GGS:บทที่ 769 ลูกธนูที่น่าสะพรึงกลัว
“หลี่น้อย อาลี่ไปจับหนูมาให้ฉันซักหน่อยสิ” ซูจิ้งได้พูดออกมาในขณะที่เขากำลังถือธนูอย่างระมัดระวังประดุจดังเขากำลังถือหลอดทดลองที่มีไวรัสอันแสนร้ายกาจอยู่ในหลอด
หลี่น้อยและอาลี่ได้ออกไปและจับหนูกลับมา
ซูจิ้งจับมันมาตัวหนึ่งแล้วจิ้มมันด้วยธนู จนเกิดบาดแผลขึ้นมา
สักพักเจ้าหนูตัวนั้นลงไปกองกับพื้น ชักจนตาตั้งซักพัก หลังจากร่างกายของมันก็หยุดสั่น
และทันใดนั้นร่างกายของมันก็ได้เน่าจนกลายเป็นกองเลือดอย่างรวดเร็ว
แม้แต่กระดูกและขนก็ไม่เหลือ ซูจิ้งยังคงทำเช่นเดียวกันนี้กับหนูอีกตัวหนึ่ง ผลที่ได้ก็ออกมาไม่ต่างกัน
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย อีกซักพักเขาก็สรุปผลได้เกือบทั้งหมดแล้ว
เขาได้โทรหาหวังเซียวอีกครั้ง เมื่อหวังเซียวรับสายเขาได้รีบพูดผ่านโทรศัพท์ออกมาในทันทีว่า
“อาจิ้งนายพักได้แล้วนะ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างถูกจัดการได้หมดแล้ว น่าจะไม่มีอะไรที่นายต้องทำต่อแล้วนะ”
ซูจิ้งได้พูดออกไปว่า “ขอบคุณครับพี่เซียว แต่พอดีผมจะถามพี่เรื่องอื่นน่ะ
ช่วงนี้มีเหตุการณ์คนหายสาบสูญในเมืองจงหยุนมากกว่าก่อนหน้านี้ใช่รึเปล่า”
หวังเซียวถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่มันเพิ่มขึ้นมากเลย ว่าแต่นายถามทำไมหรอ”
ซูจิ้งจึงบอกไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในเมืองจงหยุนมากมาย และผมเองก็รู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องพวกนี้ พี่เซียวพี่เองก็ต้องระวังตัวมากๆเลยนะเมื่อต้องเข้าไปสืบคดีในอนาคต”
หวังเซียวได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันรู้น่าอย่ากังวลไปเลย ฉันระวังตัวตลอดแหล่ะน่า”
หลังจากวางสาย ซูจิ้งได้ปรับอารมณ์ตัวเองพร้อมกับถอนหายใจออกมาว่า “ครั้งนี้พี่เซียวต้องคิดหนักจนหัวโตแหงๆ”
ตอนนี้ซูจิ้งมั่นใจในสมมติฐานของเขาแล้ว 100% ขยะกองนี้ในส่วนของขยะห้วงเวลาฯที่เป็นขยะสมัยใหม่พวกนั้น
ทั้งอวัยวะเทียมนั่น รวมถึงธนูดอกนี้ไม่ได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
แต่มันมาจากห้วงเวลาฯโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ มันเป็นดินแดนที่แปลกประหลาดอย่างสุดขั้ว
ถึงแม้ว่าบรรยากาศในห้วงเวลาฯแห่งนั้นจะเหมือนกับโลกในศตวรรณที่ 20-21 ก็ตามที
ที่นั่นยังคงมีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่มีโอกาสได้สัมพันธ์แสงแดดยามกลางวัน
แต่มีพลังกายภาพสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปยามค่ำคืนนับร้อยเท่า
พวกมันคล้ายกับซอมบี้ที่หลงไหลในเลือดเนื้อของมนุษย์
พวกมันไม่มีวันถูกฆ่า อย่างมากก็แค่ทำให้พวกมันกลายเป็นหน้ากาก
หากใครสวมใส่หน้ากากเหล่านั้นพวกเขาจะมีพลังพิเศษเช่นเดียวกับสัตว์ประหลาดที่กลายเป็นหน้ากากนั่น
ที่นั่นมีวิทยาการอย่างหนึ่งที่ถูกเรียกว่าวิทยาการมืด
