GGS:บทที่ 767 ความจริง (1)

 

หนุ่มเคราดกได้ถูกซูจิ้งสะกดจิตเรียบร้อยร้อย ซูจิ้งได้ถามคำถามต่างๆไปและเขาก็ได้บอกความจริงแก่ซูจิ้งออกมาทุกประการ

เขานั้นมีชื่อว่า หยางเฉียนรุย เมื่อตอนสมัยวัยรุ่นพ่อแม่ของเขาตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และญาติปฏิเสธที่จะอุปการะเขา

เขาจึงเลือกที่จะออกจากสังคมและไม่คิดจะกับเข้าไปยุ่งเกี่ยว ด้วยการที่เขาเป็นคนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นและนิสัยที่เข้ากับคนไม่ได้ทำให้เขาไม่ได้เขาสังคมจริงๆมาหลายปีแล้ว

 

นอกจากนั้นหยางเฉียนรุยยังเป็นหนอนอินเตอร์เนต วันๆหนึ่งเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง

เมื่อเข้ารู้ว่าในโลกแห่งอินเตอร์นั้นมีมืออาชีพด้านการสร้างข่าวอยู่

เขารู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าเหล่าคนที่มีอาชีพแบบนี้ช่างดูเจ๋งซะเหลือเกิน แถมยังหาเงินจากเรื่องพวกนี้ได้อีก บางคนทำเงินได้มากกว่าคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านซะอีก

เขานั้นจึงเรียกที่จะออกจากงานและกลายเป็นนักสร้างข่าวมืออาชีพดูบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เงินมากมายอะไรนัก

 

ถ้าจะให้พูดไปแล้วสำหรับเขางานนี้ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่ดีงานหนึ่ง

ถึงแม้รายได้จะต่ำไปหน่อย แต่ด้วยการที่เขาอาศัยอยู่แต่ในห้องที่ค่าเช่าถูกแสนถูกทั้งวันโดยไม่ต้องไปไหน

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็มีแค่ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าน้ำดื่ม เขาก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่อยากได้แล้ว

แค่นี้สำหรับเขาก็พอแล้ว

 

เวลาส่วนใหญ่ของเขานั้นหมดอยู่ไปกับชีวิตแบบนี้ เขาไม่ชอบการพบปะผู้คน

ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เมื่อเขาเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตได้เห็นบางคนอวดโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ อวดแฟนสวยๆ บางคนก็อวดรถหรู นั่นทำให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาบ้าง

 

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้มาหาเขาถึงหน้าบ้าน เคาะประตูและบอกว่ามีงานมาเสนอให้ทำ ถ้าเขาผ่านการทดสอบได้จะมีรางวัลให้อย่างแน่นอน

ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันดูไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง แต่การได้เงินจากคนอื่นมันย่อมได้มามากกว่าหาเงินเองอยู่แล้ว แถมเงินรางวัลที่เขาเสนอมาก็ไม่ได้น้อยๆทำให้อยากที่จะปฏิเสธได้

และตอนนั้นเองเขาก็ไม่ได้มีเงินเหลือเก็บอะไร มีอะไรที่เขาต้องสนอีกล่ะ

เขาก็มีแต่เท้าเปล่าๆอยู่แล้ว ไม่กลัวที่จะลองสวมรองเท้าซักข้างสองข้างหรอก เขาเลยตอบตกลงไป

 

หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องที่ดำมืดอย่างน่าประหลาด

เขาตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบสำรวจทั่วร่างกายทันทีเผื่อว่ามีอวัยวะใดหายไปรึเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแทบจะบอกได้เลยว่าได้ไม่คุ้มเสียแน่นอนเพราะถึงจะเห็นอย่างนั้นแต่เขาก็ถือว่าเป็นคนสุขภาพดีคนหนึ่ง

 

ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ได้เปิดประตูเข้ามา พร้อมบอกว่าเขาได้ผ่านการทดสอบแล้วพร้อมทั้งโอนเงินหนึ่งแสนหยวนให้เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเขาเช็คดูก็พบเงินหนึ่งแสนหยวนจริงๆ อย่างไรก็ตอบชายคนนั้นไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเขาได้ผ่านการทดสอบได้ยังไง

 

หลังจากนั้นชายวัยกลางคนได้บอกเขาว่าต้องการเปรียบฝีมือกับเขา แน่นอนว่าเขานั้นปฏิเสธไปนั่นก็เพราะว่าเขานั้นพอจะต่อกรกับคนทั่วไปได้อยู่แล้ว

กับคนๆเดียวเขานั้นไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วและเชื่อว่ายังไงก็ชนะก็เลยบอกปัดไป

แต่ชายวัยกลางคนดูไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาตรงเข้ามาโจมตีโดยหยิบมีดที่เหน็บเอาไว้มาฟันใส่เขา

