หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไป หยุดหมัดของเขาด้วยแรงเพียงเล็กน้อย ชายผู้นั้นไม่ยอม เปลี่ยนท่าซัดมาที่เขา
เขาหลบได้อีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงใจ
ทั้งสองไม่พูด สู้สวนกันไปสวนกันมาอยู่สิบกว่ากระบวนท่า
ตอนแรกโจวอันตั้งท่าเตรียมเข้าช่วยเหลือหวงฝู่อี้เซวียน แต่เมื่อเห็นทั้งสองสู้กันครู่หนึ่ง เห็นซื่อจื่อไม่ได้ใช้กำลังภายใน แต่สู้ด้วยพลังอย่างคนทั่วไป วิธีการต่อสู้ก็คล้ายคลึงกัน คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของหวงฝู่อี้เซวียน จึงลดเกราะป้องกันลง ยืนมองนิ่งๆ อยู่ข้างๆ
ทั้งสองสู้กันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ชายผู้นั้นก็หายใจหอบ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่แม้แต่หายใจแรง
ชายผู้นั้นหยุดลง นั่งลงบนพื้น โบกมือ “ไม่สู้แล้ว เหนื่อยจะตายแล้ว”
เมื่อได้ต่อสู้ด้วยความไร้ความกังวล โดยไม่ต้องใช้พลังใน ความเบื่อหน่ายที่เหลือเพียงน้อยนิดของหวงฝู่อี้เซวียนก็หายไป เดินไปตรงหน้าเขา เตะเขาเบาๆ พูดเย้ยหยันว่า “ซุนเหลียงไฉสองสามปีนี้เจ้ามัวแต่หลงใช้ชีวิตมั่นคั่งและร่ำรวยใช่ไหม กำลังวังชาไม่ดีขึ้นเลย”
ซุนเหลียงไฉยื่นแขนออกไป กอดขาเขาไว้แน่น อ้าปากกัดลงไป
ครั้งนี้เขากัดจริง ซุนเหลียงไฉแรงเยอะ เมื่อกัดลงไป หวงฝู่อี้เซวียนร้องเสียงหลง สะบัดแขนเขาออกไปทันที
ซุนเหลียงไฉถูกแรงเหวี่ยงของขาเขาจนล้มหงายหลังลงพื้น
โจวอันตกตะลึงอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลงไปจับบริเวณที่โดนกัด พูดเสียงดัง “ซุนเหลียงไฉเจ้าเกิดปีจอรึไง”
ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นยืนเสียงหอบหนัก ลูบหัวที่ชนกับพื้นเมื่อครู่ พูดอย่างได้อกได้ใจว่า “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าไม่ดูแลโยวเอ๋อร์ให้ดีเอง”
คำก็โยวเอ๋อร์ สองคำก็โยวเอ๋อร์ สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนหนักอึ้งขึ้น พูดขู่ด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้าเจ้ายังกล้าเรียกโยวเอ๋อร์อีก ข้าจะต่อยเจ้าฟันร่วงจนหาไม่เจอแน่”
ซุนเหลียงไฉได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวประสบ ก็ยืดอก เชิดหน้าชูตาอีกครั้ง พูดว่า “ก็ข้าจะเรียก ‘โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์’ เจ้าจะทำไม”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ตัวตั้งตรง สั่งโจวอันว่า “แขวนคุณชายซุนไว้บนต้นไม้ใหญ่ของจวนอ๋อง”
โจวอันขานรับ เดินขึ้นไป กำลังจะลากซุนเหลียงไฉออกไป
ซุนเหลียงไฉตะโกนเสียงดังประหนึ่งอยู่ในโรงเชือดหมู “ช่วยด้วย เขาจะฆ่าคนแล้ว จะฆ่าคนแล้ว!”