ผู้ที่รับหน้าที่ในการควบคุมมีชื่อว่าเทอร์โรไฮม์ คนที่สวมใส่อวัยวะเทียมแต่ใช้ได้ดีกว่าอวัยวะคนทั่วไป
ตัวเขาได้ถูกพระเอกรุ่นที่สองที่ชื่อโจเซฟโจสตาร์หักแขนไปและได้ใช้วิทยาการมืดในการสร้างแขนเทียมที่ใช้ได้ดีกว่าแขนจริง ซูจิ้งไม่แปลกใจอะไรอีกแล้วเมื่อรู้ว่าแขนเทียมนี้มาจากที่ไหน
นอกจากนั้นในห้วงเวลาฯนั้นยังมีลูกธนูสุดพิเศษอยู่หกลูก
มันเป็นลูกธนูที่ทำจากลูกอุกบาตที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสปริศนาที่ติดมาจากอวกาศ
หรือบางทฤษฎีในเรื่องก็บอกว่าพลังงานจากอุกบาตได้ไปปลุกไวรัสโบราณให้ตื่นขึ้นมา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้ามีใครถูกทำให้บาดเจ็บโดยลูกธนูนั้นล่ะก็จะทำให้คนๆนั้นติดเชื้อไวรัสได้ทันที
คนที่ติดไวรัสนั้นส่วนใหญ่จะตายแทบจะในทันทีและกลายเป็นบ่อเลือดเน่าๆไป
แต่ก็มีบางคนที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้เหมือนกับพวกเขาถูกไวรัสปลุกพลังพิเศษในยีนส์ของตัวเองออกมา
ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณ พลังจิต พละกำลังมหาศาล หรือบางคนก็ได้พลังที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้
คนที่รอดจากไวรัสจนถูกปลุกพลังขึ้นมาจะไม่ต้องเกรงกลัวไวรัสเหล่านั้นอีกต่อไป
แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อที่จะได้รับพลังนั้นมีความเสี่ยงสุดขีด
พลังที่คนเหล่านั้นถูกปลุกขึ้นมาได้จะถูกเรียกว่า “สแตนด์” ในความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงร่างวิญญาณที่มีทักษะพิเศษแตกต่างไปในแต่ละบุคคล
ซูจิ้งคาดการณ์ได้เลยว่าลูกธนูนี่จะต้องเป็นลูกธนูหนึ่งในหกดอกนั่น
เป็นไปได้ว่ามันน่ากลัวเกินไปจนมีบางคนคิดจะทำลายมันแต่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์ดี
ที่เจ้าหนูพวกนั้นตายเป็นเพราะว่าพวกมันไม่อาจต้านทานไวรัสได้
หยางเฉียนรุยเองก็น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อเหมือนกันแต่เขากลับรอดมาได้จนได้พลังของสแตนด์มาใช้
ส่วนที่ว่าทำไมเขาถึงรอดมาได้น่าจะเป็นเพราะเขาติดเชื้อไวรัสมาจากชิ้นส่วนของลูกธนูดอกนี้จึงไม่ได้รับไวรัสไปเต็มที่
ชิ้นส่วนนั้นสมควรจะปะปนไปกลับขยะปกติที่ซูจิ้งคัดทิ้งไปแล้วมีคนเก็บไปได้
เขาเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีขยะจากห้วงเวลาฯโจโจติดมาด้วย ไม่งั้นเขาจะใส่ใจเป็นพิเศษแน่นอน
เพราะปกติแล้วขยะห้วงเวลาฯ ไม่เคยมีการผสมกันแบบนี้มาก่อน
แน่นอนแล้วว่าหยางเฉียนรุยไม่ใช่คนเดียวที่ติดไวรัสนี้
ถึงแม้อัตราการรอดชีวิตของคนที่โดนธนูแทงจะต่ำมากก็ตาม
ที่ซูจิ้งถามไปว่าช่วงนี้มีคนหายตัวไปเยอะรึเปล่า
เป็นไปได้ว่าคนส่วนนั้นน่าจะถูกนำตัวไปจากคนกลุ่มเดียวกับชายวัยกลางคนคนนั้นเพื่อนำไปทดลอง และแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะตายและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ซูจิ้งคาดการณ์ไว้ว่าคนที่หายตัวไปสมควรจะมากกว่านี้แต่ไม่มีการรายงาน