 

หยางเฉียนรุยตกใจจนเกือบทำอะไรไม่ถูก ในชั่วขณะนั้นก็ได้มีเงาสีดำปรากฏขึ้นจากข้างหลังเขา

ทันใดนั้นชายวัยกลางคนคนนั้นหยุดในทันทีและชี้ไปที่เงานั่นพร้อมพูดขึ้นว่า

 

“เจ้านั่นคือหลักฐานว่านายผ่านการทดสอบแล้ว ฉันแค่ต้องการขู่นายเพื่อให้เจ้านี่ออกมาแค่นั้นเอง”

 

หยางเฉียนรุยถึงกับโง่งมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ๆทำไมเขาถึงมีเงาดำอยู่ข้างหลังได้กัน มันเป็นผีงั้นหรอ

เขาไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

นี่เขาคงไม่ได้ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปทดลองใช่ไหมเนี่ย

 

หลังจากนั้นชายวัยกลางคนก็ได้สอนเขาควบคุมร่างวิญญาณนั้น

พร้อมทั้งได้สอนวิธีการใช้โดยเฉพาะการใช้งานทักษะที่ชื่อว่า “บุคคลแห่งความมืด” ที่มีความสามารถในการบิดเบือนข้อมูลความจริงให้คนเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการผ่านพลังงานที่ส่งออกมาจากร่างวิญญาณนี้

เริ่มจากการสกัดข้อมูล การอ่านอารมณ์ของข้อมูล ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของข้อมูล

เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแค่ข้อมูลก็สามารถสื่อสารและส่งผลกระทบต่อผู้คนได้ขนาดนั้น

นึกๆไปแล้วความสามารถนี้ช่างเหมาะสมกับงานของเขาซะจริงๆ และมันยังใช้ได้ดีในยุคที่ข่าวสารแพร่ถึงได้แทบจะทุกคนแบบนี้

 

ชายวัยกลางคนเองก็ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อยเหมือนกันเมื่อรู้ว่าร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยมีความสามารถแบบไหน

หลังจากคิดไปซักพักเขาก็เลยแนะนำแนวทางฝึกฝนทักษะนี้

โดยให้เป้าหมายในการเล่นงานกงหลิงหมิงหรือก็คือนายกของเมืองจงหยุน หากเขาทำสำเร็จจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านหยวน

เมื่อได้ยินดังนั้นมีหรือที่คนอย่างเขาจะปฏิเสธเงินก้อนโตที่รออยู่ตรงหน้าได้ เขารีบตอบตกลงในทันที

เมื่อได้ยินดังนั้นชายวัยกลางคนจึงซัดเขาจนสลบ พอดื่นขึ้นมาก็พบตัวเองอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้ว

“สรุปก็คือหมอนี่ไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า มันเหมือนกับว่าหมอนี่ได้รับพลังมาในขณะที่อยู่ในจุดวิกฤตของชีวิตแค่นั้นเอง”

ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้วแสดงท่าทีผิดหวังในข้อมูลที่เขาได้รับมาจากหยางเฉียนรุย พลางนึกไปว่า “สงสัยคงได้แต่ใช้หมอนี่เป็นเหยือล่อชายวัยกลางคนคนนั้นออกมาแหะ ชายคนนั้นน่าจะรู้ความจริงทั้งหมดแน่ๆ”

 

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงฝีเท้าพุ่งตรงมาที่ๆซูจิ้งอยู่อย่างรวดเร็ว

นั่นคือเสียงฝีเท้าของตำรวจจำนวนหนึ่งที่ตรงมาที่นี่พร้อมทั้งปืนช็อตไฟฟ้าและกระบองไฟฟ้า

แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าคนที่มาก่อความวุ่นวายนั้นคือซูจิ้ง พวกเขาทำได้แต่หยุดยืนตะลึง

แต่เจ้าของห้องเช่าก็ได้เข้ามาทางประตูพร้อมชี้ไปยังซูจิ้งพร้อมบอกว่า “ไอ้เนี่ยแหล่ะ”

 

ตำรวจส่วนหนึ่งได้แต่หัวเราะเสียงหึๆออกมา เจ้าของที่ไม่รู้จักคนๆนี้จริงๆสินะว่าเขาเป็นใครน่ะ คนๆนี้คือนายคนที่สี่ของตระกูลหวัง

แม้แต่ผู้อำนวยการของพวกเขายังเกรงใจเขาเลย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซูจิ้งกับหัวหน้าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ

มีหรือที่พวกเขาจะกล้าจับคนๆนี้ได้กัน

 

