GGS:บทที่ 768 ความจริง (2)
เมื่อซูจิ้งได้เห็นว่าร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยกำลังปริแตกเขาก็ได้สังเกตเห็นว่ามันส่งผลต่อร่างต้นของหยางเฉียนรุยอย่างช้าๆ
ยิ่งร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยอ่อนแอลงมากเท่าไหร่
ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแสดงท่าทีเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นจนดูเหมือนจะตายซะให้ได้
มันเหมือนกับว่าพลังของเขาได้หยิบยืมมาจากร่างวิญญาณอันนั้นและมันกำลังดึงพลังชีวิตคืนเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป
แน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้คนอื่นที่อยู่ที่นั่นนอกจากซูจิ้งแล้วไม่มีใครสังเกตุเห็นได้เลย
“กลายเป็นว่าทักษะของหมอนี่ต้องใช้พลังจิตเป็นสิ่งแรกเปลี่ยนแหะ” ซูจิ้งเข้าใจได้ทันที่ว่าเกิดอะไรขึ้น
การใช้ทักษะของหยางเฉียนรุยจำเป็นต้องมีสิ่งแรกเปลี่ยนเพื่อไปทดแทนพลังวิญญาณที่สูญเสียไป
หากไม่มีล่ะก็จะต้องแลกด้วยอย่างอื่นที่ใกล้เคียงกัน ในกรณีนี้ก็คือพลังจิต(พลังชีวิต)
อย่างไรก็ตามแม้ซูจิ้งจะรู้หลักการและเหตุผล(สาเหตุ)แต่ซูจิ้งก็ไม่รู้ว่าเขาต้องทำยังไง
เขาสามารถจะตีร่างวิญญาณนั้นให้แตกไปเลยก็ได้แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สามารถหยุดการดึงพลังทดแทนนี้ได้ กลับกันหากร่างวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่ามันต้องซูบพลังจิตของหยางเฉียนรุยยิ่งกว่าเดิม เขาเองก็ลองใช้วิธีสะกดจิตแล้วเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ผล
เมื่อซูจิ้งลองคิดทบทวนหลักการและเหตุผลของเรื่องนี้อีกครั้งก็พอนึกอะไรออกมาได้
เขารีบนำเหรียญตราเทวทูตออกมาในทันที ถ้าเขาสามารถเติมเต็มพลังวิญญาณที่หยางเฉียนรุยถูกดูดซับไปได้เร็วพอก็อาจจะพอช่วยไว้ได้
แต่ด้วยการหยางเฉียนรุยไม่เป็นที่รู้จักและไม่มีอะไรให้น่านับถือ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เหรียญตราจะมีปฏิกิริยาด้วย
ซูจิ้งจึงต้องใช้วิธีดูดซับพลังงานจากเหรียญตราและเป็นคนถ่ายทอดพลังงานเหล่านี้ไปยังหยางเฉียนรุยแทน
และที่สำคัญที่สุดคือหากเขาใช้เหรียญตรากับหยางเฉียนรุยโดยตรง
อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการที่หยางเฉียนรุยได้รับพลังงานมากเกินไปจนแข็งแกร่งเกินเขาไปจนสู้ไม่ได้และทำการแย่งชิงเหรียญตราไปล่ะก็
ด้วยความสามารถของหยางเฉียนรุยแน่นอนว่าเขาใช้งานได้ดีกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน เขาไม่โง่พอที่จะมอบดาบให้คนอื่นมาแทงเขาเล่นขนาดนั้น
ในขณะเดียวกันทีมแพทย์ก็ได้มาถึงและทำการปฐมพยาบาลหยางเฉียนรุยเป็นการเร่งด่วน
พวกเขารีบพาหยางเฉียนรุยขึ้นรถพยาบาลไปแต่ไม่ทันที่จะออกตัวเดียวปรากฎว่าชีพจรของเขาไม่เต้นแล้ว
โดยจากการชันสูตรศพพบว่าเป็นผลมาจากการทำงานหนักเกินไปจนทำให้ร่างกายรับไม่ไหว
ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับสาเหตุนี้เพราะว่าหยางเฉียนรุยอยู่แต่ในบ้าน แถมแทบจะออนไลน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
หากพูดถึงการกินก็กินเพียงของที่ไม่มีประโยชน์ทำให้สุขภาพแย่ลงเป็นเรื่องธรรมดา
มีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ดูเหมือนทำงานหนักนี้เป็นเพราะอย่างอื่นไม่ใช่การทำงานหนักจริงๆ
“อาจิ้ง คราวหน้าถ้ามีเรื่องอะไรอย่างนี้อีกเรียกฉันก่อนก็ดีนะ ครั้งนี้ยังดีที่ผลชันสูตรศพกระจ่าง
ถ้าเกิดว่าไม่กระจ่างล่ะก็นายต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแน่นอน” หวังเซียวพูดออกมาด้วยความห่วงใย