หยางเฉียนรุยเองก็สมควรถูกเลือกโดยเฉพาะเจาะจงแน่นอนเพราะเขาอยู่ตัวคนเดียวในห้องเช่า
ไม่มีการติดต่อคบค้าสมคมจากใคร ถ้าตายไปก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว
ซูจิ้งยังคาดการณ์สาเหตุที่หยางเฉียนรุยตายด้วย
จะต้องเป็นไวรัสที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงร่างกายจนไปปลุกสแตนด์นั่นออกมาแน่นอน
ด้วยในกระบวนการปลุกสแตนด์ไวรัสจะไปดึงพลังงานจากจิตสำนึก(พลังจิต)ในร่างต้นทั้งหมด
หลังจากนั้นจะใช้พลังเหล่านั้นในการเสริมพลังวิญญาณจนกลายเป็นสแตนด์ออกมา
นั่นก็หมายความว่าคนที่โดนไวรัสจะมีพลังกายที่ต่ำ แต่จะมีพลังวิญญาณค่อนข้างสูง
อย่างน้อยๆก็เป็นช่วงที่เกิดหลังจากถูกปลุกพลังใหม่ๆ
และต่อให้ปลุกสแตนด์ได้สำเร็จก็จริงแต่หากเผลอใช้ทักษะจนพลังวิญญาณไม่เพียงพอ
เมื่อพลังวิญญาณหมดลงก็จะไปดึงพลังงานอื่นที่ใกล้เคียงนั่นก็คือพลังจิต
แต่ด้วยการที่พลังจิตที่ถูกใช้ไปอย่างหนักน่วงในการปลุกสแตนด์ทำให้ส่งผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกรณีของหยางเฉียนรุยที่น่าจะเพิ่งถูกปลุกสแตนด์ได้ไม่นาน
แถมยังโดนเขากระหน่ำโจมตีเข้าไปอีกทำให้บาดเจ็บทั้งในด้านพลังวิญญาณและพลังจิต
ย่อมไม่มีทางที่ร่างกายจะรับไหวอยู่แล้วจึงได้ตายลงไป
“ต้องเร่งเก็บกู้เจ้าชิ้นส่วนนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่งั้นต้องเกิดปัญหามากมายแน่นอน”
ซูจิ้งถึงกับปวดในทันที
เป็นเพราะว่ามีใครบางคนเก็บเจ้าเศษหัวธนูนั้นได้และพบวิธีใช้งานมัน
ยิ่งไปกว่านั้นหยางเฉียนรุยเองก็ไม่ได้มีเบาะแสอะไรของคนพวกนั้นเลย
นั้นหมายความว่าองค์การนี้จะต้องรัดกุมมากแน่ๆ น่าจะยากต่อการสืบสวน
ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเป็นไปได้ว่าในองค์กรมีคนที่ถูกปลุกสแตนด์เรียบร้อยแล้ว
และชายวัยกลางคนคนนั้นก็สมควรจะเป็นผู้ที่ถูกปลุกสแตนด์แล้วเช่นกันไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีทางสอนหยางเฉียนรุยได้แน่นอน
แต่ยังไงซะต่อให้อีกฝ่ายเป็นกลุ่มคนผุ้ใช้สแตนด์เขาก็ไม่ได้กังวลที่จะปะทะด้วยซักเท่าไหร่
ต่อให้ต้องสู้กันจริงยังไงซะเขาก็เชื่อว่าพลังจิตของเขาเหนือกว่าผู้ใดในโลกนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน
แต่ที่สำคัญคือทักษะของสแตนด์ที่ล้วนแล้วแต่พิศดารพันลึก
ง่ายต่อการซ่อนและยากต่อการป้องกัน
ซูจิ้งนั่งลงในทันทีและเข้าได้นำจิตสำนึกของตัวเองเข้าไปสู่วิถีแห่งโลกหล้า
ตอนนี้เขารู้สึกสงบอย่างแท้จริง ความผิดพลาดของเขาที่เกิดไปแล้วต่อให้กังวลไปก็เท่านั้น
เกรงกลัวไปก็เท่านั้น
หวั่นไหวไปก็เท่านั้น
ปวดหัวไปก็เท่านั้น
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเตรียมการรับมือด้วยความสุขุมและรอบคอบ
ทันใดนั้น เขาจ้องมองไปยังลูกธนูที่อยู่ในมือของเขาพลางนึกไปว่า
“เอาล่ะฉันจะเลือกอะไรดีระหว่างการปลุกสแตนด์ของตัวเองหรือสร้างทีมผู้ใช้สแตนด์ขึ้นมาดีล่ะ
***(เอาล่ะ โจโจ้ ก็มา555)