฟางเถียนเฟิงชักสีหน้านางตัวสั่นเมื่อตระหนักได้
  “เจ้า…เจ้าใช้พวกเรา!”
  มีทางเดียวที่ปิงหวูชิงอีกคนจะทำลายผนึกแดนมณีได้นั่นคือนางต้องสังหารจ้าวสวนทั้งห้าพร้อมกัน!
  สิ่งที่เทพกิเลนตั้งเอาไว้ตั้งแต่อดีตก็คือเมื่อจ้าวสวนคนหนึ่งตายจ้าวสวนคนใหม่จะเกิดขึ้นมาทันที เพื่อที่แดนมณีที่เป็นคุกจองจำเทพอสูรมณีจะคงอยู่ต่อไป
  นอกจากจ้าวสวนทั้งห้าจะถูกฆ่าตายพร้อมกันแดนมณีจะไม่มีวันล่มสลาย เทพอสูรมณีจะไม่มีทันออกไปได้
  แต่แผนการใหญ่ของตระกูลตงฟางได้ทำให้จ้าวสวนทั้งห้ามาอยู่ด้วยกัน!เท่ากับว่าเป็นโอกาสให้เทพอสูรมณีมีโอกาสทำลายผนึก
  เมื่อตระหนักได้ว่านางไม่เพียงพลาดในการสังหารเทพอสูรมณีแต่ยังให้โอกาสนางหนีไปได้อย่างสมบูรณ์ตงฟางเถียนเฟิงก็ได้แต่หัวเราะด้วยความโศกเศร้า ความทุกข์ทรมานเจือปนอยู่ในเสียงหัวเราะนั้น
  “ฮ่าฮ่า ฮ่า พวกเราคือตระกูลที่โง่เขลาที่สุดในโลก เราปล่อยศัตรูของเราด้วยมือเราเอง…”
  ตงฟางเถียนเฟิงเช็ดน้ำตานางตั้งมั่นถือเขากิเลน นางก้าวไปเผชิญหน้ากับปิงหวูชิง นางเตรียมตัวต่อสู้ตนตัวตาย
  เขากิเลนมีพลังเทพจากเทพที่เตรียมสังหารเทพอสูรมณีมันคืออาวุธเดียวในโลกที่สามารถฆ่านางได้
  ตงฟางเถียนเฟิงไม่มีทางเลือกนอกจากลองดู!
  แต่ในตอนนั้นเองก็มีเงาแล่นผ่านเข้ามาพวกเขาเห็นตงฟางเถียนเฟิงกระเด็นไปด้านหลัง เขากิเลนหลุดจากมือนางและถูกมือเลือดคว้าเอาไว้
  “หึหึความตายของเจ้ายังชดใช้ความผิดที่คิดจะแตะต้องนายข้าไม่ได้!”
  จักรพรรดิกลืนอสูรเลียเลือดในมือเขาแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว
  เมื่อเขาพูดจบเขาถือเขากิเลนด้วยมือทั้งสอง
  ปิงหวูชิงยกมือขึ้นเบาๆ เขากิเลนลอยเข้าหานาง
  ทันทีที่เขากิเลนถึงมือมันก็กลายเป็นเหล็กร้อนจากพลังอสูรในมือของนาง
  “ผ่านมานานแล้วเจ้ายังไม่คิดจะตายอย่างสงบอีกหรือ?”
  ปิงหวูชิงยิ้มนางกำมือแน่นขึ้น อาวุธชิ้นเดียวบนโลกที่สามารถฆ่านางได้กลายเป็นแสงกระจ่างวาววับและหายไป
  ตงฟางเถียนเฟิงคร่ำครวญ  “ตระกูลข้า…ทุกๆ คน ข้าขอโทษ…”
  แผลที่ท้องของนางเกือบจะทะลุร่างนางไปแล้วแม้ว่าปิงหวูชิงจะไม่ทำอะไร นางก็ตายอยู่ในแดนมณีอยู่ดี
  “ฮื่มข้ายังรับไม่ได้หรอก…”
  ตงฟางเถียนเฟิงหลับตาในลมหายใจสุดท้าย
  ความเจ็บปวดที่นางถูกกระแทกพื้นลดลงไปอย่างไม่ทันคิดเมื่อมีแขนอันแข็งแรงรับร่างนางเอาไว้พลังชีวิตมหาศาลไหลเข้าสู่ร่างกายนาง
  นางลืมตาขึ้นและพบหน้ากากสีเงินในสายตาหยดของเหลวหยดหนึ่งหยดลงบนริมฝีปากของนาง
  นางอ้าปากโดยไม่ทันคิดปล่อยให้มันไหลผ่านลำคอไป ของเหลวที่ว่าได้กลายเป็นพลังอันอบอุ่น มันเข้ารักษาบาดแผลของนางอย่างรวดเร็ว
  “น้ำพุแห่งชีวิต…”   เมื่อรู้ว่าถูกช่วยชีวิตตงฟางเถียนเฟิงยิ้มพร้อมกับถอนหายใจ
  “นี่มันของดีทีเดียว”
  ซือหยูวางนางลง
  “แม่นางตงฟางเรายังไม่จบ! ทำไมเจ้าถึงยอมตายง่าย ๆ ?”
  ตระกูลตงฟางแข็งแกร่งมากนางจะไม่มีโอสถรักษาที่เหมือนกับน้ำพุแห่งชีวิตเลยเล่า? นางไม่ใช้ก็เพราะว่านางคิดว่านางไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว
  “ขอบคุณ”
  ตงฟางเถียนเฟิงหลับตานางหน้าซีดอย่างกับหุ่นเชิดไร้วิญญาณ การผ่านความทุกข์ทรมานครั้งนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ยากจะแบกรับ
  “โอ้ศิษย์น้องซือ เจ้ายังคงสงสารและใจดีกับสตรีอย่างเคย ทำข้าอดอิจฉาไม่ได้”
  ปิงหวูชิงอีกคนหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ใบหน้านางงดงามราวกับภาพวาด  ซือหยูมองปิงหวูชิงเขาถอนหายใจด้วยอารมณ์หลากหลาย
  “ข้าไม่คิดว่าศิษย์พี่ปิงจะเป็นเซียนแห่งประวัติศาสตร์และยิ่งกว่านั้นยังมาจากเผ่าอสูร ทุกสิ่งช่างยากแท้หยั่งถึง”
  ��