“ฮ่าฮ่า คราวหน้าฉันจะระวังตัวไว้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพยักหน้ารับพลางคิดไปว่าถ้ามันแต่รอนายก็จับอะไรไม่ได้น่ะสิ เอาจริงถ้านายมาก่อนกลัวจะเป็นนายต่างหากที่มีเรื่อง
อย่างไรก็ตามเขาก็ได้แค่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจ ไม่สามารถพูดออกมาได้
หวังเซียวอยู่จัดการที่เกิดเหตุ ซูจิ้งจึงได้กลับไปบนอินทรีย์ทองแล้วบินจากไป
เขาได้รับสายเรียกเข้าจากเจียงจื่อ เจียงจื่อโทรมาก็เพื่อบอกผลการทดสอบแขนกลนั้นอย่างแน่นอนเพราะเขาสั่งไว้
ซูจิ้งจึงได้ให้อินทรีย์ทองบินไปยังสถาบันวิจัยฯเทียนซือแทน
“หัวหน้า… เจ้าแขนนั่นน่ะ….” เพียงเจียงจื่อได้เห็นซูจิ้งเขาก็ได้พูดด้วยเสียงดังลั่น
แม้แต่เทาจงและติงบินเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
“ตอนโทรมาเมื่อกี้ก็ทำท่าตื่นเต้นไปแล้ว นี่ยังไม่พออีกรึ ว่าแต่ได้อะไรมาบ้างน่ะ” ซูจิ้งรีบตัดเข้าเรื่องทันที
“แขนนี่ไม่ใช่หุ่นยนต์ครับ ยิ่งไปกว่านั้น” “ฮะแอ้ม” “มันสมควรจะเป็นแขนกลล้ำยุค” เจียงจื่อพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นจนติดอ่าง
“….แล้วนอกจากมันเป็นอวัยวะเทียมแล้วมีอะไรพิเศษอีกอย่างนั้นหรอ” ซูจิ้งถามออกไปด้วยความที่ไม่เข้าใจจริงๆ
“มันไม่ใช่อวัยวะเทียมทั่วไปครับ มันมีกระทั่งเส้นประสาทเทียมด้วย” เจียงจื่อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“นายหมายความว่า…”ซูจิ้งเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่ามันพิเศษยังไง ความจริงแนวคิดเรื่องเส้นประสาทเทียมนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใด
มันมีมานานแล้วถ้าจะให้บอกว่านานแค่ไหนล่ะก็ถ้าเขาจำไม่ผิด โครงการวิจัยที่เก่าที่สุดเป็นของสถาบันเทคโนโลยีวิจัยเพื่อการป้องกันประเทศโดยเริ่มตั้งโครงการตั้งแต่ 20 ปีก่อนแล้ว
และตอนนี้ก็ยังทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่
ถ้าจะให้บอกว่ามันสำคัญยังไงล่ะก็ เส้นประสาทเทียมที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้เป็นเส้นประสาทเทียมที่ยังต้องใช้วิธีการควบคุมอยู่
ตลอดจนต้องใช้แหล่งพลังงานอย่างอื่นในการขับเคลื่อนอย่างระบบไฮดรอลิก หรืออุปกรณ์อย่างอื่นจนแค่ดูเหมือนระบบประสาทของมนุษย์มากกว่า
ถ้าเทียบกับงานวิจัยสุดท้ายที่เผยแพร่ออกมานั้นบอกได้เลยว่าในขณะนี้ยังไม่สามารถสร้างอวัยวะเทียมที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าอวัยวะของจริงได้
แถมยังมีเรื่องของอาการความรู้สึกหลอนของระบบประสาทที่สมองยังคงจำเอาไว้ว่าอวัยวะบางส่วนยังคงอยู่ทั้งที่มันได้หายไปแล้ว
ทำให้เวลาที่พวกเขาใช้อวัยวะเทียม บางครั้งจะเกิดความรู้สึกเจ็บหลอน
ถ้าจะให้อธิบายก็คือเหมือนการที่เอาไม้ไปจุ่มน้ำร้อนแต่รู้สึกว่าเผลอเอานิ้วไปจุ่มน้ำร้อนตรงๆ
ต่อให้หลับตาไปแล้วความรู้สึกเจ็บหลอนเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นได้
ด้วยการที่เทคโนโลยีหลายๆอย่างบนโลกมนุษย์แทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว
การสร้างเส้นประสาทเทียมนี้ถือได้ว่าเป็นการขยายขีดจำกัดเหล่านั้นออกไปได้
แต่ยังไงซะสำหรับโลกใบนี้การสร้างระบบประสาทเทียมก็ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาค้นคว้าและอยู่ระหว่างการพัฒนาอยู่ดี
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนโปรเฟสเซอร์มิคลาเอลที่อยู่ในศูนย์วิจัยโพลิอีทิคแห่งมหาวิทยาลัยในซานตานา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ร่วมกับทีมงานวิจัยของมหาวิทยาลัยซานตาอาน่าในอิตาลีในประกาศว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบประสาทเทียมที่สามารถตอบสนองความรู้สึกของมนุษย์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