เมื่อพระชายาฉีที่กำลังเย็บปักเสื้อผ้าอาภรณ์กับเมิ่งซื่อได้ยืนเสียงร้องโหยหวนนั้นแล้ว ก็ตกใจสะดุ้งจนมือที่ถือเข็มอยู่ทิ่มโดนมืออีกข้างของตน ร้องเสียง โอย
หลิงหลงรีบเดินเข้ามา ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดออก
เมิ่งซื่อถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”
พระชายาฉียิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
เมิ่งซื่อขมวดคิ้ว พูดกับตัวเองว่า “ทำไมข้าได้ยินเสียงเหมือนซุนเหลียงไฉเลยนะ” พูดจบก็ส่ายหัว ก่อนหน้านี้ซุนเชี่ยนกลับบ้านนางไป พอกลับมาบอกว่าซุนเหลียงไฉไปทางใต้ซื้อผ้าไหมด้วยตัวเองแล้ว สองสามเดือนนี้คงกลับมาไม่ได้ ตัวเองน่าจะฟังผิดไปเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่หลับลึกอยู่ก็ตื่นเพราะเสียงร้องอนาถนี้ นางฟังออกว่าเป็นเสียงของซุนเหลียงไฉรู้ว่าต้องถูกหวงฝู่อี้เซวียนลงโทษอยู่แน่ๆ นางหัวเราะแล้วเรียก “ชิงหลวน ไป…” เพิ่งปริปาก ก็นึกขึ้นได้ว่าชิงหลวนสละตนปกป้องตัวเองไว้ ถูกชายชุดดำใช้ดาบแทงเข้าที่ลำตัว ตัวเองที่อยู่ข้างล่างตัวนางยังรู้สึกถึงปลายดาบที่ทะลุโดนตัวตน อารมณ์นางพลันหล่นวูบ ผ่านมาก็หลายวันแล้ว แต่นางไม่กล้าถามถึงอาการของชิงหลวงและจูหลี รวมถึงเหวินเปียวและกัวเฟยเลย กลัวว่าตนจะได้ยินข่าวร้าย นางไม่ถาม ก็จะได้หลอกตัวเองไปว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ต่อไปก็จะคอยอยู่เคียงข้างนางไปตลอด
นางเม้มปาก สั่งคนข้างนอก “มีใครอยู่ไหม!”
สาวใช้ข้างนอกเปิดม่านเดินเข้ามา คารวะ “แม่นางเมิ่งมีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ”
“ไปบอกอี้เซวียน นำตัวเขาเข้ามา ข้าอยากเจอ”
สาวใช้ขานรับ เดินออกไป
เสียงร้องของซุนเหลียงไฉก็ทำเอาหวงฝู่อี้เซวียนตกใจ รีบเดินไปปิดปากซุนเหลียงไฉไว้ พูดขู่ว่า “ถ้าเจ้ากล้าร้องอีก ทำให้โยวเอ๋อร์ตื่น ข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสีย”
เขาใช้มือปิดปากแรงมาก จนซุนเหลียงไฉหายใจไม่ออก
ซุนเหลียงไฉดึงมือเขาออกพลาง ร้องเสียงอู้อี้พลาง
เมื่อสาวใช้เข้ามารายงาน เห็นสภาพของทั้งสองคน ก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบก้มหน้า ไม่กล้าสบตารายงานว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่งตื่นแล้วเจ้าค่ะ เชิญแขกเข้าพบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตามที่คิดไว้ หวงฝู่อี้เซวียนโกรธจัด ยื่นมืออีกข้างจับตรงเอวของซุนเหลียงไฉไว้ ใช้แรงหมุนตัวเขาสามร้อยหกสิบองศา แล้วจึงปล่อยตัวเขาไป
ซุนเหลียงไฉร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ แล้วลุกลี้ลุกลนยืนขึ้น พูดเสียงดังว่า “เจ้ามันคนใจดำ ข้าจะฟ้องโยวเอ๋อร์ว่าเจ้ารังแกข้า!”
โจวอันมองดูอย่างตั้งใจ ทำปากเหวอ ตาเบิกโตเท่าไข่ไก่ มองหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองซุนเหลียงไฉแล้วกลับไปมองหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้านายของตนจะกระทำราวคนปัญญาอ่อนอย่างเมื่อครู่นี้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะสนใจคำขู่ของซุนเหลียงไฉร้อง ฮึ เบาๆ เดินไปทางเรือนของตน
ซุนเหลียงไฉเดินฉุนตามหลังไป
แต่ก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวหลอกซุนเหลียงไฉว่าตนโตกว่าเขา จนซุนเหลียงไฉเรียกนางว่าพี่มาหลายปี ภายหลังซุนเชี่ยนรู้สึกแปลกใจ ถามว่าซุนเหลียงไฉโตกว่าเมิ่งเชี่ยนโยว ทำไมถึงเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวว่าพี่ ซุนเหลียงไฉจึงรู้ว่าตนถูกหลอก หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเรียก โยวเอ๋อร์ มาตลอด
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ห้ามเขา
ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง ซุนเหลียงไฉผลักหวงฝู่อี้เซวียนตรงหน้าออกทันที รีบเดินไปหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ฟ้องอย่างร้องขอความเห็นใจว่า “เจ้าคนใจดำคนนี้เกือบจะฆ่าข้าตาย”
พูดจบ เขาตั้งตารอให้เมิ่งเชี่ยนโยวด่าหวงฝู่อี้เซียวนฉาดใหญ่ แก้แค้นแทนเขา
ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มแล้วด่าว่า “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าทำผิดล่ะ”
“เจ้า…” ซุนเหลียงไฉโกรธจนชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอะไรไม่ออก
เสียงข่มขู่ของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “ถ้าเจ้ายังชี้หน้าโยวเอ๋อร์อีก ระวังข้าจะตัดนิ้วเจ้าทิ้ง!”