ตำรวจวัยกลางคนที่มาจากตระกูลเว่ยได้พูดด้วยใบหน้าที่เกือบจะเป็นปกติว่า “ซู เอ่ออ คุณซูผมคิดว่าน่าจะมีเรื่องเข้าในผิดกันนะ ว่าแต่คุณมาที่นี่ทำไมหรือครับ หากมีเรื่องจริงจะให้ผมตามเจ้าหน้าที่หวังให้ไหม”

 

ซูจิ้งพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ให้พี่หวังมาดีกว่า”

 

ตอนนี้ตำรวจวัยกลางคนเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว

เขารีบโทรหาหวังเซียวในทันที ไม่นานนักหวังเซียวก็มาถึง

ตอนนี้หวังเซียวได้แต่ทำหน้านิ่งทำตัวไม่ถูกเพราะอยู่ต่อหน้าธารกำนัลจึงได้ถามออกมาว่า

“อาจิ้ง นายทำอะไรกันเนี่ยทำไมอยู่ๆถึงพังบ้านคนอื่นแบบนี้หล่ะ”

 

ซูจิ้งชี้ไปยังหยางเฉียนรุยพร้อมพูดว่า “หมอนี่คือคนที่ใส่ร้ายดาราหลายๆคน รวมถึงเพิ่งจะสร้างเรื่องใส่ร้ายผู้ว่าการเมืองมาหมาดๆนี่เอง”

 

หวังเซียวถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที

เขาเองก็รู้จักผู้ว่าการเมืองในฐานะที่เขาสนิทกับตระกูลหวังเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด

ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหวังละก็เขาไม่แปลกใจเลยที่ซูจิ้งถึงต้องออกตัวรุนแรงขนาดนี้ ถึงเขาจะแปลกใจอยู่บ้างที่แค่เรื่องการป้ายสีเล็กน้อยแค่นี้จะส่งผลต่อตระกูลหวังได้ยังไง

 

หวังเซียวจ้องไปยังคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดอยู่และทำการตรวจสอบพร้อมพูดว่า “หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่นี่ คนคนนี้คือผู้ร้ายจริงๆ นำตัวเขาไปยังกรมตำรวจก่อนดีกว่า”

 

ซูจิ้งพยักหน้าตอบในเชิงเห็นด้วย นั่นก็เพราะตอนที่เขามาที่นี่ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี

หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยละก็คงจะเป็นเรื่องแปลกแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงยอมปล่อยให้หยางเฉียนรุยถูกจับเข้ากระบวนการยุติธรรม

ยังไงซะข้อหาหมิ่นประมาทแบบนี้จะหนักหรือเบามันก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง

คนทั่วไปตัดสินโดยไม่รู้ความร้ายกาจในพลังจิตของหยางเฉียนรุยล่ะก็ย่อมต้องมองว่าคนๆนี้เป็นแค่คนกระจอกๆธรรมดาคนนึง โทษไม่ได้หนักหนาอะไร

หลังจากที่หยางเฉียนรุยถูกปล่อยตัวออกมาเขาจะแอบติดตามอย่างลับๆรอการติดต่อระหว่างเขาและชายวัยกลางคนคนนั้น

หวังเสี่ยวได้เดินไปยังเบื้องหน้าของหยางเฉียนรุยเพื่อใส่กุญแจมือ

ทันใดนั้น ดวงตาของหยางเฉียนรุยได้แปลเปลี่ยนเป็นสีลม เขาล้มลงไป พร้อมชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น

หวังเซียว ซูจิ้ง และคนอื่นๆตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าจนทำอะไรไม่ถูก

ซูจิ้งนั่งชันเข่าหนึ่งข้างอยู่ข้างหยางเฉียนรุยและทำการปลดปล่อยพลังสัมผัสแห่งใบไม้ฯเพื่อทำการรักษา

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล

ตอนนี้เองร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยก็ได้เริ่มมีรอยปริแตก และอ่อนแอลงทีละน้อยทีละน้อย คล้ายๆกับว่าพลังวิญญาณหลุดออกจากร่างไปอย่างรวดเร็วทำให้สภาพร่างคงอยู่ไม่ได้จนเริ่มจะสลายไป

เหตุผลที่หยางเฉียนรุยเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เป็นที่ร่างกายแต่เกิดจากร่างวิญญาณกำลังเสื่อมสลายนี่ถึงกับให้ซูจิ้งจนปัญญาเลยทีเดียว

“นี่การโจมตีของฉันทำให้เกิดอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

ฉันควรจะไปปล่อยอย่างนี้รึเปล่านะ

ไม่สิ ถ้าเกิดเป็นเพราะฉันจริงมันควรจะแสดงอาการออกมาตั้งนานแล้ว ไม่น่าจะทิ้งช่วงนานขนาดนี้

ดูจากสภาพแล้วน่าจะเกิดจากการถูกดูดพลังวิญญาณออกไปอย่างรวดเร็วจนร่างกายรับไม่ไหวมากกว่า”