แน่นอนว่าผลลัพท์ของมันยังไม่ดีเท่าที่ควร
“เส้นประสาทเทียมของแขนนี่มีคุณภาพแค่ไหน” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“พวกเรายังไม่ได้ลองกับมนุษย์ครับ แต่เราใช้วิธีอื่นในการทดสอบแทน
ซึ่งผลการทดสอบพบว่าการตอบสนองของระบบประสาทเทียมของแขนนี้ มีความระเอียดและแม่นยำอยู่ในระดับเทียบเท่ากับการส่งสัญญาณชีพจรและกระแสไฟฟ้าระดับอณุภาคขนาดเล็กได้
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่แขนนี้มีการควบคุมแต่ละส่วนด้วยเส้นเอ็นเทียม
สามารถคาดเดาได้ว่าหากเราสามารถเชื่อมต่อระบบประสาทเทียมเหล่านี้ได้สมบูรณ์จะมีความสามารถเทียบเท่ากับแขนของคนจริงๆได้เลยครับ” เจียงจื่อพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่เขาได้ฟังแล้วซูจิ้งจับจุดได้ในทันที
พลางคิดไปว่าตอนแรกเขาคิดว่าแขนนี้สร้างโดยตูเว่ยที่อยู่ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
ต่อให้ตูเว่ยไม่ได้เป็นสุดยอดในด้านระบบประสาทเทียมแต่ก็น่าจะใช้ความรู้ทางด้านการเล่นแร่แปรธาตุมาทดแทนได้
แต่เมื่อเขารู้แล้วว่าแขนนี้คือแขนเทียมที่เกิดจากการใช้เทคโนโลนีประสาทเทียมชั้นสูง
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีวิทยาการแบบนี้ปรากฎอยู่ในห้วงเวลาฯยุคกลางแบบนั้นได้
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ตูเว่ยใช้เวทมนต์ในการสร้างแขนเทียมนี้ขึ้นมาได้
“นั่นก็หมายความว่าแขนนี้ไม่ได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
แสดงว่าครั้งนี้ขยะห้วงเวลาฯสมควรมาจากห้วงเวลาฯอื่นทั้งหมด พระเจ้า นี่ฉันพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว”
ตอนนี้จิตใต้สำนึกของซูจิ้ง(วิถีแห่งใต้หล้า)กำลังเรียกย้อนดูข้อมูลทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่ตอนที่ขยะห้วงเวลาฯกองนี้ถูกเทลงมา สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรวมถึงเหตุการณ์แปลกๆทั้งหลายแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องของหยางเฉียนรุยด้วย
ซูจิ้งได้เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน และมันเป็นเหตุเป็นผลต่อกันทั้งหมด
“หัวหน้า” เจียงจื่อ ติงบิน และเทาจง ต่างก็มองไปที่ซูจิ้งที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขารู้สึกสับสนในทันที พวกเขาควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่ได้ค้นพบแขนเทียมนี้
“ขอให้ทุกคนทำการศึกษาต่อไปแล้วกัน ผมขอตัวก่อน” ดูเหมือนว่าซูจิ้งจะประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดได้เรียบร้อยแล้ว แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
เขารีบกระโดดขึ้นไปบนหลังอินทรีย์ทองและพุ่งตรงกลับไปที่บ้านในทันที เจียงจื่อและคนอื่นๆต่างมึนงงกับสิ่งที่เขาเห็น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นซูจิ้งแสดงสีหน้าที่ทำให้เมื่อคนอื่นเห็นต้องรู้สึกังวลตามไปด้วยขนาดนี้
เมื่อซูจิ้งกลับถึงบ้าน เขาได้รีบค้นในกองอาวุธและอุปกรณ์ที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯกองล่าสุดในทันที
เขาทำอย่างระมัดระวัง และทำอย่างช้าๆ เหมือนกับกลัวว่าของเหล่านั้นจะแตกหักได้อย่างง่ายดาย
หลังจากค้นไปได้ซักพักเขาก็ได้พบกับลูกธนูรูปร่างแปลกๆที่มีรอยบิ่นจนเป็นเสี้ยวหัวใจอันนั้น
เขาดูมันอย่างตั้งใจอีกครั้ง ตอนนี้หน้าตาของเขาเคร่งเครียดในทันที
“ถ้าฉันเข้าใจถูกล่ะก็ ทั้งพวกขยะสมัยใหม่กองนั้น ระบบประสาทเทียม และเจ้าลูกธนูนี่ ทุกอย่างนี้ล้วนมาจากห้วงเวลาฯอื่นที่ไม่ใช่ห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
ถ้าเจ้าลูกธนูนี่เป็นของในเรื่องเล่าชิ้นนั้นจริงๆล่ะก็ ครั้งนี้ถือว่าฉันพลาดครั้งใหญ่เลย”