แม้ซุนเหลียงไฉจะไม่ยอม แต่ก็จำใจเอามือลง ทำเสียงฟุดฟิดนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง บ่นอย่างไม่พอใจว่า “ถ้ารู้ว่าพวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าแต่แรกนะ ข้าคงไม่รีบกลับมาหาเจ้าจนม้าข้าตายไปหลายตัวหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพอทราบเรื่องที่เขาไปทางใต้เพื่อซื้อของเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ว่าหากเขาอยู่ตำบลชิงซี ได้ยินข่าวใหญ่โตของเมิ่งเชี่ยนโยว คงมาหาตั้งนานแล้ว พวกเขาสบตากัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดขึ้น “ใช่ๆๆ ขอบคุณคุณชายซุนที่เป็นห่วงข้า ข้อน้อยซาบซึ้งใจมาก รอให้ข้าหายแล้ว จะทำอาหารอร่อยให้นะเจ้าคะ”
สีหน้าซุนเหลียงไฉถึงหายโกรธลงบ้าง พูดว่า “ค่อยยังชั่ว ข้าบอกเจ้าไว้เลยแล้วกัน ข้าจะกินกุ้งอบ ปีกไก่ทอดกระเทียม…”
มือของหวงฝู่อี้เซวียนกำหมัดแน่นแล้วคลายออก คลายออกแล้วกำหมัดแน่นอีก เขาใช้ความพยายามอดกลั้นตัวเองไว้ไม่ให้ปล่อยหมัดไปที่ซุนเหลียงไฉ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าซุนเหลียงไฉจงใจแกล้งหวงฝู่อี้เซวียนให้โกรธ จึงได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
ตามคาด หลังจากที่ซุนเหลียงไฉพูดชื่ออาหารไปหลายชื่อ ก็มองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างได้ใจ แล้วจึงหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว ถามขึ้นด้วยสายตากังวลว่า “ทำไมไม่ระวังตัวเลย ปล่อยให้คนทำร้ายจนบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ตอนที่ข้าได้ยินข่าวนี้ ตกใจจนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง รีบกลับมาเลยทันที โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเจ้าคนสวะพวกนั้นให้ราบคาบแน่”
พูดจบ เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียน พูดอย่างพิกลว่า “ใครบางคนยังพูดอยู่ทุกวันว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี เขาดูแลอย่างนี้หรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดไม่ออก
ซุนเหลียงไฉจึงร้อง ฮึ เบาๆ อย่างได้ใจ
เมื่อเห็นสีหน้าโทษตัวเองของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “การค้าเป็นอย่างไรบ้าง คุยกันเรียบร้อยดีหรือไม่”
“ได้ข่าวว่าเจ้าเกือบไม่มีชีวิตรอด ข้าตกใจแทบตาย ยังมีกะจิตกะใจอะไรไปคุยการค้าอีกล่ะ” ซุนเหลียงไฉพูดขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกอบอุ่นใจ แม้ซุนเหลียงไฉจะไร้สติบ้างบางครั้ง แต่ความห่วงใยที่เขามีให้นั้นกลับจริงใจเหลือเกิน พูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ก็มา มาดูแลข้าทุกวันด้วย แต่พอดีน่าจะเห็นว่าข้าหลับแล้ว ก็เลยไปเรือนของพระชายาฉีน่ะ”
“พี่สาวข้าก็มาแล้วรึ” ซุนเชี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ แล้วก็พูดขึ้นต่อว่า “ดีเลย ให้นางอยู่เมืองหลวงช่วยข้าทำการค้าหน่อย ข้าจะอยู่ดูแลเจ้าสักสองวัน แล้วจะกลับไปคุยการค้าต่อ”
เมิ่งซื่อเปิดม่านประตูเดินเข้ามา เห็นซุนเชี่ยนจึงยิ้มพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าข้าได้ยินผิดไปเสียอีก เหลียงไฉมาจริงๆ ด้วย”
พระชายาฉีและซุนเชี่ยน หวังเยียน โจวอิ๋งเดินเข้ามา
ซุนเหลียงไฉลุกขึ้น คารวะทีละคนอย่างนอบน้อม
หลังจากนี้อีกสองวัน คนที่ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวก็เพิ่มอีกหนึ่งคน เพราะว่ารู้ว่าซุนเหลียงไฉไม่ได้มีใจให้เมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนจึงยอมกัดฟันทนจนผ่านไปได้อีกสองวัน
วันที่สาม เขาเปลี่ยนม้าตัวหนึ่ง จัดแจงเรื่องในร้านให้ซุนเชี่ยนและซุนเหลียงไฉเรียบร้อยก็ขี่ม้าไปทางใต้ ก่อนไปตบบ่าหวงฝู่อี้เซวียน “ไม่ใช่ว่าข้าว่าเจ้านะ ผู้หญิงของตนก็ควรอุ้มชูและเอ็นดูนางไว้ อย่าให้นางได้กังวลใจเรื่องอะไรอื่นเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามองเขา
ซุนเหลียงไฉยันตัวขึ้นควบม้า สะบัดบังเ**ยนพุ่งตัวออกไป
เห็นแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเขา จนหายวับไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวนอ๋อง
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าบาดแผลตนดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว จึงขอร้องให้ตนได้ลงจากเตียง เพื่อเดินและเคลื่อนไหวบ้าง แต่ทุกคนตกใจ
ก่อนอื่นเมิ่งซื่อไม่เห็นด้วย รีบโบกมือ “เจ้าเด็กคนนี้ ท้องยังมีหลุมแผลใหญ่ขนาดนั้น จะบอกว่าหายเพียงเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร รีบกลับไปนอนเลย ฟังแม่นะ นอนอีกสักหนึ่งเดือน รอให้หายจริงๆ แล้วค่อยว่ากัน”
คนที่เหลือก็ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะพระชายาฉี ตอนนั้นนางเป็นคนทำความสะอาดแผลให้เมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่าแผลลึกขนาดไหน พูดห้ามปรามว่า “ใช่ โยวเอ๋อร์ ฟังแม่เจ้าเถอะ หากแผลนี้ของเจ้าไม่หายแล้วเกิดอะไรขึ้นมาจะแย่เอา”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอย่างกังวล
ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม “ท่านแม่ พระชายา หากให้ข้านอนอยู่บนเตียงต่ออีกหนึ่งเดือน ข้าต้องเป็นง่อยแน่ๆ ตอนนี้บาดแผลของข้าเริ่มสมานจนจะหายดีแล้ว การเคลื่อนไหวเล็กน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัว ที่สำคัญคือ จะได้อาบน้ำอาบท่าสักหน่อยนะ” แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนางไม่กล้าพูดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้วิชาแพทย์ ฟังสิ่งที่นางพูดนั้นไม่ผิดแน่นอน แต่แผลของนางใหญ่เกินไป เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็กลัวว่าถ้านางลงจากเตียงเร็วเกินไป จะยิ่งทำให้อาการแผลสาหัสขึ้น ตัดสินใจไม่ได้ มองหน้ากันครู่หนึ่ง พระชายาฉีพูดขึ้นว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไปถามหมอหลวงเจียงหน่อยว่าโยวเอ๋อร์ลงจากเตียงได้หรือยัง”
ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา แผลหนักขนาดนี้ปกติต้องนอนถึงสองเดือน แต่ตอนนี้หมอหลวงเจียงชื่นชมเมิ่งเชี่ยนโยวมาก เขาจึงเห็นด้วยกับคำพูดเกี่ยวกับวิชาแพทย์ทุกอย่างของนาง ดังนั้นเมื่อหวงฝู่อี้เซวียนมาถาม หมอหลวงเจียงก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “แม่นางเมิ่งพูดถูก ออกกำลังบ่อยๆ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ”
เมื่อได้คำตอบยืนยันจากหมอหลวงเจียง ก็ไม่มีใครไม่เห็นด้วย เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนเดินไปข้างหน้า ค่อยๆ ประคองนางอย่างระมัดระวัง พยุงนางลงจากเตียง หวังเยียนโค้งตัวลงไปช่วยนางใส่รองเท้า หลายคนคอยประกบร่างนางปกป้องนางไว้
เมื่อขาทั้งสองข้างของเมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสพื้น ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ส้นเท้าทั้งสองเหมือนเหยียบบนปุยนุ่น อ่อนแอมาก นางกัดฟัน พยายามอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อาการเจ็บแล่นแปล๊บ เหงื่อพลันซึมออกมาบนหน้าผาก
หวงฝู่อี้เซวียนคอยสังเกตสีหน้าของนาง เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย และเหงื่อซึมตรงหน้าผาก ก็สงสารจับใจ พูดขึ้นว่า “พอแล้ว ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอนัก เดินก้าวเดียวก็พอแล้ว เราค่อยๆ ฝึกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร กัดฟัน ค่อยๆ ก้าวออกไปก้าวที่สอง แผลยิ่งเจ็บหนัก เจ็บจนนางเกือบจะร้องออกมา
เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง รีบประคองนางกลับไปที่เตียง ท่าทีเมิ่งซื่อหนักแน่นกว่าเดิม “ไม่ได้ เจ้าต้องนอนบนเตียงอีกหลายวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือจับแผลที่อยู่บริเวณท้องของตน เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วขมวดคิ้ว